เด็กรับใช้เหงื่อท่วมเต็มหลัง “คุณ...หนูเซียงเซียง นี่...นี่ไม่ใช่ข้าน้อยเป็คนจัดการ ข้าน้อยเองก็ทำอะไรไม่ได้เช่นกันขอรับ”
อ๋าวหรานรีบดึงจิ่งเซียงที่ตั้งใจจะพูดอะไรต่อมิอะไรอีกเอาไว้ “กินข้าวมื้อเดียวเท่านั้น ก็แค่ไม่เกินสองชั่วยาม เหตุใดต้องคิดเล็กคิดน้อยเื่ที่นั่งด้วย”
จิ่งเซียงยื่นปาก “ข้าไม่สน ข้าจะให้พวกเ้านั่งตรงนี้ พี่...”
จิ่งฝานเงยหน้ามองเด็กรับใช้ผู้นั้นไปทีหนึ่ง ความมืดดำลึกล้ำในดวงตาทำให้เด็กรับใช้ผู้นั้นถึงกับคุกเข่าลงไปกับพื้นเลยทีเดียว “นาย...นายน้อย ข้า...ข้าน้อยจะไปจัดการให้เดี๋ยวนี้ขอรับ”
จิ่งฝานพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “หากเ้าไม่อยากจะอยู่ในตระกูลจิ่งแล้ว ข้าจะไล่คนออกไปสักคนคงไม่มีใครขัดขวางกระมัง”
เด็กรับใช้ถึงกับเหงื่อโชกซึมออกมานอกเสื้อ เอาแต่ตอบรับว่าขอรับติดๆ กัน
เมื่อฉากเล็กๆ นี้ผ่านไป อ๋าวหรานกับจิ่งจื่อจึงได้มานั่งอยู่ที่โต๊ะหลัก 'อย่างหน้าด้านๆ'
จิ่งจื่อกำหมัด มีสีหน้าโกรธเคือง “พวกเขาทำเกินไปหน่อยหรือเปล่า นี่ตั้งใจมองข้ามตำแหน่งของพี่จิ่งฝานเชียวหรือ?”
ดวงตาของจิ่งเซียงมีไฟลุกท่วมแล้ว “มองข้ามไปแล้วต่างหาก ดูที่นั่งนี่สิ ท่านลุงใหญ่ไม่กลัวพวกท่านปู่ไม่พอใจเลยหรืออย่างไร?”
อ๋าวหรานเท้าคาง “น่าจะยังไม่ถึงกับมองข้ามเสียทีเดียว ก่อนหน้านี้ที่จัดการไปชุดใหญ่ คนของพี่เ้าในตระกูลคงมีไม่น้อย อีกทั้งเื่การประลองยุทธ์นี่เดิมทีก็เป็ลุงใหญ่ของเ้าจัดการ แน่นอนว่าต้องเป็คนของเขาทั้งหมด แต่ว่าเื่อื่นเขาน่าจะยังยื่นมือเข้ามายุ่งไม่ได้”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นแล้ว พวกจิ่งเซียงก็สบายใจขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จิ่งจื่อแน่นอนว่าอยากให้จิ่งฝานขึ้นเป็ผู้นำตระกูล ในใจเขาก็คิดว่ามีเพียงจิ่งฝานเท่านั้นที่มีคุณสมบัติที่จะดำรงตำแหน่งผู้นำตระกูล ส่วนจิ่งเซียงนั้นกลับอย่างไรก็ได้ จะเป็ผู้นำตระกูลหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับว่าพี่ชายนางมีความสุขหรือไม่ แต่ไม่ว่าจะอย่างไร นางก็ไม่อยากให้พี่ชายนางได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ อีกทั้งไม่อยากให้จิ่งจื่อกับอ๋าวหรานกลายเป็คนไม่มีความสำคัญ
เมื่อกลับมามองผู้คนรอบตัว อ๋าวหรานพบว่าหลางฉากับอิ่นซีเิก็มาแล้วเช่นกัน อิ่นซีเิถูกพามานั่งที่โต๊ะหลัก ซึ่งที่นั่งก็ค่อนข้างจะค่อนไปด้านหน้าเสียด้วย ก็เพราะตำแหน่งเทพธิดาของแม่นางน้อยผู้นี้นั่นแหละ ในฐานะตัวแทนความเชื่อของชาวบ้านด้านล่างหุบเขาตระกูลจิ่ง จิ่งเหวินซานไม่มีทางมองข้ามนางได้อยู่แล้ว
