ภายหลังถอนหายใจเล็กน้อย เจียงเฉิงเยว่รีบหลุบสายตาลงหลบเลี่ยงจากสายตานั้น ไม่กล้าให้หลี่อวิ๋นหังมองเห็นความเงียบงันในดวงตาของเขาที่ความคิดกลับกลายเป็ขี้เถ้าในทันใด เขาสงบลงเล็กน้อย เอ่ยอย่างลำบากใจ “ยังคงขอเซียนจวินโปรดชี้แนะ”
หลี่อวิ๋นหังไม่ตอบกลับ บรรยากาศมืดมนเป็อย่างยิ่ง
ทั้งสองคนนั่งตรงข้ามกันอย่างเงียบงันเป็เวลานาน จนหลี่อวิ๋นหังถอนหายใจเบาๆ โดยไร้เสียง “ช่างเถิด”
เขายกชายเสื้อขึ้นเล็กน้อย เจียงเฉิงเยว่เพียงรู้สึกถึงแสงสีขาวที่สว่างวาบตรงหน้า จากนั้นร่างพลันเอียงร่วงลงมาจากกิ่งไม้ กำลังจะตกลงอย่างรวดเร็ว เขากัดเสียงอุทานไว้ในปากแน่น ไม่ยอมเสียหน้าต่อหน้าคนอื่น เมื่อคว้าอะไรได้ในมือกลับคว้าไว้แน่นตามสัญชาตญาณ
เนื่องจากเอวและขาโค้งงอ เจียงเฉิงเยว่จึงพบว่าตนเองถูกอุ้มไว้ในอ้อมแขนของใครคนหนึ่ง
เขาลืมตาขึ้นแล้วมองไปโดยรอบ จึงรู้ว่าหลี่อวิ๋นหังพาเขาลงมายืนบนพื้นแล้ว ฝ่ามือของเขายังคงจับที่อกเสื้อของหลี่อวิ๋นหังแน่น ร่างสั่นด้วยความใ เจียงเฉิงเยว่รู้สึกอับอายจนอยากตายตรงหน้าอีกฝ่ายอีกครั้ง จึงรีบยืดตัวขึ้น ะโลงบนพื้นด้วยความลำบากใจ โดยไม่ลืมที่จะยื่นมือไปจัดปกเสื้อของหลี่อวิ๋นหังที่ยับยู่ยี่เมื่อครู่ให้เรียบ จากนั้นยิ้มเข้าสู้ “ขอ ขออภัย”
หลี่อวิ๋นหังถูกทำให้โกรธจนอยากหัวเราะออกมา เขายกมุมปากขึ้น “ไปกันเถอะ กลับไปกัน”
เจียงเฉิงเยว่พยักหน้าพลางโค้งตัว “ขอรับๆๆ”
หลี่อวิ๋นหังเดินนำหน้า เจียงเฉิงเยว่เดินตามหลังห่างออกไปสองสามก้าว ก้มศีรษะลง ยังไม่สงบจากอารมณ์ขมขื่นที่ปั่นป่วนเมื่อครู่ พลางครุ่นคิดขณะเดิน
ทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไรอีก ไม่รู้ว่าเมื่อไร หลี่อวิ๋นหังที่เดินนำหน้าหยุดเดินกะทันหัน เจียงเฉิงเยว่ไม่รู้ตัวจึงตรงเข้าไปชนกับแผ่นหลังนั้นอย่างคาดไม่ถึงจนเกิดเสียงดัง ‘ปั้ก’
“โอ๊ย” เขารีบกุมจมูก รู้สึกว่าเืกำเดากำลังจะไหลออกมา หลังเงยหน้าขึ้นเห็นว่าหลี่อวิ๋นหังยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมราวกับรูปปั้น ทันใดนั้นกลับไม่กล้าส่งเสียงเ็ปออกมาอีก เขาเอียงร่างโผล่ศีรษะออกมาจากด้านหลังของอีกฝ่ายเพื่อมองดูสีหน้า เอ่ยถามด้วยความแปลกใจ “เซียนจวิน?”
หลี่อวิ๋นหังยังคงยืนนิ่ง ผ่านไปสักพักจึงกลับมามีสติ หันมายังทิศทางของเจียงเฉิงเยว่ กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าต้องกลับไปแดน์รอบหนึ่ง”
“หืม?” ที่แท้เมื่อสักครู่กำลังสื่อสารทางจิตสำนึกใช่หรือไม่?
