บทที่ 1: ความจริงในโลกปัจจุบัน
กริ๊งงงง!
เสียงนาฬิกาปลุกดิจิทัลดังแผดสนั่นราวกับเสียงไซเรนฉุกเฉิน มันกระชาก หลินเย่วชิง ออกจากห้วงนิทราที่ไร้ความฝันอย่างรุนแรง เธอลุกพรวดขึ้นนั่งบนเตียง สัญชาตญาณแพทย์สั่งให้ร่างกายตื่นตัวในทันที แต่หัวใจกลับเต้นรัวด้วยความใไม่ใช่ความพร้อม "โอ๊ย! จะดังอะไรขนาดนี้เนี่ย!" เธอพึมพำพลางยกมือนวดขมับที่ปวดตุบๆ ความเหนื่อยล้าที่สะสมมาตลอดสัปดาห์ยังคงเกาะกินทุกอณูของร่างกาย แม้จะนอนไปหลายชั่วโมง แต่ก็รู้สึกเหมือนได้พักเพียงไม่กี่นาที
เมื่อเหลือบมองนาฬิกาบนโต๊ะข้างเตียง ตัวเลขสีแดงฉานบอกเวลาหกโมงเช้า เธอก็ถอนหายใจยาว "เช้าอีกแล้วเหรอ..." แต่แล้วรอยยิ้มเล็กๆ ที่อ่อนล้าก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า "เอาล่ะ... อย่างน้อยก็วันศุกร์แล้ว" แค่ความคิดว่าพรุ่งนี้จะได้หยุดพัก ก็เหมือนน้ำทิพย์ชโลมใจ "พรุ่งนี้จะได้หยุดเสียที จะออกไปหาของอร่อยๆ กินนอกเมืองให้หนำใจ แล้วก็แวะร้านของวินเทจลุงโจซะหน่อย" เธอพูดให้กำลังใจตัวเอง เหมือนเป็มนต์สะกดที่ช่วยให้ลุกจากเตียงไหว พร้อมกับเอื้อมมือไปปิดเสียงปลุกที่น่ารำคาญนั้นเสีย
ชีวิตของ หลินเย่วชิง ในปัจจุบันคือวงจรแห่งความวุ่นวายและความกดดันที่ไม่มีที่สิ้นสุด เธอเป็แพทย์มือดีประจำห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลที่ใหญ่ที่สุดในเซี่ยงไฮ้ สถานที่ที่ความเป็และความตายอยู่ห่างกันแค่ลมหายใจกั้น ทุกวินาทีคือการตัดสินใจที่อาจเปลี่ยนแปลงชีวิตคนได้ตลอดไป แม้จะเก่งกาจและเป็ที่ยอมรับจนได้รับฉายาว่า "หัตถ์เทวดา" แต่ความรับผิดชอบอันหนักอึ้งก็พรากเวลาและพลังชีวิตของเธอไปจนเกือบหมดสิ้น ภาพสุดท้ายก่อนที่เธอจะหลับไปเมื่อคืน คือภาพของผู้ป่วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่เธอพยายามยื้อชีวิตไว้อย่างสุดความสามารถ แต่ก็ไม่สำเร็จ... ความรู้สึกพ่ายแพ้ยังคงติดอยู่ในใจ
ในห้องพักแพทย์่เบรกสั้นๆ กลิ่นกาแฟดำเข้มข้นผสมกับกลิ่นยาฆ่าเชื้อจางๆ กลายเป็กลิ่นประจำตัวของเธอไปแล้ว หลินเย่วชิง จิบกาแฟพลางมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างไร้จุดหมาย สายตามองผ่านตึกระฟ้าและแสงสีของเมืองใหญ่ แต่ในใจกลับโหยหาความเรียบง่าย "เฮ้อ... อยากย้อนกลับไปยุค 80 จัง ทุกอย่างคงไม่วุ่นวายขนาดนี้" เธอรำพึงกับตัวเองเบาๆ