อิ่นซีเิเข้ามาทักทายพวกเขา รู้สึกใอย่างยิ่งที่เห็นพวกเขานั่งอยู่ตรงนี้ พวกเขาเองก็ไม่รู้จะตอบอย่างไร อิ่นซีเิอยากจะนั่งร่วมโต๊ะกับพวกเขา แต่ก็ถูกจิ่งเซียงโน้มน้าวห้ามไว้ อิ่นซีเิจึงจากไปอย่างไม่เต็มใจกลับไปยังที่นั่งของตัวเอง
ส่วนหลางฉาได้ไปนั่งที่โต๊ะสอง จนถึงตอนนี้จิ่งเหวินซานก็ยังสืบหาประวัติของหลางฉาไม่ได้ แต่คิดว่านางกับจิ่งฝานคงมีความสัมพันธ์กันจึงไม่ค่อยชอบใจนัก ที่ทำให้อ๋าวหรานใก็คือ หลางฉากลับนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างเรียบร้อย ไม่มาทักทายยุ่งเกี่ยวกับจิ่งฝานเลยแม้แต่นิดเดียว รอยยิ้มยั่วยวนเหมือนปกตินั้นก็ไม่มีแล้ว
อ๋าวหรานรู้สึกตกตะลึงจึงอดหันกลับไปมองอีกครั้งไม่ได้
จิ่งเซียงเตะเขาไปทีหนึ่ง “เ้าเอาแต่มองนางทำอะไร?”
อ๋าวหราน “เ้าว่าหรือไม่ การที่หลายวันมานี้นางไม่ออกจากห้องเลยก็ช่างปะไร แต่วันนี้ไม่แม้แต่จะเข้าหาพี่ชายเ้าเลยด้วยซ้ำ”
จิ่งเซียงย่นคิ้ว “คงไม่มีแผนชั่วอะไรหรอกใช่หรือไม่?”
อ๋าวหรานถอนหายใจ “หากไม่ไหวจริงๆ ค่อยเสียสละพี่ชายเ้าเถิด”
จิ่งเซียง “...”
พวกเขานั่งอยู่เพียงไม่นาน คนก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ที่นั่งข้างๆ ก็นั่งกันจนเต็มแล้ว คนที่สามารถนั่งอยู่ที่โต๊ะหลักนี้ได้ล้วนเป็ตระกูลที่มีชื่อเสียงบนแผ่นดินใหญ่ทั้งสิ้น แม้ที่นั่งของพวกเขาจะไกลอยู่สักหน่อย แต่คนข้างๆ ก็ล้วนเป็คนหนุ่มมีหน้ามีตา มีความสามารถและมีชื่อเสียงั้แ่อายุยังน้อยๆ
“ข้าน้อยตระกูลจิน จินเฉียนเป้ย1 ไม่ทราบท่านทั้งหลายมีนามว่าอะไร” คนพูดใบหน้าเหลี่ยมแต่ตาโต ยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาว กลับดูหล่อเหลาอย่างน่าประหลาด
พวกเขาถึงกับมุมปากกระตุก จอมยุทธ์น้อยชื่อความหมายดีนะ
“ข้าน้อยตระกูลเกา เกาเฉิงหยู่”
จินเฉียนเป้ยทำหน้าตาดีใจ “ข้าเคยได้ยินชื่อเ้า คุณชายน้อยตระกูลเกา หนึ่งทวนพิชิตใต้หล้า”
เกาเฉิงหยู่กลับเขินอายแล้ว “เป็คำที่คนอื่นเขาพูดกันเท่านั้น คิดเป็จริงเป็จังไม่ได้หรอก”
จินเฉียนเป้ยหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “เ้าหน้าแดงแล้ว อย่าเขินอายไปเลย เ้าเคยได้ยินชื่อข้าหรือไม่? คนอื่นก็ชมข้าเหมือนกัน”
พูดจบแล้วก็ลูบจอนที่ข้างหู
จิ่งเซียง “...”
