หลังจากการเดินทางอันยากลำบากข้ามแม่น้ำ ในที่สุดลู่หยวนฮวาและจางชิงหยวนก็เดินทางมาถึงหมู่บ้านชาวนาที่อยู่ไม่ไกลจากค่าย แม้ภายนอกหมู่บ้านจะดูเงียบสงบ แต่เมื่อเดินลึกเข้าไป ความเงียบสงบที่น่าจะมีกลับถูกทำลายด้วยเสียงไอแห้งๆ ดังมาจากบ้านหลังหนึ่ง ตามด้วยเสียงไอที่ดังขึ้นจากอีกหลายบ้าน
“ดูเหมือนชาวบ้านที่นี่จะป่วยกันหนัก” ลู่หยวนฮวากล่าวเสียงเบา พร้อมกวาดตามองชาวบ้านที่นอนซมอยู่บนเตียง ผิวซีดเซียว ตัวร้อนจัด และไออย่างรุนแรง
“เป็เพราะแหล่งน้ำสกปรก” ชายชราคนหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแ่เบา แต่หนักแน่นด้วยความทุกข์ใจ “น้ำที่ใช้การเกษตรถูกปนเปื้อนจากพายุ น้ำท่วมที่ไหลผ่านพาเอาโคลนและสิ่งสกปรกมาด้วย ข้าไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร พวกท่านข้าขอร้องหล่ะ ช่วยพวกเราด้วยเถิด ให้ทำอะไรข้าก็ยอม”
“ข้าจะช่วยพวกท่านเอง ข้าได้นำสมุนไพรมาด้วย หวังว่ามันจะช่วยบรรเทาอาการของพวกท่านได้” ลู่หยวนฮวากล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังและกระตือรือร้น จากนั้นนางก็รีบตรงไปดูอาการของชาวบ้านที่ป่วย โดยไม่รอช้า
สายตาสีน้ำตาลคมเข้มจับจ้องไปยังหญิงสาวที่คุกเข่าอยู่ข้างเตียงของเด็กคนหนึ่ง เด็กน้อยนอนตัวร้อนจัด ไอแห้งๆ อย่างน่าสงสาร นางรีบคว้าสมุนไพรจากถุงที่พกติดตัวมา มือเรียวเล็กบรรจงขยี้ใบสมุนไพรในฝ่ามือด้วยความรวดเร็วแต่แม่นยำ จากนั้นนางจึงผสมสมุนไพรเข้ากับน้ำ สายตาของนางเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น แม้จะรู้สึกกดดันเพราะเวลาที่ไม่เอื้ออำนวยนัก
เสียงลมหายใจของเด็กน้อยเริ่มช้าลง ไอที่เคยถี่ก็ลดลง ความเงียบสงบเริ่มกลับมา สองมือของลู่หยวนฮวารีบไปช่วยเด็กคนต่อไปโดยไม่หยุดพัก
ความอ่อนโยนและความทุ่มเทของนางดึงดูดความสนใจของจางชิงหยวนมากกว่าที่เขาจะยอมรับ ชายหนุ่มสะบัดหัวเล็กน้อย หัวใจของเขาเริ่มเต้นแรงขึ้นอย่างไม่เป็จังหวะ
ั์ตาของเขายังคงเฝ้ามองทุกการกระทำของนาง ไม่ว่าแววตา ความตั้งใจ หรือความอ่อนโยนที่นางมอบให้แก่เด็กน้อยเ่าั้ก็ทำให้เขานึกถึงใครบางคนที่เคยอยู่ในความทรงจำ “ไป่ซูเหม่ย” คนรักที่จากไปแล้ว เขาไม่้าให้ความรู้สึกเก่าๆ กลับมา แต่ภาพของลู่หยวนฮวากลับทับซ้อนอยู่ในความทรงจำเ่าั้อย่างชัดเจน
"ข้าไม่เคยเห็นใครที่มีหัวใจเช่นนี้อีก นอกจาก...นาง" เขาพึมพำเบาๆ ในใจ
ความทรงจำที่เคยฝังลึกในใจเขากลับมาทับซ้อนกับภาพของหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า
