“ทะ... ท่านพ่อ” ยามนี้โม่เสวี่ยฉงใจนหน้าถอดสี
“ท่านพ่อ” โม่เสวี่ยถงกัดริมฝีปากอย่างข่มกลั้นความรู้สึกที่ได้รับความไม่เป็ธรรม ใบหน้าคลี่ยิ้มอ่อนหวาน แต่ขอบตาแดงเรื่อกลับเผยความหมองเศร้าในดวงตาทำให้ยิ่งดูน่าสงสาร คิดถึงถ้อยคำที่โม่เสวี่ยฉงด่านางเมื่อครู่ โม่ฮว่าเหวินก็ถลึงตาดุใส่บุตรสาวคนที่สี่ทีหนึ่ง ก่อนจะเดินเข้ามาหาโม่เสวี่ยถงแล้วลูบศีรษะนางอย่างรักใคร่ “ถงเอ๋อร์ เมื่อคืนหลับสบายดีหรือไม่”
“ขอบพระคุณเ้าค่ะท่านพ่อ ถงเอ๋อร์หลับสบายดีมากจนวันนี้ตื่นสายเลยทีเดียว” โม่เสวี่ยถงสูดหายใจฟืดๆ พยายามข่มกลั้นน้ำเสียงปนสะอื้น ดวงหน้าเล็กจ้อยเชิดขึ้น ยื่นมือไปจับชายอาภรณ์สีน้ำเงินเข้มของโม่ฮว่าเหวิน แล้วผลิรอยยิ้มอ่อนโยนอย่างประจบเอาใจ “ท่านพ่ออย่าดุน้องสี่เลยเ้าค่ะ นางกับพี่หญิงใหญ่แค่อบรมสั่งสอนถงเอ๋อร์ว่าควรจะประพฤติตนอย่างไรเท่านั้น มิได้รังแกถงเอ๋อร์จริงๆ นะเ้าคะ”
นี่ถือเป็การเหมารวมโม่เสวี่ยฉงกับโม่เสวี่ยิ่ไว้ด้วยกันเสร็จสรรพ
คำพูดนี้ทำให้โม่เสวี่ยิ่ถึงกับอึ้งงันอยู่ครู่ใหญ่ ขณะที่กำลังจะโต้ตอบ โม่ฮว่าเหวินก็หันมากล่าวสั่งสอนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ิ่เอ๋อร์ แม้ว่าในจวนนี้เ้าจะเป็บุตรสาวคนโต แต่ก็ควรเข้าใจว่ามีเพียงถงเอ๋อร์เท่านั้นที่เป็บุตรภรรยาเอกของบิดาในจวนนี้ แม้ว่ามีสิ่งใดไม่ถูกไม่ควรจริงๆ เ้าผู้เป็พี่สาวก็ทำได้เพียงชี้แนะอย่างนุ่มนวล ไยจึงร่วมกับน้องสาวสั่งสอนถงเอ๋อร์แบบนี้ ไม่รู้จักแยกแยะว่าผู้ใดบุตรภรรยาเอกผู้ใดบุตรอนุ”
โม่เสวี่ยิ่หนาวเยือกไปถึงส่วนลึกของหัวใจ ความเกลียดชังทอวาบอยู่ภายใต้ก้นบึ้งของดวงตา ทว่าใบหน้ากลับผลิยิ้มอ่อนโยน กล่าวด้วยความรู้สึกผิดเป็หมื่นส่วน “ใช่แล้วเ้าค่ะ ท่านพ่อสั่งสอนได้ถูกต้องแล้ว ิ่เอ๋อร์มีความผิด ที่ไม่รู้จักห้ามปรามน้องสามกับน้องสี่เวลาที่พวกนางถกเถียงกัน ท่านพ่อโปรดลงโทษลูกเถิดเ้าค่ะ”
“ท่านพ่อ ถงเอ๋อร์ผิดเอง ทั้งหมดเป็ความผิดของถงเอ๋อร์เพียงผู้เดียว ท่านพ่ออย่าตำหนิพี่หญิงใหญ่กับน้องสี่เพราะเื่เหล่านี้เลยนะเ้าคะ พี่น้องมีปากเสียงกันบ้าง มิได้จริงจังอันใด ท่านพ่อดูสิเ้าคะ ถงเอ๋อร์มิได้ใส่ใจและไม่นำพาแม้แต่น้อย” โม่เสวี่ยถงกล่าวจบก็กระตุกชายเสื้อของโม่ฮว่าเหวินไปมาเบาๆ แม้ดวงตาฉ่ำหวานจะคล้ายมีหมอกบางๆ คลุมอยู่ชั้นหนึ่ง แต่ดวงหน้าเล็กจ้อยกลับผลิยิ้มเบ่งบานราวกับบุปผา พยายามแสดงออกว่าตนเองมิได้ถูกเอาเปรียบใดๆ ทั้งสิ้น