เจียงเฉิงเยว่้าถามว่าเกิดอะไรขึ้น ทว่าเนื่องจากสถานะของตนเองคือาาผี เกรงว่าจะดูไม่ดีหากถามซ่างเซียนเื่ของดินแดนเบื้องบน จึงทำได้เพียงพยักหน้าตอบรับ “ตกลง”
หลี่อวิ๋นหังกล่าว “หลายวันให้หลังข้าจะไปรวมตัวกับพวกเ้าอีกครั้ง”
เจียงเฉิงเยว่ “ตกลง”
ทันใดนั้น หลี่อวิ๋นหังก้าวมาคว้าแขนของเขา “ไปกัน”
เจียงเฉิงเยว่ยังไม่ทันได้ประหลาดใจ ดวงตากลับพร่ามัว เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งเขาเห็นไป้เอ๋อร์กับอี้จื่ออียืนอยู่ตรงหน้า ไป้เอ๋อร์มองเห็นทั้งสองคนปรากฏพร้อมกับแสงรัศมีที่สว่างวาบจึงตื่นเต้นขึ้นมา “ท่านอาจารย์!” หลังจากเห็นหลี่อวิ๋นหังยืนอยู่ข้างกายของเจียงเฉิงเยว่ จึงไปซ่อนตัวอยู่ด้านหลังอี้จื่ออีด้วยความกลัว
แม้เขาจะไม่รู้เื้ัว่าทำไมหลี่อวิ๋นหังถึงโกรธ ทว่าเขารู้ว่าอีกฝ่ายไม่พอใจที่ตนเองแสร้งทำเป็ป่วย สุดท้ายอย่างไรเื่นี้ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับตนอยู่ดี บางทีพี่ชายเทพเซียนอาจไม่ชอบที่ตนหลอกลวงกระมัง? ทว่านั่นเป็คำสั่งของอาจารย์ เขาไม่สามารถอธิบายเหตุผลเช่นนี้ได้ ไม่อย่างนั้นจะเป็การขายท่านอาจารย์มิใช่หรือ?
เจียงเฉิงเยว่มองหลี่อวิ๋นหัง เขาเห็นอีกฝ่ายลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนยื่นมือไปเรียกไป้เอ๋อร์ “มานี่สิ” ไป้เอ๋อร์งุนงงเล็กน้อยแล้วชี้ที่จมูกของตนเอง เมื่อเห็นเจียงเฉิงเยว่พยักหน้าเล็กน้อยจึงยืนยันได้ว่าเรียกตนเองจริง กลับไม่กล้าก้าวไปข้างหน้า
เจียงเฉิงเยว่ที่เข้าใจในทันที หัวใจมีความสุขอย่างบ้าคลั่งจึงรีบพูดกับไป้เอ๋อร์ “เ้าเด็กโง่ รีบมาเร็วเข้า!”
เมื่อเห็นใบหน้ายินดีของเจียงเฉิงเยว่ ไป้เอ๋อร์จึงรีบไปข้างหน้าสองสามก้าว มายืนอยู่ตรงหน้าหลี่อวิ๋นหัง
เจียงเฉิงเยว่รีบเตะที่ข้อพับขาของศิษย์เบาๆ เหมือนกลัวว่าหลี่อวิ๋นหังจะเสียใจพร้ะโกน “รีบขอบคุณพี่ชายเทพเซียนเสีย!”