ยุค 80 สำหรับเธอ ไม่ใช่แค่แฟชั่นหรือดนตรี แต่เป็สัญลักษณ์ของยุคสมัยที่ชีวิตยังคงมีความเนิบช้า ผู้คนยังมีเวลาเงยหน้ามองท้องฟ้า เขียนจดหมายหากัน และนั่งฟังเพลงจากแผ่นเสียง มันคือยุคที่ปราศจากความเร่งรีบของโซเชียลมีเดีย ปราศจากข้อมูลข่าวสารที่ถาโถมเข้าใส่ทุกวินาที เป็โลกที่เธอจินตนาการว่าจะได้พบกับความสงบที่แท้จริง
"ว่าไงนะหมอหลิน อยากกลับไปยุค 80 เหรอ?" เสียงของ หมอหลี่ ศัลยแพทย์หนุ่มเพื่อนร่วมงานที่เพิ่งเดินเข้ามา ทำให้เธอสะดุ้งหลุดจากภวังค์
"อ้าว หมอหลี่!" เธอหันไปยิ้มเจื่อนๆ พยายามซ่อนความอ่อนล้าไว้ใต้แววตา "แหม ก็แค่คิดเพลินๆ น่ะค่ะ ่นี้งานมันเหนื่อยจนแทบไม่มีเวลาหายใจเลย"
หมอหลี่ ทรุดตัวลงนั่งเก้าอี้ข้างๆ พร้อมกับถอนหายใจอย่างเห็นด้วย "เข้าใจเลย เมื่อคืนเคสหนักๆ ทั้งนั้น ผมเองก็แทบจะไม่ได้ยืนเลย" เขาหัวเราะเบาๆ "แต่ถ้าหาทางกลับไปยุค 80 ได้จริงๆ ฝากซื้อตั๋วเผื่อผมด้วยใบนะ! ขอไปนอนโง่ๆ สักเดือน" คำพูดติดตลกของเขาทำให้บรรยากาศที่ตึงเครียดผ่อนคลายลงเล็กน้อย "พักหน่อยเถอะ เดี๋ยวก็มีเคสเข้ามาอีกไม่หยุดแน่"
หลินเย่วชิง ยิ้มรับอย่างขอบคุณ "ขอบคุณนะคะหมอหลี่" เธอมองตามเพื่อนร่วมงานที่เดินออกไปรับโทรศัพท์ พลางนึกถึงชีวิตในยุค 80 ที่เธอหลงใหล มันคงเป็ชีวิตที่เรียบง่ายและมีความหวัง... แตกต่างจากชีวิตที่เธอต้องเผชิญอยู่ตอนนี้ราวฟ้ากับดิน
ของวิเศษในร้านของเก่า
แสงแดดอ่อนๆ ของเช้าวันเสาร์สาดส่องเข้ามาปลุก หลินเย่วชิง ให้ตื่นขึ้นมาโดยไม่มีเสียงนาฬิกาปลุก ความรู้สึกของการได้ตื่นนอนตามใจปรารถนาเป็สิ่งวิเศษที่สุดในรอบสัปดาห์ วันนี้เธอสลัดคราบแพทย์หญิงในชุดสครับสีเขียวทิ้งไป เธออยู่ในลุคสบายๆ ด้วยเสื้อยืดสีขาวเนื้อดี กางเกงยีนขาดเข่าที่ดูทะมัดทะแมง และรองเท้าผ้าใบคู่โปรด การได้แต่งตัวเป็คนธรรมดาทำให้เธอรู้สึกเหมือนได้เป็ตัวของตัวเองอีกครั้ง
เธอขับรถออกจากใจกลางเมืองที่วุ่นวาย มุ่งหน้าสู่ตลาดของเก่าชานเมืองที่เธอชอบไปเดินเล่นเพื่อหลีกหนีความจริง ระหว่างทางก็ไม่ลืมแวะซื้อตะกร้าผลไม้สดใหม่ติดมือไปฝาก ลุงโจ เ้าของร้านของวินเทจเ้าประจำที่เอ็นดูเธอเหมือนลูกหลาน สองอาทิตย์ก่อนลุงโทรมาบอกข่าวดีว่ามีของล็อตใหม่ที่ "คุณหมอต้องชอบแน่ๆ" เข้ามาที่ร้าน
บรรยากาศในร้านของ ลุงโจ ช่างแตกต่างจากโลกภายนอก กลิ่นอายของไม้เก่า หนังสือ และกาลเวลาลอยอบอวลไปทั่ว ของวินเทจนับร้อยนับพันชิ้นวางเรียงรายรอให้ใครสักคนมาค้นพบเื่ราวของมัน