เมื่อโม่ฮว่าเหวินเห็นบุตรสาวทั้งน่ารักและรู้ความเยี่ยงนั้น หัวใจก็เต็มตื้นไปด้วยความเมตตารักใคร่ เขาลูบมือนางเบาๆ แล้วกล่าวอย่างอ่อนโยน “เอาเถิด พ่อเชื่อถงเอ๋อร์ก็ได้ แต่ก็ไม่อาจให้พวกนางลบหลู่สถานะของเ้า ถงเอ๋อร์ต้องจำไว้ว่า เ้ากับพวกนางแตกต่างกัน ในจวนแห่งนี้บุตรภรรยาเอกที่ถูกต้องมีเพียงเ้าผู้เดียว ดังนั้นไม่จำเป็ต้องกลัวใคร มีเื่อันใดให้มาบอกพ่อด้วยตนเอง พ่อจะช่วยจัดการให้แน่นอน”
คำพูดนี้มิได้เป็เพียงการปลอบใจ แต่เป็การแสดงออกชัดเจนว่าเขาเข้าข้างนาง โม่เสวี่ยฉงบิดผ้าเช็ดหน้าที่ถืออยู่ในมืออย่างแรงจนแทบขาดวิ่น ขุ่นเคืองใจจนแทบอยากข่วนใบหน้าจิ้มลิ้มของโม่เสวี่ยถงให้พังยับ
ความอิจฉาริษยาของในดวงตาของโม่เสวี่ยิ่มิได้น้อยไปกว่าโม่เสวี่ยฉง แต่นางยังต้องรักษาภาพลักษณ์อ่อนโยนของตนเอง จึงกล่าวอย่างใจกว้าง “ท่านพ่อสั่งสอนได้ถูกต้องแล้ว ต่อไปิ่เอ๋อร์จะปกป้องน้องสามอย่างดี ไม่ให้ใครดูิ่นางได้แน่นอนเ้าค่ะ”
“ขอบคุณมากเ้าค่ะพี่หญิงใหญ่ ต่อไปถงเอ๋อร์จะดีกับพี่หญิงใหญ่และน้องสี่ให้มากๆ แน่นอน” โม่เสวี่ยถงปล่อยมือจากเสื้อของบิดา แล้วหันมายอบกายเล็กน้อยให้โม่เสวี่ยิ่ด้วยความซาบซึ้งใจ
เห็นพวกนางสองคนต่างยิ้มให้กัน ไม่มีทีท่าถือสาหาความ โม่ฮว่าเหวินก็มีสีหน้ายิ้มแย้มโดยไม่รู้ตัว เขาชื่นชมบุตรสาวคนโตผู้นี้ตลอดมา นิสัยใจคอเรียบร้อยอ่อนหวาน จิตใจกว้างขวางและงามสง่าเยี่ยงธิดาตระกูลใหญ่อย่างเต็มเปี่ยม เสียที่เกิดมาเป็เพียงบุตรอนุภรรยา ช่างน่าเสียดายพร์ของนางยิ่งนัก เดิมทีคิดเอาไว้ว่าหลังจากพ้นกำหนดไว้ทุกข์ให้ลั่วเสียแล้ว แค่ยกฟางอี๋เหนียงขึ้นมาเป็ภรรยาเอกก็นับว่าเป็การเลื่อนฐานะให้ิ่เอ๋อร์ด้วย
แต่ตอนนี้โม่ฮว่าเวินกลับลังเลใจเสียแล้ว
ฟางอี๋เหนียงจะรักถงเอ๋อร์ด้วยใจจริงได้แน่หรือ จดหมายที่ตนเองไม่เคยได้รับเ่าั้ กับเล่ห์กลที่ใช้หลอกลวงถงเอ๋อร์ตอนที่นางเพิ่งเข้าจวนมาเป็ดั่งหนามแหลมทิ่มแทงใจโม่ฮว่าเหวิน หัวคิ้วพลันมุ่นขมวดเล็กน้อย