แม้ว่าไป้เอ๋อร์จะไม่เข้าใจและงุนงง แต่ฟังคำพูดของอาจารย์เป็อย่างดี เขารีบคำนับให้หลี่อวิ๋นหัง “ขอบคุณพี่ชายเทพเซียน”
หลี่อวิ๋นหังเหลือบมองท่าทางมีความสุขของคนที่อยู่ข้างกาย จากนั้นยื่นมือไปสร้างตราประทับิญญา บริเวณปลายนิ้วมีแสงรัศมีสว่างวาบอยู่หว่างคิ้วของไป้เอ๋อร์ ไป้เอ๋อร์รู้สึกเพียงทั่วร่างสั่นสะท้าน พลังที่ร้อนจัดพุ่งเข้าสู่ร่างกายแล้วสลายไปในทันที
หลังจากที่เขาร่ายเคล็ดวิชาเสร็จสิ้น เจียงเฉิงเยว่ไม่อาจยับยั้งความยินดีได้ ตนจึงประสานมือให้อย่างมีมารยาท “ขอบคุณซ่างเซียน”
หลี่อวิ๋นหังไม่พูดจา ทันใดนั้นกลับก้าวมาข้างหน้าครึ่งก้าว คว้าแขนเสื้อของเขา
ขณะที่เจียงเฉิงเยว่กำลังตกตะลึง แสงสีเงินสว่างวาบที่แขนเสื้อ ลายปักัสีเงินพลันปรากฏขึ้นบนแขนเสื้อสีขาวที่เขาสวมอยู่
เมื่อหลี่อวิ๋นหังเห็นลายปักันั้นก็ยกมุมปากเล็กน้อย เขาเงยหน้าขึ้นกำชับกับเจียงเฉิงเยว่ “ยามนี้เ้าอาจไม่มีพลังิญญามากพอที่จะขับเคลื่อน ดังนั้นเก็บไว้ก่อน สุดท้ายแล้วหากพบอันตราย สิ่งนี้จะสามารถคุ้มครองเ้าได้”
“อืม ตกลง” ดูเหมือนว่านอกจากถ้อยคำนี้ เจียงเฉิงเยว่ไม่รู้จะพูดอะไรดี
หลี่อวิ๋นหังกล่าว “เพียงไม่นานข้าจะกลับมา พวกเ้าเองก็ระวังตัวด้วย”
เจียงเฉิงเยว่พยักหน้ารับ “ขอรับ”
ภายหลังกล่าวจบ ร่างของหลี่อวิ๋นหังหายไปอย่างไร้ร่องรอยพร้อมกับรัศมีที่สว่างวาบ
หลังจากที่เขาจากไปเป็เวลานาน อี้จื่ออีจึงกล่าว “ฉิงชางจวิน เสวียนเหยาซ่างเซียนเขา...ไปแล้วหรือ?”
เจียงเฉิงเยว่พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ได้ยินว่าเป็ธุระของ์ เขาจึงต้องกลับไป”
“โอ้...” อี้จื่ออียกยิ้ม “ดูเหมือนว่าอาจเป็เื่ด่วน เขาจากไปอย่างรีบร้อน”
เจียงเฉิงเยว่พยักหน้าอย่างขอไปทีแล้วหันไปหาไป้เอ๋อร์ พลางลูบศีรษะของศิษย์ตัวน้อยอย่างมีความสุข “ไป้เอ๋อร์...ยามนี้เ้าไม่ต้องกลัวคืนเดือนดับอีกต่อไปแล้ว”
ไป้เอ๋อร์ส่งเสียง “หืม?”
เจียงเฉิงเยว่อธิบาย “ ‘โรค’ ของเ้านั้น เมื่อครู่พี่ชายเทพเซียนท่านนั้นรักษาให้เ้าจนหายดีแล้ว ไม่จำเป็ต้องกลัวอีกต่อไป”
ไป้เอ๋อร์ตกตะลึง “โอ้!”
เจียงเฉิงเยว่ไม่เห็นเขาแสดงความตื่นเต้นอย่างที่ตนเองคาดไว้ จึงอดไม่ได้ที่จะถาม “เกิดอะไรขึ้น?”
ไป้เอ๋อร์เบะปาก “ไม่มีอะไร”
เจียงเฉิงเยว่ยังไม่ทันได้ถามต่อ อี้จื่ออีกลับเอ่ย “ฉิงชางจวิน ท่านกับซ่างเซียนรู้จักกันมาก่อนหรือ?” เจียงเฉิงเยว่ตกตะลึง ก่อนที่อี้จื่ออีจะมองไปที่ลายปักับนแขนเสื้อของเขา “ดูเหมือนว่านี่จะเป็อาวุธวิเศษของฝ่าา...ฝ่าาทรงตั้งใจทิ้งมันไว้เพื่อคุ้มครองฉิงชางจวินเช่นนี้เชียวหรือ?”