ในขณะนั้น เสียงฝีเท้าเบาๆ ดังขึ้นข้างหลังของเขา ทำให้จางชิงหยวนหันไปพบกับเิอวี้ บุตรสาวของเ้าเมืองิอวี้ที่เดินเข้ามาหาเขาด้วยรอยยิ้ม
“เิอวี้” เป็หนึ่งในสาวงามที่เลื่องลือไปทั่วเมืองิอี้ ผิวขาวนวลดุจหยกขับให้ใบหน้าของนางดูอ่อนหวานอย่างเป็ธรรมชาติ คิ้วเรียวยาวรับกับดวงตากลมโตที่เป็ประกายคมเฉียบ
แม้ว่ารอยยิ้มจะปรากฏบนใบหน้าของนางอยู่เสมอ แต่ในความงามนั้นกลับแฝงไปด้วยความเยือกเย็น ริมฝีปากสีแดงสดของนางขยับยิ้มบางๆ อย่างนุ่มนวล แต่แววตาของนางกลับส่องประกายที่แฝงไปด้วยความลึกลับ
เรือนผมยาวสีดำเงางามของนางถูกรวบไว้เรียบร้อยด้วยปิ่นทองประดับอัญมณี ดูหรูหราและสง่างาม เสื้อผ้าของเิอวี้ประดับด้วยลายปักดอกไม้และนกสีทอง ซึ่งบ่งบอกถึงฐานะที่สูงส่งของนางในฐานะบุตรสาวของขุนนางเมืองิอี้เป็อย่างดี
เมื่อเิอวี้เดินเข้ามาใกล้ จางชิงหยวนรู้สึกถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไป แม้ว่ารอยยิ้มของนางจะดูเป็มิตร แต่กลับทำให้ผู้คนรอบข้างรู้สึกถึงความไม่จริงใจที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงและท่าทางของนาง
“ท่านแม่ทัพ...” เิอวี้พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหวานใสราวกับน้ำผึ้งหยด ริมฝีปากสีแดงของนางคลี่ยิ้มอย่างมีเลศนัย ขณะที่นางก้าวเข้ามาใกล้จางชิงหยวนมากขึ้น ดวงตากลมโตเป็ประกายจับจ้องเขาอย่างจงใจ ราวกับพยายามอ่านใจของเขาในทุกความเคลื่อนไหว
“ท่านดูเคร่งเครียดนัก... ข้าขอถามสักนิดได้หรือไม่ ว่าสิ่งใดที่ดึงความสนใจของท่านไปจากข้ากัน?”
น้ำเสียงที่นางใช้แฝงไว้ด้วยความยั่วยวน ราวกับนางกำลังหว่านล้อมให้เขาหันมามองนางมากกว่าสิ่งอื่นใด ร่างกายของนางขยับเข้ามาใกล้เขาในระยะที่แทบจะัักันได้ กลิ่นหอมอ่อนๆ จากนางลอยมาแตะจมูกของเขา
ขณะที่เิอวี้จงใจโน้มตัวเข้ามาเล็กน้อย ทิ้งระยะห่างเพียงพอที่จะทำให้เขารู้สึกถึงความใกล้ชิด แต่ไม่ถึงกับเปิดเผยเจตนาทั้งหมด ดวงตาของนางทอดมองไปที่จางชิงหยวนอย่างมีเลศนัย ขณะที่นางรอคอยคำตอบจากเขาอย่างใจจดใจจ่อ
จางชิงหยวนตอบกลับด้วยเพียงการพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนที่นางจะหันมามองลู่หยวนฮวาที่กำลังเดินไปไกลออกไป เิอวี้มองตามสายตาของจางชิงหยวนไป และรอยยิ้มเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยความริษยาก็เริ่มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนาง
"ลู่หยวนฮวา?" เิอวี้เอ่ยด้วยน้ำเสียงเ็า "นังเด็กต้องสาปคนนั้น?"