โม่เสวี่ยถงมองเห็นความไม่พอใจของโม่ฮว่าเหวิน จึงไม่เอ่ยถึงเื่เดิมอีก ความคิดบางอย่างไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ด้วยเหตุการณ์เพียงเื่เดียว
“ปรกติแล้วเวลานี้ท่านพ่อควรจะอยู่ในห้องหนังสือมิใช่หรือ ไฉนจึงมีเวลามาที่นี่ได้เล่า ให้ถงเอ๋อร์ทาย ท่านพ่อต้องมีธุระจึงมาหาลูกใช่หรือไม่” โม่เสวี่ยถงหันหน้ามาหาแล้วเอ่ยถาม ใบหน้าเล็กจ้อยดูใสซื่อ ดวงตาทอประกายหยาดน้ำระยิบระยับช้อนมองขึ้น เมื่ออยู่ภายใต้แสงตะวันเรืองรองยิ่งดูพริ้มเพราและบริสุทธิ์ผุดผ่อง มุมปากหยักโค้งขึ้นอย่างน่ารัก
เมื่อได้ยินโม่เสวี่ยถงเอ่ยถึงเื่นี้ โม่ฮว่าเหวินจึงเพิ่งนึกถึงธุระที่ตนเองมาที่นี่ได้ “ถงเอ๋อร์ เมื่อครู่บ้านท่านตาท่านยายของเ้าส่งรถม้ามารับ พ่อคิดว่าเมื่อคืนเ้าคงไม่ได้หลับอย่างเต็มที่เป็แน่ จึงให้พวกเขาคอยอยู่ด้านนอกก่อน ตอนนี้เมื่อเ้าตื่นแล้วก็รีบไปเถิด”
โม่ฮว่าเหวินพูดไปก็เดินไปด้านนอก โม่เสวี่ยถงก็เดินไปด้วยเช่นเดียวกัน สองคนพ่อลูกเดินตามกันไปอย่างสนิทชิดเชื้อ ปล่อยให้โม่เสวี่ยิ่กับโม่เสวี่ยฉงยืนอยู่ที่เดิม
“พี่หญิงใหญ่ ตอนนี้พี่หญิงสามกลายเป็คนสำคัญในหัวใจของท่านพ่อไปแล้ว ดูสิ แม้แต่พี่หญิงใหญ่ท่านพ่อยังไม่สนใจ มันเกินไปแล้วจริงๆ ต่อไปลูกอนุภรรยาอย่างพวกเราจะใช้ชีวิตอย่างไรเล่า” โม่เสวี่ยฉงมองโม่เสวี่ยถงกับโม่ฮว่าเหวินเดินไกลออกไป พลางกล่าวประชดประชันด้วยอารมณ์หงุดหงิด
โม่เสวี่ยิ่มองตามเงาหลังของพวกเขาไปด้วยสีหน้าคับแค้นใจ แต่พอได้ยินคำกล่าวของโม่เสวี่ยฉง นางกลับชักรอยยิ้มอ่อนหวานกลับมาบนใบหน้าและกล่าวอย่างนุ่มนวล “น้องสี่กล่าวเช่นนี้อีกแล้ว หากท่านพ่อได้ยินจะไม่พอใจเอาได้ เป็พี่น้องกันย่อมควรช่วยเหลือซึ่งกันและกัน จะมาทะเลาะเบาะแว้งกันไปไยเล่า”
“พี่ใหญ่ช่างใจกว้างนัก ฉงเอ๋อร์ทำอย่างพี่ใหญ่ไม่ได้หรอกเ้าค่ะ ถึงตอนนี้แล้วยังมีน้ำใจกับนางอีก หากฉงเอ๋อร์มีความอดทนได้สักครึ่งหนึ่งของพี่ใหญ่ ก็คงไม่ต้องถูกนางสบประมาทให้ต้องอับอายเช่นนี้ บุตรภรรยาเอกแล้วอย่างไร พี่ใหญ่ก็เป็ได้” โม่เสวี่ยฉงเลิกคิ้วขึ้นกล่าวอย่างขุ่นเคือง พูดจบก็หมุนตัวเดินจากไป
โม่เสวี่ยิ่เผยแววตาดำมืดอย่างคับแค้นใจออกมาวูบหนึ่ง
บุตรอนุ บุตรอนุ นางเกลียดคำเรียกนี้เป็ที่สุด!