คุ้มครอง...เจียงเฉิงเยว่อดไม่ได้ที่จะยกแขนเสื้อของตนเองเพื่อมองอย่างละเอียด อาหังตั้งใจทิ้งอาวุธวิเศษชิ้นนี้ไว้เพื่อคุ้มครองเขาหรือ? เขารู้สึกยินดีจากก้นบึ้งของจิตใจ ทว่าเมื่อลองคิดให้ดี รอยยิ้มบนริมฝีปากกลับนิ่งค้าง เขาถอนหายใจออกมา
อี้จื่ออีกล่าวต่อ “ฉิงชางจวิน...ท่านเป็อะไรไป? ทำไมจึงทอดถอนใจยาวบ้างสั้นบ้าง[1] เล่า?”
เจียงเฉิงเยว่ตอบกลับ “ไม่มีอะไร”
คนหนึ่งเป็เซียนจวินที่์ส่งมาเพื่อสอบสวน...คนหนึ่งเป็าาผีที่ต้องสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเื่ราว
หากคนทั้งสองสลับร่างกัน เจียงเฉิงเยว่คิดว่าตนเองคงไม่ปล่อยให้หลี่อวิ๋นหังเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระเช่นนี้ ที่อีกฝ่ายทิ้งอาวุธวิเศษไว้ข้างกายเขา บางทีอาจเป็การเฝ้าสังเกต สุดท้ายแล้วผู้ที่มีลักษณะนิสัยอย่างหลี่อวิ๋นหังคงไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์ส่วนตัวหรอก นอกจากนี้เขากับหลี่อวิ๋นหังเพิ่งพบกันไม่กี่ครั้ง แล้ว ‘ความสัมพันธ์ส่วนตัว’ ที่ว่าจะมาจากไหนกันเล่า?
.............................
สำนักป้าเทียน ณ ยอดเขาฉีหนาน
เ้าสำนักลู่ได้ผ่าน่เวลาที่อับอายจนมองหาความตาย หลังจากนั้นค่อยๆ เริ่มฟื้นตัวดังเดิม แม้แต่ผิวหน้าที่หนากว่ากำแพงเมืองก็กำลังซ่อมแซมด้วยตนเอง
แม้ว่ายามนึกถึงความอับอายในวันนั้นที่ถูกพวกไป๋เจ๋อจวินและผู้คนทั้งใต้หล้ารู้ทัน น้ำกรดยังคงพุ่งขึ้นมาในกระเพาะ ขนลุกไปทั่วทั้งร่าง แต่หลังจากที่เ้าสำนักลู่สะกดจิตตนเองครั้งที่หนึ่งหมื่น จึงเริ่มเชื่อว่านี่เป็เพียงความพ่ายแพ้ชั่วคราวเท่านั้น ปล่อยให้พวกเ้าดูถูกชายชราไปเถอะ สักวันหนึ่งชายชราจะกลับไปทำให้พวกเ้าสวะเ่าั้ โดยเฉพาะไอ้พวกสารเลวสุนัขจงหลีซานกลุ่มนั้นที่ชูหางขึ้นฟ้า[2] มาคุกเข่าเรียกข้าว่าปู่ให้จงได้!
เ้าสำนักลู่จินตนาการถึงสถานการณ์นั้นอยู่พักหนึ่ง อดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มแปลกประหลาดบนใบหน้าแดงก่ำ
ณ ตอนนี้ การจะตามไปดุด่าไอ้สวะพวกนั้นช่างมันก่อน ทำเพียงไม่เห็นและไม่ได้ยินเมื่อพวกเขามาคุกเข่าประจบประแจงในภายภาคหน้า เมื่อถึงเวลาจะล้างแค้นให้สิ้น
หลังจากคิดจนทะลุปรุโปร่งแล้ว เขาเริ่มจัดระเบียบรูปลักษณ์ของตนเองที่ไม่ได้จัดการมาหลายวัน เรียกคนรับใช้ในการเปลี่ยนชุดและล้างตัว เ้าสำนักลู่ไล่ผู้ติดตามออกไป จากนั้นถือกรรไกรเล็มเครางามของตนบริเวณหน้ากระจกในห้องนอนของตนเองเพียงลำพัง เขาคิดว่าส่วนที่ ‘สง่างามเหนือผู้คน’ ที่สุดในร่างกายของเขาคือเครา ดังนั้นจึงไม่ยินยอมที่จะเล็มมันด้วยน้ำมือของคนอื่น เพียงครู่หนึ่งก็เล็มเสร็จ เ้าสำนักลู่พอใจเป็อย่างยิ่ง เขากำลังลูบอย่างระมัดระวังในกระจก ริมฝีปากยกขึ้นเป็รอยยิ้มพึงพอใจ ทันใดนั้นกลับได้ยินเสียง ‘ปัง’ เบาๆ ตามด้วยเสียงแปลก จึงอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงคร่ำครวญ “ไอ้หยาๆ” ออกมา