จิ่งจื่อ “...”
จอมยุทธ์น้อยไม่รู้จักละอายเลยจริงๆ
เกาเฉิงหยู่ผู้นั้นเป็คนซื่อสัตย์ กลับส่ายหน้า “ไม่...ไม่เคยได้ยิน”
รอยยิ้มสว่างสดใสของจินเฉียนเป้ยแข็งค้างไปทันที แต่เ้าเด็กนี่ใจกว้าง แค่ครู่เดียวก็กลับเป็ปกติแล้ว “เช่นนั้นตอนนี้เ้าก็รู้จักแล้วนะ”
เกาเฉิงหยู่รีบพยักหน้า “รู้จักแล้ว ยินดียิ่ง”
จินเฉียนเป้ยพยักหน้าอย่างร่าเริง ฉีกยิ้มฟันขาวส่องสว่าง “คนอื่นเล่า คนอื่นเล่า รีบบอกชื่อแซ่มา”
“เจียงซิว”
จินเฉียนเป้ยรีบพยักหน้า “วิชามีดตระกูลเจียง ยินดีๆ”
เจียงซิวชะงักไปเล็กน้อย “ยินดี”
จินเฉียนเป้ยหันศีรษะมาทางพวกจิ่งเซียง “พวกเ้าเล่า แม่นางน้อยคนงามผู้นี้”
เ้าเด็กนี่ยิ้มยิงฟันขาว ทำท่าทางหยอกล้อสตรีแบบคุณชายเ้าชู้ น่าเสียดายที่หน้าเหลี่ยมๆ นั่นทำให้ดูจริงจังเกินไปจึงดูโง่งมแทน
พวกอ๋าวหรานอดกระตุกมุมปากไม่ได้
“จิ่งเซียง”
คนที่เหลือมีสีหน้าใ จินเฉียนเป้ยถึงกับเบิกตากว้าง “พวกเ้าเป็คนตระกูลจิ่ง?”
จิ่งเซียงพยักหน้า “นี่คือพี่ชายข้า จิ่งฝาน จิ่งจื่อ แล้วยังมีอ๋าวหราน”
“จิ่งฝาน?!”
รอบนี้ไม่เพียงแค่จินเฉียนเป้ยเท่านั้น คนที่เหลือก็เงยหน้าแล้วอดมองไปทางจิ่งฝานไม่ได้
จินเฉียนเป้ยอดไม่ไหวพาดตัวลงไปบนโต๊ะ ศีรษะยื่นมาตรงหน้าจิ่งฝาน “เ้าคือจิ่งฝาน หากข้าจำไม่ผิด เ้าก็คือหมอเทวดาที่อายุสิบห้าปีก็มีชื่อเสียงไปทั่วผู้นั้น จิ่งฝาน นายน้อยแห่งตระกูลจิ่ง?”
จิ่งฝานไม่ตอบ จิ่งจื่อจึงพยักหน้าแทน “ถูกต้อง”
จินเฉียนเป้ยส่งเสียงดังเฮ้อออกมาทีหนึ่ง สีหน้าตื่นเต้น “ร้ายกาจมาก ชื่อเสียงของเ้าดังกว่าข้า ได้ยินมาว่าเ้าไม่เพียงมีวิชาแพทย์ล้ำเลิศ แม้แต่วรยุทธ์ก็ยอดเยี่ยมเหนือผู้ใด รอบนี้ข้ามาเพราะเ้าเชียวนะ ข้า...จะล้มเ้าให้ได้!”