แน่นอนว่านางไม่ปล่อยให้นังคนชั้นต่ำโม่เสวี่ยถงได้อยู่ดีมีสุขเด็ดขาด!
โม่เสวี่ยถงพาโม่อวี้และโม่เหอไปจวนฝู่กั๋วกงด้วยกัน
พอพ้นประตูเข้ามาก็เห็นหญิงวัยกลางคนรูปร่างผอมบาง ใบหน้ายาวเรียว สวมเสื้อตัวสั้นปักดิ้นเงินสีเขียวน้ำทะเลคลุมทับด้วยเสื้อตัวยาวสีครามเดินออกมา นี่คือเฉินมามาผู้ไปรับนางจากเมืองอวิ๋นเฉิงในวันนั้น
โม่เสวี่ยถงเห็นนางเดินมาก็ร้องทักด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เฉินมามา”
“คุณหนูมาแล้วหรือเ้าคะ มาได้จังหวะทีเดียว เหล่าไท่จวินกำลังบ่นคิดถึงคุณหนูอยู่พอดีเลยเ้าค่ะ ตลอด่เช้ามานี้ก็ไม่ยอมพักผ่อน ให้บ่าวออกมาดูหลายรอบแล้ว ใจร้อนยิ่งกว่าอะไรดี กลัวว่าคุณหนูจะต้องลมหนาวระหว่างเดินทาง บ่าวไม่รู้จะรับมืออย่างไรแล้ว เมื่อครู่บ่าวก็เพิ่งโดนบ่นมานี่แหละเ้าค่ะ” เมื่อเฉินมามาเห็นโม่เสวี่ยถง ใบหน้าก็ผลิยิ้มราวกับบุปผาเบ่งบาน กล่าวไปก็จัดแจงให้สาวใช้เปิดม่านประตูไปด้วย
เนื่องจากฮูหยินผู้เฒ่าของจวนฝู่กั๋วกงได้รับพระราชทานยศเป็ฮูหยินตราตั้ง ดังนั้นคนในจวนจึงเรียกนางว่าเหล่าไท่จวิน
“ต้องขอขอบคุณมามาที่ช่วยอำนวยความสะดวกมาตลอดทาง ข้าจึงกลับถึงบ้านได้อย่างไร้กังวล ท่านยายจะตำหนิท่านได้อย่างไร ควรต้องถามว่าข้าดื้อไม่เชื่อฟังทำให้ท่านต้องลำบากใจหรือเปล่ามากกว่า” โม่เสวี่ยถงตอบกลับอย่างยิ้มแย้มแจ่มใส
ขณะที่กำลังพูดคุยกันอยู่ก็มีสาวใช้วิ่งออกมาอย่างรีบร้อน สาวใช้ผู้นั้นไม่รอให้เฉินมามาเอ่ยปากก็เร่งนางให้รีบเข้าไปข้างใน สตรีที่นั่งอยู่บนเตียงเตาภายในห้องก็คือสวี่เหล่าไท่จวินของจวนฝู่กั๋วกงนั่นเอง นางสวมอาภรณ์ตัวยาวสีเทาปักลายอักษร 'ฝู' รูปร่างผอมบาง สีหน้าร้อนใจ เมื่อเห็นโม่เสวี่ยถงก้าวเข้ามาในห้อง ยังไม่ทันเอ่ยวาจาใดน้ำตาก็เอ่อคลอเบ้า มองนางอย่างรักใคร่
“ท่านยาย” เมื่อเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยซึ่งเปี่ยมไปด้วยความเมตตารักใคร่ โม่เสวี่ยถงก็รีบก้าวเข้าไปคุกเข่าลงต่อหน้าสวี่เหล่าไท่จวิน แล้วเอื้อมมือไปจับสตรีที่อยู่ตรงหน้า นิ้วมือพลันสั่นระริก รับรู้ถึงลมหายใจของหญิงชรา ภายในหัวใจท่วมท้นไปด้วยความโศกเศร้า ชาติภพที่แล้วสวี่เหล่าไท่จวินก็คือคนที่รักนางที่สุด “ท่านยาย”