เ้าสำนักลู่ถือกรรไกรด้วยมือที่สั่นเทา จากนั้นหันศีรษะไปมอง ก่อนที่ดวงตาจะเบิกกว้างอย่างเหลือเชื่อ เดินมุ่งไปตรงหน้าคนแปลกหน้าสองคนที่ลงมาจากท้องฟ้า บุกรุกเข้ามาในห้องนอน ฝ่ามือสั่นเทา “เ้า เ้า เ้า…” ผ่านไปนานจึงเอ่ยออกมา “พวกเ้า...เ้าโจรตัวน้อยสองคนเข้ามาได้อย่างไร?!” หากเปรียบเทียบกับการโวยวายเรียกผู้คน ในฐานะเ้าสำนักที่ค่อนข้างมีความสามารถ สิ่งที่เขาประหลาดใจคือห้องนอนของเขาวางเขตอาคมและสัญญาณเตือนอันแข็งแกร่งอย่างเห็นได้ชัด เป็ไปไม่ได้ที่จะให้ผู้คนเดินเข้ามาราวกับเป็ดินแดนรกร้าง!
เจียงเฉิงเยว่กำลังลูบข้อเท้า ยังไม่ทันที่จะอธิบาย เ้าสำนักลู่กพลันตอบสนองต่อความประหลาดใจในตอนแรก เริ่มเผยสีหน้าโกรธเคือง ะโออกไปด้านนอกเสียงดัง “ใครก็ได้! ใครก็ได้มานี่! ไปตายที่ไหนกันหมดหา?!”
“เ้าสำนักลู่!” อี้จื่ออีรีบประสานมือบอก “เ้าสำนักลู่อย่าได้ใ...พวกเราไม่มีเจตนาร้าย”
เ้าสำนักลู่จะสนใจเขาได้อย่างไร ยังคงเรียกหาผู้คนอย่างโหวกเหวก อี้จื่ออีกำลังรีบร้อนจึงอดไม่ได้ที่จะปล่อยเคล็ดวิชากักขังออกไป ทันใดนั้น เ้าสำนักลู่ราวกับถูกใครบางคนปิดปาก ควบคุมแขนขาทั้งสี่ เขายืนอยู่ที่เดิมในทันทีพลางร้องเรียก “อื้อๆๆ”
เจียงเฉิงเยว่ตกตะลึงเล็กน้อย จากนั้นมองท่าทางของอี้จื่ออีอีกครั้งอย่างประหลาดใจ
อี้จื่ออีเองก็นิ่งค้างไปครู่หนึ่ง หันไปเกาศีรษะอย่างเขินอายบอกกับเจียงเฉิงเยว่ “เหอะๆ เอ่อ...ข้าใจร้อนเกินไป ข้าใจร้อนเกินไปกระมัง ฉิงชางจวินจะไม่โทษที่ข้าน้อยจุ้นจ้านเกินไปใช่หรือไม่...” สุดท้ายแล้วพวกเขาเตรียมตัวมาขอความช่วยเหลือ การผูกมัดคนเช่นนี้ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยเหมาะสมนักกระมัง?
เจียงเฉิงเยว่กลับมามีสติได้อย่างรวดเร็ว เขาตบบนไหล่ของอี้จื่ออีอย่างหนักหน่วง กล่าวด้วยรอยยิ้ม “คุณชายอี้คิดมากแล้ว เมื่อครู่ที่คุณชายอี้ปล่อยเคล็ดวิชากักขังนับว่าเป็่เวลาที่เหมาะสม ยอดเยี่ยมนัก”
คนทั้งสองหัวเราะคิกคักกันครู่หนึ่ง โดยทำเหมือนว่าไม่มีเ้าสำนักลู่ครวญครางอยู่ข้างกาย ใบหน้าชราของเ้าสำนักลู่แดงก่ำโดยไม่รู้ว่าโกรธหรืออดกลั้น
รอจนกระทั่งทั้งสองคนนำชายชราออกจากห้องโถงปีกข้างห้องนอน กลับไปอยู่ข้างเตียงนอนและวางลงบนเตียง หลังจากนั้นจึงก้าวไปข้างหน้า เจียงเฉิงเยว่เผยสีหน้าโน้มน้าวใจ “เ้าสำนักลู่ไม่ต้องกังวล พวกเรามาครั้งนี้ไม่ได้มีเจตนาร้าย อันที่จริง...มีข้อตกลงที่้าหารือกับเ้าสำนักลู่ และข้อตกลงนี้...เกรงว่าไม่เหมาะที่จะแพร่งพรายนัก ดังนั้นเมื่อข้าคลายการกักขัง เ้าสำนักลู่อย่าได้เอะอะ ว่าอย่างไร?”