จิ่งจื่อมองเขาอย่างยโสเ็า “อยากจะล้มพี่ข้าหรือ ฝันไปเถิด ผ่านข้าไปให้ได้ก่อน!”
จินเฉียนเป้ยไม่สนใจคำประกาศาของจิ่งจื่อแม้แต่น้อย กลับดวงตาเป็ประกาย ตื่นเต้นอย่างที่สุด “ดี! ดียิ่ง! ช่างน่าตื่นเต้น ข้าอดทนรอไม่ไหวแล้ว!”
ระหว่างที่พวกเขากำลังพูดคุยกัน กลับพบว่าทั้งช่างฉือจายก็เงียบลงทันใด ทุกคนต่างมองไปที่ประตู...เป็พวกจิ่งเหวินซานนั่นเอง จิ่งเหวินซาน่นี้ก็โผล่ไปมาอยู่ต่อหน้าพวกลูกหลานตระกูลใหญ่จนเป็ที่คุ้นเคยแล้ว ทุกคนในที่นี้ไม่มีใครไม่รู้จักเขา ทุกคนล้วนเป็ลูกหลานของตระกูลที่มีหน้ามีตา ส่วนมารยาท...แน่นอนว่าไม่ต้องพูดถึง ต่างพากันทยอยลุกขึ้นทักทาย
คนที่มาถึงก็มีพวกตระกูลระดับต้นๆ ซึ่งมีอิทธิพลยิ่งกว่าตระกูลจิ่งมากนัก คนที่นั่งอยู่ข้างๆ ที่นั่งหลัก เช่น หลัวฉี่ เซี่ยเหวินเอ่อ เฉินเปิ่นฉี หลี่หนิงหว่าน หวางฮวายเหล่ย เป็ต้น ก็ทยอยกันหันศีรษะมา
“นายท่านใหญ่และคุณชายใหญ่ตระกูลจิ่งมาถึงแล้ว!”
จิ่งเหวินซานยิ้มอย่างมีเมตตา “สวัสดีทุกท่าน ขออภัยทุกท่านด้วย ข้ามาสายแล้ว เป็เ้าภาพที่ใช้ไม่ได้เลยจริงๆ”
“ท่านเกรงใจเกินไปแล้ว พวกเราเองก็เพิ่งมาถึง พอดีได้พูดคุยกับสหายมากความสามารถในตระกูลจิ่งไปพลาง”
“ใช่แล้ว...ใช่แล้ว...”
จิ่งเหวินซานซึมซับบรรยากาศเหมือนเป็เดือนที่ถูกดาวล้อมอยู่ครู่หนึ่ง เดินทักทายมาตลอดทาง ใบหน้ายิ้มแย้ม แล้วเดินไปที่โต๊ะหลัก “ท่านทั้งหลาย ต้องขออภัยจริงๆ เมื่อสักครู่ข้าพูดคุยอยู่กับบรรดาท่านผู้าุโในตระกูลจิ่งอยู่ครู่หนึ่ง เดิมทีคิดจะให้พวกท่านผู้าุโออกมาจัดการเพื่อแสดงว่าเราให้ความสำคัญมากจริงๆ แต่พวกท่านล้วนแต่รู้สึกว่านี่เป็เื่ของพวกเด็กๆ เช่นพวกเ้า พวกท่านเป็ผู้ใหญ่แล้วจึงไม่อยากรบกวนความตื่นเต้นสนุกสนานของเด็กๆ ดังนั้นจึงต้องให้คนแก่เช่นข้ามาแอบอ้างเป็ 'คนหนุ่ม' มารวมกลุ่มกับพวกเ้า ฮ่าๆ”
หวางฮวายเหล่ยรีบยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านลุงพูดเล่นแล้ว ท่านยังหนุ่มแน่นอยู่เลย สดใสกระปรี้กระเปร่ายิ่งกว่าเด็กๆ อย่างพวกเราเสียอีก”
จิ่งเหวินซานหัวเราะฮ่าๆ “เ้าเด็กนี่ปากหวานจริงๆ รู้จักโอ๋คนแก่”
