บทที่ 30 ทำให้จบเื่
ฉินชูไม่ได้พูดอะไรต่อ เขารู้เื่สถานะของเฉียนชิงกับหลิ่วหนานแล้ว ไหนจะซูซานเหอกับพวกจางจี้อีก ในกรณีที่ท่านเ้าสำนักสูงสุดไม่เคลื่อนไหว คนเหล่านี้สามารถลงมือสั่งเก็บหนึ่งในผู้าุโของยอดเขาหลักได้เช่นนี้ แสดงว่าเหล่าผู้าุโหรือปรมาจารย์ผู้ดูแลยอดเขาล้วนอยู่ใต้อำนาจที่สูงส่งกว่า
เมื่อฉินชูกลับมาที่ผาหินตัด ก็เริ่มฝึกตนอีกครั้ง
เื่ที่เฉียนชิงกับหลิ่วหนานมาที่ยอดเขาชิงจู๋ถูกเผยแพร่ออกไป ทำเอาผู้คนมากมายไม่พอใจกับเื่นี้ยิ่งนัก เพราะเฉียนชิงกับหลิ่วหนานเป็พวกที่ชอบข่มเหงผู้อื่นอย่างไม่มีขื่อมีแปและไม่คิดจะแยแสยอดเขาชิงจู๋เลยแม้แต่น้อย แบบนี้มันมากเกินจะรับไหว
หลังจากหลัวเจินรู้เื่นี้ สีหน้าของเขาอึมครึมลงและรีบสั่งให้ผู้าุโคนหนึ่งคอยเฝ้าระวังรอบๆ หอศิษย์รับใช้ จุดยืนของเขาชัดเจนเป็ที่สุด เขายอมรับได้หากฉินชูจะต่อสู้จนตัวตาย แต่เขาไม่มีวันปล่อยให้ฉินชูถูกกลอุบายสกปรกเล่นงานแน่นอน
หลังจากจัดแจงเื่เสร็จ หลัวเจินก็ดื่มชาครุ่นคิดอยู่กับตัวเองอยู่พักใหญ่ เขาคิดว่าเป็เพราะตัวเองเข้าฌานนานเกินไป เลยทำให้คนอื่นๆ ไม่รู้จักนิสัยของคนที่ชื่อหลัวเจินอย่างเขา
“ท่านปรมาจารย์้าให้ศิษย์คนนี้รับใช้เื่อะไรหรือไม่” เหยียนอี้เข้ามาที่ห้องโถงหลักแห่งยอดเขาชิงจู๋
“เ้ารู้เื่นี้แล้ว?” หลัวเจินมองเหยียนอี้
เหยียนอี้พยักหน้า เื่ใหญ่ขนาดนี้เขาจะไม่รู้ได้อย่างไร เพราะตอนที่หลิ่วหนานกลับไปพักผ่อนที่ลานฝึกศิษย์สายหลัก เขาก็เกือบจะมีเื่กับหลิ่วหนาน
“หากต้องต่อสู้กับหลิ่วหนาน เ้ามีโอกาสชนะหรือไม่” หลัวเจินมองพินิจเหยียนอี้ก่อนเอ่ยถามขึ้น
“หากสู้กับหลิ่วหนาน ศิษย์ค่อนข้างมั่นใจ แต่ถ้าเป็เฉียนชิง ศิษย์คงไม่ไหว” เหยียนอี้พูดขึ้น
หลัวเจินนิ่งเงียบลงสักพัก จากนั้นก็ยื่นคัมภีร์เล่มหนึ่งให้เหยียนอี้ “ที่ผ่านมา อาจารย์ของข้าได้แต่พร่ำบอกเ้าให้มุ่งเน้นไปที่การฝึกตนขั้นพื้นฐาน ตอนนี้ข้าคิดว่าเ้าถึงเวลาแล้ว จงเอาวิชากระบี่เจ็ดสังหารเล่มนี้ไปฝึกเสีย”