ชายชราจ้องเขม็งอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นพยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้
ทันทีที่อี้จื่ออีคลายการกักขัง ผู้เฒ่าลู่เริ่มเปิดฉากด่าทอ “เ้าสารเลวทั้งสองคน! อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าพวกเ้าเป็ใคร!!! แม้เมื่อครู่จะมองไม่ออก แต่ตอนนี้ข้าจำได้แล้ว!!!” เขามองเจียงเฉิงเยว่ด้วยท่าทางที่้าจะกัดเขาให้ตายและฉีกเป็ชิ้นๆ “ตอนนั้นไม่ใช่เ้าเด็กนี่หรือที่ะโออกมาและทำให้ข้าอับอายต่อหน้าไป๋เจ๋อจวิน?! ข้ายังไม่ทันไปตามหาเ้า เ้ากลับมารนหาที่ตายถึงที่? เบื่อที่จะมีชีวิตแล้วหรือไร ข้าจะสนองเ้าเอง!”
เจียงเฉิงเยว่ครุ่นคิด เฮ้อ ดูเหมือนว่าจะเป็เื่จริง
จากนั้นอีกฝ่ายหันไปหาอี้จื่ออีอีกครั้ง “เ้าเดรัจฉานน้อยนี่ หากข้าจำไม่ผิด...คงเป็เด็กเหลือขอภายใต้ปรมาจารย์สวินเอ๋อแห่งไท่ซื่อซานสินะ?! อาจารย์ของเ้ายามพบข้ายังต้องมีมารยาทกับข้าอยู่สามส่วน แต่เ้าถึงกับกล้ามากับสิ่งของที่วางอยู่บนโต๊ะไม่ได้[3] เช่นนี้ ร่วมมือกันสร้างปัญหาถึงที่สำนักป้าเทียนเชียวหรือ?! คิดว่าด้วยสำนักไท่ซื่อซานของพวกเ้าแล้ว ข้าจะกลัวพวกเ้าแล้วไม่กล้าลงมือกับเ้าอย่างนั้นหรือ! เมื่อครู่เ้าเด็กนั่นเรียกตนเองว่าอะไร? เปิ่นจวิน[4] หรือ ยังกล้ามาคุยข้อตกลงกับข้าอีกหรือ? ใบหน้าใหญ่โตจนกล้าวางมาดต่อหน้าข้า...เ้าคนขอทานยากจน...โดนลาเตะสมองจนฝันกลางวันได้ยิ่งใหญ่เช่นนี้เชียว”
เ้าสำนักลู่ไม่เสียทีที่เป็เ้าสำนัก เมื่อคิดดูแล้วคงตำหนิศิษย์ในสำนักที่อยู่ภายใต้บังคับบัญชา ฝีปากช่างคมกริบเสียจริง ด่าเปิดเปิงเป็ชุดจนแทบไม่หายใจ ทว่าทั้งสองคนที่ถูกดุด่านั้นกลับมีท่าทีงุนงงและคาดไม่ถึง
เจียงเฉิงเยว่กับอี้จื่ออีสบตากันอย่างเหม่อลอยพักหนึ่ง จากนั้นหันไปหาเ้าสำนักลู่อย่างอดไม่ไหว อี้จื่ออีพูดขัดจังหวะ “เ้าสำนักลู่ หรือว่า...หลังจากคืนนั้น ท่านนำศิษย์ในสำนักกลับสำนักป้าเทียนโดยตรง? ไม่รู้เื่หลังจากนั้นสักนิดเลยหรือ?”