คำพูดของเิอวี้ทำให้บรรยากาศที่เคยสงบเริ่มตึงเครียดขึ้น จางชิงหยวนหันมามองนางด้วยสายตาที่เ็า ความสงสัยและคำถามเริ่มก่อตัวขึ้นในใจของเขา เขาไม่เคยได้ยินเื่คำสาปนี้มาก่อน แต่ทว่าคำพูดที่เปล่งออกมาจากเิอวี้นั้นสร้างความกลัวให้แก่ชาวบ้านที่อยู่ใกล้เคียง
ชาวบ้านเริ่มกระซิบกระซาบกัน
"คำสาป...คำสาปของตระกูลลู่หรือ?"
“ใช่ๆ ข้าได้ยินมาว่าตระกูลลู่แห่งเมืองิอี้นั้นเป็ตระกูลต้องสาป!”
ชาวบ้านคนหนึ่งพูดเบาๆ "พวกเราควรจะไล่นางไป มิฉะนั้นคำสาปอาจจะทำให้หมู่บ้านของเราตกอยู่ในอันตราย!"
เสียงกระซิบดังขึ้นเรื่อยๆ ความกลัวเริ่มแผ่ขยายไปทั่วหมู่บ้านอย่างรวดเร็ว ชาวบ้านที่เคยมองลู่หยวนฮวาด้วยสายตาชื่นชมเริ่มเปลี่ยนเป็ความหวาดกลัวและระแวดระวัง พวกเขาถอยห่างจากนางโดยไม่รู้ตัว
จางชิงหยวนรู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่างในใจที่เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อน ความรู้สึกนี้ไม่ได้เกิดจากหน้าที่หรือความรับผิดชอบตามตำแหน่งแม่ทัพของเขา แต่มันลึกซึ้งกว่านั้น
เขามองลู่หยวนฮวาในขณะที่นางพยายามทำทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือเด็กๆ และชาวบ้านอย่างไม่เห็นแก่ความลำบากของตัวเอง แม้จะถูกกล่าวหาหรือเข้าใจผิด นางก็ยังคงยืนหยัดอยู่ในจุดที่ใครหลายคนอาจเลือกเดินหนี
หัวใจของจางชิงหยวนเต้นแรงขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่ใช่เพราะความโกรธหรือความเครียดแบบที่เขาคุ้นเคย มันเป็ความรู้สึกที่ซับซ้อน
ความปรารถนาที่จะปกป้องหญิงสาวคนนี้ ไม่ใช่เพียงเพราะนางกำลังเผชิญกับความไม่ยุติธรรม แต่มันเป็ความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น ความอ่อนโยนของนาง ความกล้าหาญที่เขาไม่เคยคาดหวังจากผู้หญิงที่ดูเปราะบางอย่างลู่หยวนฮวา ทำให้เขารู้สึกว่าต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อปกป้องนาง
จางชิงหยวนไม่อาจทนต่อความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา เขาก้าวไปยืนเคียงข้างลู่หยวนฮวา แผ่นหลังตรงสง่างามและเต็มไปด้วยความมั่นคง รัศมีที่แผ่ออกมาจากร่างของเขาทำให้ทุกคนหยุดชะงัก
"แม่นางลู่มาที่นี่เพื่อช่วยเหลือพวกเ้า ในขณะที่คนอื่นมองข้ามความทุกข์ยาก แต่นางอาสาเข้ามาช่วย โดยไม่มีเหตุผลใดที่นางจะต้องทำเช่นนั้น" น้ำเสียงของเขาหนักแน่น สะท้อนให้เห็นถึงความจริงใจในคำพูด แม้คนในหมู่บ้านจะยังคงหวาดกลัวอยู่บ้าง แต่ไม่มีใครกล้าที่จะโต้แย้งคำพูดของแม่ทัพผู้มากด้วยบารมีเช่นนี้
"ข้าพูดชัดเจนแล้ว" เขาพูดต่อ พร้อมมองรอบๆ ด้วยสายตาที่ไม่อาจต่อต้าน "ไม่มีคำสาปใดๆ ทั้งสิ้น หากใครยังกลัว ข้าจะรับผิดชอบทุกอย่างเอง แต่ข้าไม่อาจทนเห็นพวกเ้ากล่าวหาผู้ที่มาช่วยเหลือพวกเ้าได้"