เหยียนอี้โน้มตัวน้อมรับวิชากระบี่เจ็ดสังหารมา เขารู้ดีว่านี่เป็วิชาพิฆาตประจำตัวที่มีชื่อเสียงของหลัวเจิน ทรงพลังยิ่งกว่าวิชากระบี่โลหิตพล่านของซูซานเหอหลายเท่าตัว แต่ก็ฝึกฝนยากยิ่งนัก
“ตอนนี้ ความผิดถูกขาวดำในกลุ่มของศิษย์สายหลักถูกบิดเบือนไปแล้ว เ้าจงหยุดไปที่นั่นเป็การชั่วคราว จงอยู่ที่ยอดเขาชิงจู๋ หากมีเหล่าศิษย์สายหลักมาหาเื่ฉินชูอีก เ้าสามารถจัดการได้เลย” หลังจากหลัวเจินกำชับเหยียนอี้เสร็จก็จากห้องโถงหลักไป ที่ผ่านมาเขาคงเข้าฌานฝึกตนนานเกินไป เป็เหตุให้สถานะของยอดเขาชิงจู๋ตกต่ำลงไปมาก แต่ตอนนี้เขาคิดว่ามันถึงเวลาที่จะทำให้คนอื่นๆ ได้รู้ซึ้งถึงนิสัยที่แท้จริงของเขาเสียแล้ว
ฝึกตนตลอดสองวันเต็ม ในที่สุดฉินชูก็บรรลุขั้นที่สองหนิงหยวนได้อย่างราบรื่น
เมื่อพลังปราณขั้นที่สองหนิงหยวนผนวกกับพลังทางร่างกาย พลังทำลายล้างของวิชากระบี่พื้นฐานก็จะเพิ่มขึ้น
เขาเคยประมือกับหลิ่วเจ๋อมาก่อนครั้งหนึ่ง และพอจะรู้ว่าเธอมีฝีมือการต่อสู้ประมาณไหน ตอนนี้เขามีความมั่นใจว่าตัวเองสามารถสู้กับศิษย์สายในจากยอดเขาหลักได้แน่นอน
ถึงแม้จะบรรลุตบะแล้ว แต่ฉินชูก็ยังฝึกตนเพื่อเสถียรพลังปราณของตัวเองต่อที่ผาหินตัดและฝึกกระบวนท่ากระบี่พื้นฐานต่อไป
ด้านหน้าหอคัมภีร์บนยอดเขาหลัก ลู่หยวนกำลังรายงานสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในสำนักชิงหยุน่นี้ให้โม่เต้าจื่อกับหลิงหยุนจื่อฟัง
“สงสัยซูซานเหอกับพวกจางจี้จะจำนิสัยของหลัวเจินไม่ได้แล้วสินะ” โม่เต้าจื่ออุทานขึ้น
“เฉียนชิงกับหลิ่วหนานรนหาที่ตายดีนัก” หลิงหยุนจื่อพูดขึ้น
โม่เต้าจื่อมองลู่หยวน “ตอนนี้ข้าขอฝากข้อความไว้กับเ้าเื่หนึ่ง สามารถฆ่าฉินชูให้ตายภายในสำนักชิงหยุนอย่างโจ่งแจ้งได้ แต่ห้ามใช้กลอุบายสกปรกตลบหลัง จำเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็ใครหน้าไหนก็ไม่มีข้อยกเว้น”
ลู่หยวนโค้งตัวคำนับและไปจากหอคัมภีร์ เขาตระหนักถึงความสำคัญของเหตุการณ์ครั้งนี้ได้เป็อย่างดี หลายปีที่ผ่านมา โม่เต้าจื่อไม่เคยแทรกมือเข้ามายุ่งเกี่ยวเื่ภายในสำนักเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเื่ออกคำสั่งเช่นนี้