"อ้าว คุณหมอหลิน! ลุงนึกแล้วว่าวันนี้ต้องมา" ลุงโจ ชายชราผมสีดอกเลาแต่ยังมีรอยยิ้มที่อบอุ่นทักทายอย่างเป็กันเอง "มาพอดีเลย ของเพิ่งลงเมื่อวานนี้เอง เชิญดูตามสบายเลยครับ"
"นี่ค่ะลุง หนูมีผลไม้มาฝาก" เธอยื่นตะกร้าผลไม้ให้พลางเดินดูของในร้านอย่างเพลิดเพลิน ของวินเทจมากมายวางเรียงราย แต่ก็ยังไม่มีชิ้นไหนที่ดึงดูดใจเธอเป็พิเศษ "ลุงโจคะ เห็นลุงบอกว่ามีกระจกเก่ามาด้วย หนูหาไม่เจอเลยค่ะ"
"อ๋อ กระจกบานนั้น" ลุงโจ ทำหน้าครุ่นคิด "มันอยู่หลังร้านแน่ะ พอดีมันใหญ่แล้วก็หนักมากลุงเลยยังไม่ได้ย้ายออกมาโชว์ ถ้าคุณหมอสนใจก็ลองเดินไปดูได้เลยนะ แต่ระวังหน่อยล่ะ มันดูเก่าแปลกๆ"
หลินเย่วชิง ยิ้มกว้าง "ลุงพูดซะขนาดนี้ ยิ่งต้องไปดูแล้วล่ะค่ะ"
เธอเดินอ้อมชั้นวางของไปยังพื้นที่เก็บของด้านหลังร้าน และก็ได้พบกับกระจกบานใหญ่ที่พิงผนังอยู่ มีเพียงผ้าใบเก่าๆ คลุมไว้หลวมๆ เมื่อเธอค่อยๆ ดึงผ้าใบออก ฝุ่นผงก็ลอยคลุ้งขึ้นมาจนเธอต้องไอค่อกแค่ก แต่ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าทำให้เธอลืมทุกสิ่ง
"ว้าว..." เธออุทานออกมาเบาๆ "เก่าจริงด้วย แต่สวยมีเสน่ห์มาก"
มันเป็กระจกกรอบไม้สีเข้มแกะสลักลวดลายวิจิตรบรรจง เป็ลายเถาวัลย์และดอกไม้ที่ดูราวกับมีชีวิตชีวา แต่ที่น่าแปลกคือเนื้อกระจกที่ดูมัวหมองกลับสะท้อนภาพได้ไม่ชัดเจนนัก ราวกับมีม่านหมอกบางๆ ปกคลุมอยู่ตลอดเวลา หลินเย่วชิง ค่อยๆ ลูบไล้ฝุ่นบนกรอบไม้อย่างแ่เบา ััได้ถึงพลังงานบางอย่างที่แฝงอยู่ในเนื้อไม้
"สวยใช่ไหมล่ะ" เสียง ลุงโจ ดังขึ้นจากด้านหลัง ทำให้เธอสะดุ้งเล็กน้อย "ลุงว่าคนชอบของเก่าอย่างเธอน่าจะชอบมันนะ กระจกบานนี้มีตำนานแปลกๆ เหมือนกัน คนที่ขายให้ลุงเขาเล่าว่ามันเป็ของตกทอดมาจากตระกูลเก่าแก่ เขาว่ากันว่ามันเชื่อมโยงกับความลึกลับบางอย่าง ใครที่จ้องมองมันนานๆ อาจจะเห็น... สิ่งที่ไม่คาดฝัน"
"ลุงก็พูดให้หนูกลัวไปได้" เธอหัวเราะเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกประหลาดที่ก่อตัวขึ้นในใจ "หนูเป็หมอนะคะ ไม่เชื่อเื่ลึกลับอะไรแบบนั้นหรอกค่ะ" แต่ถึงปากจะพูดอย่างนั้น สายตาของเธอก็ยังคงจ้องมองกระจกบานนั้นไม่วางตา หลังจากลุงโจเดินกลับเข้าไปในร้าน
เย่วชิงยังคงมองลึกเข้าไปในเงาสะท้อนที่พร่ามัวนัน และสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น!