คำพูดของเขาหนักแน่นและแหลมคมเหมือนดาบที่ฟาดลงมา ทุกคนที่ยืนอยู่ต่างพากันเงียบงัน ไม่มีใครกล้าเอ่ยคำใด แม้แต่เิอวี้ที่ยืนอยู่ข้างหลัง
เิอวี้ที่ยืนอยู่ข้างหลังเห็นการเปลี่ยนแปลงนี้ และนางมีความไม่พอใจในความสัมพันธ์ของจางชิงหยวนและลู่หยวนฮวามาก แต่ไม่กล้าพูดอะไรต่อ
จางชิงหยวนหันมามองนางด้วยสายตาที่เยือกเย็น ก่อนจะพูดขึ้น “ข้าแนะนำให้แม่นางเิระวังคำพูดในอนาคต ความหวาดกลัวและการกล่าวหาโดยไร้เหตุผล อาจทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ไม่มีใคร้า”
เิอวี้หน้าเสีย แต่นางไม่กล้าตอบโต้อีก นางเพียงโค้งศีรษะเล็กน้อยและค่อยๆ ถอยหลังออกจากกลุ่มคนด้วยท่าทางที่เงียบสงบ แต่กลับเต็มไปด้วยความขัดเคือง
จางชิงหยวนหันกลับมามองลู่หยวนฮวา ใบหน้าของนางยังคงเงียบงัน ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมา
หลังจากที่ชาวบ้านเริ่มสงบลงและตกลงที่จะขายเสบียง จางชิงหยวนหันมองไปที่ลู่หยวนฮวาที่กำลังยืนเงียบ นางไม่พูดอะไร แม้ภายนอกจะดูแข็งแกร่ง แต่เขาสังเกตเห็นความอ่อนล้าที่ซ่อนอยู่ในดวงตาของนาง
"เ้าเหนื่อยหรือไม่?" จางชิงหยวนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่เข้มแข็งเหมือนครั้งก่อน แต่กลับแฝงไปด้วยความอ่อนโยนที่นางไม่คาดคิด
ลู่หยวนฮวาสบตาเขาชั่วครู่ก่อนที่จะหลบสายตาลง นางไม่อยากแสดงความอ่อนแอออกมา แต่ก็รู้สึกถึงความเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ "ข้า... ข้ายังไหวเ้าค่ะ" นางตอบเสียงเบา พลางฝืนยิ้มให้เขา
จางชิงหยวนขยับเข้าใกล้นางเล็กน้อย สายตาของเขายังคงจ้องมองนางอย่างนิ่งสงบ "เ้าช่วยพวกเขามามากแล้ว กลับค่ายกันเถอะ"
คำพูดของเขาทำให้ลู่หยวนฮวารู้สึกถึงความอบอุ่นที่ไม่คาดคิด นางพยายามควบคุมอารมณ์ที่สั่นไหวในใจ นางรู้สึกว่าจางชิงหยวนมองนางในแบบที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
"ข้าแค่... ข้าไม่อยากให้ใครต้องลำบากเพราะข้า" ลู่หยวนฮวาตอบด้วยเสียงสั่นเบา ความรู้สึกหนักอึ้งที่นางต้องแบกรับมาตลอดเริ่มเผยออกมาเล็กน้อย
จางชิงหยวนมองเห็นความเปราะบางของนาง เขารู้สึกถึงความผูกพันและความ้าที่จะปกป้องนางอย่างที่เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อน เขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจังแต่แฝงไปด้วยความอ่อนโยน "เ้าไม่จำเป็ต้องทำทุกอย่างคนเดียว เ้าควรพักบ้าง... และให้ข้าได้ปกป้องเ้าในบ้างครั้ง"
ลู่หยวนฮวาหันมองจางชิงหยวนด้วยความใ นางไม่คาดคิดว่าจะได้ยินคำพูดเช่นนี้จากเขา สายตาของนางจับจ้องอยู่ที่เขาชั่วขณะหนึ่ง ก่อนที่นางจะยิ้มเล็กๆ ให้เขา แม้ว่านางจะยังรู้สึกสับสนอยู่ แต่ความรู้สึกอบอุ่นเริ่มแผ่ซ่านในใจนาง
"ขอบคุณเ้าค่ะ ท่านแม่ทัพ..."
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้