“สำนักชิงหยุนเริ่มยุ่งเหยิงไปกันใหญ่แล้ว พักหลังๆ มามีเื่หน้าไม่อายมากมายเกิดขึ้นอยู่เป็เนือง เป็คนจากตระกูลราชวงศ์เฉียนแล้วมันยังไง ชักจะลำพองใจมากเกินไปแล้ว” พูดจบ โม่เต้าจื่อก็หลับตาลง
ฉินชูอยู่ฝึกตนในกระท่อมที่ผาหินตัดตลอดเวลา เมื่อถึงวันนัดก็ไปที่ลานหอศิษย์รับใช้
ตอนที่ฉินชูมาถึง ไป๋อวี้กับเอ้อพั่งก็มารออยู่แล้ว
“ไปกัน ออกเดินทางได้” หลังจากฉินชูพูดขึ้น ก็พากันออกเดินทางออกจากหอศิษย์รับใช้
เมื่อออกจากลานหอศิษย์รับใช้ ฉินชูก็พบกับคนจากยอดเขาชิงจู๋มากมายรออยู่ ไม่เพียงแต่ศิษย์สายนอกและศิษย์สายใน แต่ยังเจอกับเหยียนอี้ด้วย
ฉินชูจำเหยียนอี้ได้ดี เพราะเขาเป็คนออกมาสยบความอวดดีของหลิ่วเจ๋อ
แต่ทั้งสองก็ไม่ได้พูดอะไรกันมาก ฉินชูเดินนำหน้า โดยมีเหล่าศิษย์รับใช้เดินตามหลังและยังมีเหล่าลูกศิษย์ทางการของยอดเขาชิงจู๋ตามมาอย่างเนืองแน่น
เดิมทีฉินชูคิดจะต่อสู้ที่เขตพื้นที่ศิษย์สายในของยอดเขาหลัก แต่เขารุดหน้าไปต่อไม่ได้เพราะถูกกักไว้อยู่ที่หน้าประตู
“ข้าฉินชูมาแล้ว มาทำตามคำสัญญาที่ให้ไว้” เมื่อเห็นผู้คนมากมายยืนออกันอยู่ที่หน้าประตู ฉินชูก็พูดขึ้น
สายตาของลูกศิษย์บนยอดเขาหลักจ้องมองฉินชูราวกับจะกินเืกินเนื้อ
ตอนนี้มีคำพูดเย้ยหยันแพร่กระจายไปทั่วสำนัก เป็คำพูดที่ว่า ‘ศิษย์สายนอกยอดเขาหลักสู้ศิษย์รับใช้จากยอดเขาชิงจู๋ไม่ได้’ ทำเอาคนที่ยอดเขาหลักอับอายขายขี้หน้ากับการท้าทายของฉินชูยิ่งนัก
“แกสมควรตาย วันนี้ข้าจะตัดแขนตัดขาเ้า แล้วจะตัดหัวหมาๆ ของเ้าให้ดู” หลิ่วเจ๋อปรากฏตัวขึ้นมา
“ยังคงเหี้ยมโหดเหมือนเดิม แต่ความเหี้ยมโหดไม่ได้วัดกันที่คำพูด มันวัดกันที่การต่อสู้มากกว่า” ฉินชูรู้สึกว่าหลิ่วเจ๋อกู่ไม่กลับแล้ว นิสัยอวดดีคงไม่ต้องพูดถึง แต่จิตใจยังชั่วช้าเหี้ยมโหดอีก
เมื่อเห็นฉินชู หลิ่วเจ๋อก็แสยะยิ้ม “ฆ่าเ้า มันต้องเปลืองแรงขนาดนั้นเชียวหรือ”