อ๋าวหรานตีสะกิดจิ่งฝาน ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ลุงใหญ่เ้านี่ช่างร้ายกาจจริงๆ เื่ใหญ่ถึงเพียงนี้ เขายังสามารถโน้มน้าวให้พวกผู้าุโตระกูลจิ่งไม่มาร่วมด้วยได้”
จิ่งฝานเหล่ตามองเขาทีหนึ่ง ไม่พูดอะไร
อ๋าวหราน “หากเ้ายังไม่พยายามอีก คงจะถูกแทนที่เข้าแล้วจริงๆ”
จิ่งฝานปัดมือเขาออก “เช่นนั้นก็...ยกให้เขาไปเถิด”
อ๋าวหราน “...” เหตุใด่นี้เ้าเด็กนี่ถึงรู้สึกเหมือนหมดอาลัยตายอยากอยู่บ้าง
จิ่งเหวินซาน “ที่จู่ๆ ก็จัดงานประลองยุทธ์ขึ้นมานั้น ไม่รู้ว่าได้สร้างปัญหาให้กับทุกท่านหรือไม่? เหวินซานต้องขออภัยคุณหนูคุณชายทั้งหลาย ณ ที่นี้ด้วย”
หลัวฉี่ที่นั่งอยู่ด้านข้างจิ่งเหวินซานประสานมือแล้วพูดว่า “ท่านลุงพูดเล่นแล้ว ได้มาเข้าร่วมถือเป็เกียรติของพวกข้ายิ่งนัก”
ตระกูลหลัวมีชื่อเสียงอย่างมากบนแผ่นดินใหญ่ ราวกับมีอัจฉริยะมาทุกรุ่น ลูกหลานตระกูลหลัวส่วนใหญ่ล้วนหน้าตาธรรมดา แต่ไม่รู้ว่าหน้าตาที่ธรรมดานั้นถูกพร์ทดแทนไปแล้วหรืออย่างไร ตระกูลหลัวไม่ว่าสายหลักหรือสายรองก็ล้วนเป็อัจฉริยะ พวกเขาฝึกวรยุทธ์เหมือนไม่เปลืองแรงแม้แต่น้อย พวกเขาไม่มีทั้งเพลงกระบี่และเพลงหมัดหรืออะไรเลย ที่พิเศษล้วนอาศัยกำลังภายในที่ล้ำเลิศเอาทั้งสิ้น คนตระกูลหลัวมีชีพจรกว้างมาั้แ่เกิด เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับการฝึกวรยุทธ์ ส่วนใหญ่ฝ่ายตรงข้ามยังไม่ทันได้ออกกระบวนท่า พวกเขาก็ใช้กำลังภายในจัดการเสียสิ้น เรียกได้ว่าะเืเลือนลั่นอย่างยิ่ง
ส่วนหลัวฉี่ก็ยิ่งเป็ยอดอัจฉริยะ มีชื่อเสียงไปทั่วหล้าั้แ่แปดขวบ ั้แ่นั้นมาก็นับได้ว่าโดดเด่นเป็อย่างยิ่งท่ามกลางรุ่นเดียวกัน ตอนนี้ในบรรดาลูกหลานจากแต่ละตระกูล เขาถูกจิ่งเหวินซานจัดให้นั่งอยู่ข้างเขาได้ ชัดเจนว่าความสามารถของเขาต้องไม่ธรรมดา ส่วนคนที่นั่งอยู่ ณ ที่นี้ที่ไม่รู้จักเขานั้นน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย ที่ไม่ยอมศิโรราบต่อเขาก็ยิ่งนับนิ้วได้