ภาพเงาของเธอเริ่มบิดเบี้ยวและเลือนหายไป แทนที่ด้วยวงแหวนลึกลับที่คล้ายกับห้วงจักรวาลกำลังหมุนวนอย่างช้าๆ! วงแหวนสีทองและสีม่วงไหลเวียนดูดสายตาของเธอจนแทบละไปไม่ได้ ร่างกายรู้สึกเหมือนกำลังจะถูกดูดเข้าไปในนั้น สติสัมปชัญญะของเธอเริ่มพร่าเลือน ในฐานะแพทย์ สมองของเธอพยายามหาคำอธิบาย "ภาพหลอน? หรือเรากำลังจะเป็ลม?" แต่ความรู้สึกที่เกิดขึ้นมันจริงเกินไป
"เหมียว~"
เสียงร้องของแมวตัวหนึ่งดังขึ้นข้างๆ ตัว ทำให้ หลินเย่วชิง สะดุ้งหลุดจากภวังค์ราวกับถูกกระชากกลับมาสู่ความจริง เธอหันขวับไปมอง เห็นแมวสีดำสนิทตัวหนึ่งกำลังนั่งจ้องกระจกอยู่ข้างๆ ขนของมันดำขลับราวกับรัตติกาล มีเพียงดวงตาสีอำพันคู่โตที่ส่องประกายวาววับ มันหันมามองเธอด้วยแววตาที่ดูราวกับจะบอกอะไรบางอย่าง ราวกับว่ามันก็เห็นในสิ่งที่เธอเห็นเช่นกัน
แหวนและประตูมิติ
หลังจากต่อรองราคาอยู่นาน ลุงโจ ก็ยอมขายกระจกบานนั้นให้เธอในราคาห้าพันหยวน ซึ่งเป็เงินจำนวนไม่น้อยเลย แต่ หลินเย่วชิง กลับรู้สึกว่าต้องซื้อมันให้ได้ เขาช่วยเธอยกมันไปไว้ที่รถอย่างทุลักทุเล ขณะที่เธอกำลังจะปิดประตูท้ายรถ เสียงเดิมก็ดังขึ้นข้างๆ
"เมี๊ยว!"
"อ้าว เ้าเหมียว ยังอยู่อีกเหรอ" เธอหันไปมองแมวดำตัวเดิมที่กำลังนั่งจ้องมองบางอย่างบนพื้นใกล้ล้อรถของเธออย่างตั้งใจ "เอ๊ะ!.. นั่นมัน... แหวนอะไรน่ะ?"
ท่ามกลางเศษฝุ่นและใบไม้แห้ง มีแหวนวงเล็กๆ วงหนึ่งตกอยู่ มันเป็แหวนโลหะเรียบๆ ที่ดูเก่า แต่หัวแหวนกลับเป็ลูกแก้วใสขนาดเล็ก เธอหยิบมันขึ้นมาดูอย่างสงสัย "สวยจัง... เ้าเอามาจากไหนกันนะเ้าเหมียว"
และทันใดนั้นเอง! ภาพวงแหวนห้วงจักรวาลแบบเดียวกับที่เห็นในกระจกก็ปรากฏขึ้นในลูกแก้วบนหัวแหวน! มันหมุนวนอยู่ในมือของเธออย่างชัดเจน พร้อมกับพลังงานอบอุ่นที่แผ่ซ่านจากลูกแก้วเข้าสู่ปลายนิ้วของเธอ
"นี่มัน... อะไรกัน..." หลินเย่วชิง พึมพำอย่างตกตะลึง เธอรีบหันกลับไปมองเ้าแมวเพื่อหาคำตอบ... แต่มันก็หายตัวไปแล้ว
"เฮ้! เ้าเหมียว! หายไปไหนแล้ว" เธอร้องเรียกพลางมองไปรอบๆ บริเวณนั้นอย่างสับสน แต่กลับไม่พบร่องรอยใดๆ ราวกับว่าเมื่อครู่นี้มันไม่เคยมีอยู่ตรงนั้นมาก่อน
"บ้าไปแล้วจริงๆ ..." เธอพึมพำกับตัวเอง มือข้างหนึ่งกำแหวนไว้แน่น ส่วนอีกข้างยกขึ้นมากุมหน้าอกที่หัวใจกำลังเต้นระรัวด้วยความประหลาดใจและความหวาดหวั่น... เื่ราวทั้งหมดนี้มันคืออะไรกันแน่! โลกแห่งเหตุผลที่เธอเคยยึดมั่นกำลังพังทลายลงตรงหน้า และเธอกำลังจะก้าวเข้าสู่ความจริงบทใหม่ที่น่าพิศวงที่สุดในชีวิต..!
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้