“ได้ยินมาว่าผู้าุโที่อนุญาตให้มีการประลองเป็ตายได้ถูกสั่งเก็บไปแล้ว ข้าอยากถามว่าวันนี้ยังมีการประลองเป็ตายอยู่อีกหรือไม่” ฉินชูหันไปมองเหล่าผู้าุโของยอดเขาหลัก
“เหมือนเดิมสิ จะเป็อย่างนั้นได้เยี่ยงไร แต่ถ้าเ้าเกิดกลัวขึ้นมา แล้วอยากคุกเข่าขอโทษก็ย่อมได้” จางจี้พูดขึ้น วันนี้ลูกศิษย์ของเขาอย่างหลิ่วเจ๋อจะต่อสู้ทั้งที เขาไม่มีเหตุผลใดที่จะไม่โผล่หน้าออกมา
เมื่อเห็นจางจี้ ฉินชูก็คลี่ยิ้ม “ข้าเชื่อคำพูดของเ้าแล้ว แต่อยากพูดเสริมสักประโยค อย่างเ้าก็ไม่เท่าไร”
สีหน้าจางจี้เปลี่ยนไปทันที แต่เมื่อเห็นหลัวเจินที่ยืนอยู่ด้านหลังพร้อมกับผู้าุโจากยอดเขาชิงจู๋ จางจี้ก็ไม่ได้พูดอะไรขึ้นอีก เพราะหากเขาพูดจาอวดดีออกไป หลัวเจินไม่มีทางไว้หน้าเขาแน่นอน
ขณะนี้บรรดาลูกศิษย์จากยอดเขาอื่นๆ ที่ยืนรายล้อมต่างพากันถอยหลังรักษาระยะห่างเพื่อเปิดพื้นที่ให้กว้างขึ้น
ฉินชูก้าวออกมาสองสามก้าว มือขวาแตะด้ามกระบี่ สายตาจ้องมองไปทางหลิ่วเจ๋อ “ทั้งที่เป็ฝ่ายส่งคนมาฆ่าข้าและส่งคนมาวางยาพิษข้า วันนี้ก็มาทำให้เื่มันจบๆ กันดีกว่า”
“ไปตายซะ” เมื่อได้ยินฉินชูหยิบยกความผิดของตัวเองขึ้นมาพูดต่อหน้าทุกคนอีกครั้ง หลิ่วเจ๋อก็ะโทะยานตัวขึ้นพร้อมกับชักกระบี่ออกมา จากนั้นก็ฟาดฟันคมกระบี่ใส่ฉินชูทันที
อาวุธขั้นที่สี่
ผู้คนรอบๆ ต่างพากันซุบซิบ เพราะกระบี่ที่หลิ่วเจ๋อใช้เป็อาวุธระดับสูงที่สามารถรีดเค้นปราณกระบี่ออกมาได้มากกว่ากระบี่ธรรมดาทั่วไป
ผู้ฝึกตนั้แ่ขั้นที่สามเจินหยวนขึ้นไปสามารถรีดเค้นพลังปราณออกมานอกร่างกายและอัดลงไปในอาวุธวัตถุได้ แต่โดยทั่วไปแล้วสามารถทำให้ปราณกระบี่รอบใบดาบเปล่งแสงออกมาได้ในรัศมีสามนิ้วเท่านั้น แต่ปราณกระบี่ของหลิ่วเจ๋อตอนนี้กลับกินรัศมีรอบใบดาบเป็ศอกเป็วา อีกทั้งอณูแสงที่ไหลเวียนรอบใบดาบ แค่เห็นก็รู้แล้วว่ากระบี่ของหลิ่วเจ๋อนั้นไม่ธรรมดา
เท้าของฉินชูเริ่มขยับ กระบี่ถูกชักออกมาจากฝัก จากนั้นก็พุ่งออกไปหมายเสียบแทงเข้าไปที่จุดบอดของกระบี่หลิ่วเจ๋อ เพื่อสั่นคลอนกระบวนท่าของอีกฝ่าย ด้วยกระบวนท่ากระบี่พื้นฐานที่ตัวเองฝึกมา