หลัวฉี่พูดจบก็พูดอีกว่า “จริงๆ แล้วต้องขอบคุณท่านลุงมากกว่า แต่ละตระกูลในแผ่นดินใหญ่ล้วนต่างคนต่างอยู่ มีแต่ที่อยู่ใกล้กันเท่านั้นถึงจะได้ติดต่อกัน ส่วนคนที่อยู่ไกลกันคาดว่ายากนักที่จะได้พบกันสักครั้ง งานประลองยุทธ์ในวันนี้กลับทำให้เราได้มารวมตัวกัน ทั้งยังได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ประมือกัน และยังสามารถติดต่อพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างกันได้อีก”
จิ่งเหวินซานหัวเราะฮ่าๆ ออกมาเสียงดัง “หากเป็เช่นนี้ข้าก็วางใจ ยังเกรงว่าจะสร้างปัญหาให้ทุกท่านแล้ว”
“ในเมื่อเป็เช่นนี้ อย่างนั้นก็เริ่มงานเลี้ยงกันเลยเถอะ ทุกท่านก็ประจวบเหมาะมาที่งานเลี้ยงอาหารของตระกูลจิ่งของข้าพอดี นี่ถือเป็ความพิเศษของตระกูลข้า ทุกๆ ครึ่งเดือนก็จะจัดครั้งหนึ่ง ท่านทั้งหลายก็ถือว่าอยู่บ้านตัวเองเถิด ดื่มด่ำกับอาหารและสุรารสเลิศได้อย่างสบายใจ กินเสร็จแล้ว ข้าจะอธิบายกฎการประลองในครั้งนี้ให้ทุกท่านฟัง แล้วค่อยเริ่มการแข่งขันอย่างเป็ทางการ”
เด็กๆ จากแต่ละตระกูลเห็นรอยยิ้มอบอุ่นอ่อนโยนของจิ่งเหวินซานก็รู้สึกยอมรับได้อย่างง่ายดาย พากันพยักหน้ารับ
“ไม่พูดมากแล้ว วันนี้ในฐานะที่ข้าแก่แล้ว ถือตัวเองเป็ลุงของทุกท่าน คารวะให้กับหางเสือของแผ่นดินใหญ่ในอนาคตของเราหนึ่งจอก”
“ได้!” หนุ่มน้อยผู้กระตือรือร้นและตื่นเต้น จินเฉียนเป้ยรับคำเสียงดัง ทำให้หลายคนใจนต้องหันมามองเขา ดวงตาของเด็กหนุ่มเป็ประกาย ไม่รู้ว่าโดนคำไหนกระแทกใจที่ตื่นเต้นเข้าไป
เมื่อมีคนนำร่อง คนที่เหลือก็เริ่มยกจอกแล้วยืนขึ้น
“ท่านลุงอย่าได้เกรงใจ ตามหลักแล้วควรเป็เด็กๆ อย่างเราคารวะท่านถึงจะถูก ตอนนี้กลับกันเสียแล้ว เป็พวกเราที่ไร้มารยาท” ตระกูลเฉิน...เฉินเปิ่นฉี ในฐานะที่เป็ตระกูลอันธพาลอันเลื่องชื่อที่ถูกอ๋าวหรานโยนความผิดใส่ ตัวเฉินเปิ่นฉีเองกลับดูสง่างามมีมารยาท ท่าทางอ่อนน้อม แต่ในนิยายต้นฉบับคนผู้นี้กับหวางฮวายเหล่ยล้วนเป็คนบ้ากามเฉกเช่นเดียวกัน ซึ่งแต่ละคนภายนอกก็เสแสร้งทำเป็คนดี แต่ภายในกลับเน่าเฟะ
เชิงอรรถ
จินเฉียนเป้ย1 (金钱贝)จินแปลว่า ทอง เฉียนแปลว่าเงิน เป้ยแปลว่าเปลือกหอยหรือก็คือเงินที่ใช้กันในสมัยโบราณ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้