หลังจากพูดเช่นนี้ ผู้เฒ่าลู่กลับตกตะลึง เขาเงียบไปชั่วครู่จึงกล่าว “เื่หลังจากนั้น? ภายหลังเกิดเื่อะไรขึ้น?”
ใครบ้างไม่อยากหลีกหนีอย่างรวดเร็วหลังจากเสียหน้าต่อหน้าผู้คนมากมาย รั้งอยู่ที่นั่นเพื่อรอการเยาะเย้ยจากกลุ่มคนหรือ? หลังจากที่เขากลับมาที่สำนักป้าเทียนก็นอนอยู่บนเตียงหลายวันด้วยความอับอายจนอยากตาย ก่อนหน้านั้นไม่กิน ไม่ดื่ม ไม่พบผู้คน ยิ่งไม่กล้าถามถึงเื่เกี่ยวกับเื้ัคดีโซ่วหลิง ด้วยเกรงว่าจะได้ยินในสิ่งที่ตนเองไม่อยากได้ยิน จนถึงวันนี้เพิ่งจะรู้สึกสนใจนิดหน่อยจึงลุกขึ้นมาจัดการตนเอง ยังไม่ทันจัดการตนเองให้เรียบร้อย คนทั้งสองนี้กลับมาโดยไม่ได้รับเชิญ
เมื่อเห็นใบหน้าไร้เดียงสามึนงงของเ้าสำนักลู่ ทั้งสองคนอดไม่ได้ที่จะส่ายศีรษะพลางถอนหายใจกับตนเอง จากนั้นหาที่นั่งแยกกัน อี้จื่ออีมองไปที่เ้าสำนักลู่แล้วกล่าว “เ้าสำนักลู่ ไม่เช่นนั้นลองออกไปถามให้แน่ชัดก่อนค่อยวางแผนอีกครั้งดีหรือไม่?” จากนั้นเขาหันไปหาเจียงเฉิงเยว่ กล่าวด้วยท่าทีและน้ำเสียงที่เคารพอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ “เซียนจวินกับข้าจะรออยู่ที่นี่ รอเ้าสำนักลู่กลับมา”
เมื่อผู้เฒ่าลู่ได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูดก็รู้สึกแปลกใจ พลันมีท่าทีทั้งเชื่อและสงสัยขึ้นมา
อี้จื่ออีคลายอีกฝ่ายออกจากการกักขังอย่างสมบูรณ์ ชายชราลุกขึ้นจัดเสื้อผ้าที่ยุ่งเหยิง จากนั้นเชิดหน้าขึ้นสูง ก้าวเดินอย่างมั่นคงด้วยใบหน้าหยิ่งยโส สะบัดแขนเสื้อออกไป
ทั้งสองคนนั่งรออย่างเงียบเชียบครู่หนึ่ง ค่อยได้ยินเสียงฝีเท้าที่เร่งรีบพุ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน เปิดประตูเสียงดัง ‘พรึ่บ’ และหมุนตัวไปปิดพร้อมลงกลอน จากนั้นจึงยกชายเสื้อคลุม เดินโซซัดโซเซมาทางเจียงเฉิงเยว่พลางะโ “ฉิงชางจวิน! ฉิงชางจวิน! ข้าน้อยมีตาหามีแววไม่! ตาสุนัขมองคนต่ำต้อย[5] ท่านอย่าได้ถือสาผู้ที่มีความรู้ด้อยกว่าเลย!”
อี้จื่ออีกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ทว่าเจียงเฉิงเยว่กลับหัวเราะอย่างเ็า
------------------------
[1] ทอดถอนใจยาวบ้างสั้นบ้าง เป็สำนวน หมายถึง ลักษณะของคนที่กลุ้มใจจนถอนหายใจไม่หยุด
[2] ชูหางขึ้นฟ้า เป็การอุปมา หมายถึง เย่อหยิ่ง จองหอง
[3] สิ่งของที่วางอยู่บนโต๊ะไม่ได้ เป็การอุปมา หมายถึง สิ่งที่น่าอับอายจนไม่กล้าจะโชว์ให้ใครดู
[4] เปิ่นจวิน หมายถึง สรรพนามแทนตัวเองสำหรับผู้สูงศักดิ์
[5] ตาสุนัขมองคนต่ำต้อย หมายถึง การดูถูกเหยียดหยามผู้อื่น