“ถงเอ๋อร์ เป็ถงเอ๋อร์ของข้าจริงๆ ด้วย ไฉนจึงผอมแห้งแบบนี้เล่า จวนฉินนั่นไม่ให้เ้ากินหรืออย่างไร” สวี่เหล่าไท่จวินกุมมือของโม่เสวี่ยถงไว้แน่น รับรู้ได้ถึงความอบอุ่นในฝ่ามือของหลานสาว สายตาของหญิงชรามองพิจารณาใบหน้าของนางอย่างละเอียด ใบหน้าที่ดูคล้ายโกรธขึ้งคล้ายยินดีของหลานสาว แม้ไม่ค่อยเหมือนเสียเอ๋อร์เท่าใดนัก แต่ดวงตางดงามที่ดูสดใสมีชีวิตชีวาคู่นั้นถอดแบบมาจากเสียเอ๋อร์ของนางไม่มีผิด เมื่อคิดถึงบุตรสาวที่ตายจากไปก็อดรำพึงออกมาไม่ได้ “เสียเอ๋อร์...”
โม่เสวี่ยถงรู้ว่าคนที่ท่านย่าของนางเรียกก็คือมารดาของตนเอง ความโศกเศร้าพลันเอ่อล้นในหัวใจ นางขบริมฝีปากก่อนร้องทักด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ท่านยาย ข้าถงเอ๋อร์เ้าค่ะ”
สวี่เหล่าไท่จวินนิ่งงันไปชั่วครู่ มือลูบไล้ไปบนใบหน้าเล็กจ้อยขาวผุดผ่องของนาง พยายามแข็งใจจะเอ่ยวาจา แต่ยังไม่ทันมีถ้อยคำใด น้ำตากลับไหลออกมาเสียแล้ว...
โม่เสวี่ยถงก็จมอยู่ในความเศร้า มือนางถูกสวี่เหล่าไท่จวินจับไว้แน่น น้ำตาก็ไหลพรูออกมา กว่าทั้งสองคนจะหยุดร้องได้ ทุกคนต้องช่วยกันพูดจาเกลี้ยกล่อมอยู่เป็เวลานาน โม่เสวี่ยถงถูกประคองขึ้นมานั่งข้างๆ สวี่เหล่าไท่จวิน
“ทำไมจึงสวมชุดสีจืดชืดบางเบา ซ้ำยังเก่าแบบนี้เล่า แม้แต่เสื้อผ้าดีๆ ก็ไม่มีใส่เลยหรือ” สวี่เหล่าไท่จวินเอื้อมมือมาลูบคลำอาภรณ์สีขาวค่อนข้างเก่าที่นางสวมใส่อยู่ หัวคิ้วพลันขมวดเข้าแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“ท่านยายเ้าคะ ท่านยายน้อยที่เมืองอวิ๋นเฉิงก็เอาใจใส่หลานดีอยู่ แต่พอคิดว่ามารดาไม่อยู่แล้ว ถงเอ๋อร์ไหนเลยจะมีจิตใจมาแต่งตัว ก็เลยสวมใส่แต่เสื้อผ้าเก่าเ้าค่ะ” โม่เสวี่ยถงอธิบายอย่างนุ่มนวล
“เด็กโง่ ใส่แบบนี้มันบางเกินไป สุขภาพของเ้ายิ่งไม่ค่อยดีอยู่ ได้ยินมาว่าปีก่อนเ้าป่วยอยู่เมืองอวิ๋นเฉิง บิดาของเ้าก็จริงๆ เลย ไม่ยอมพาเ้าเข้าเมืองหลวงมาด้วย แต่กลับพาอี๋เหนียงกับลูกอนุมาทั้งโขยง ต่อไปหากบิดาเ้าทำสิ้นคิดเช่นนี้อีก ยายจะปกป้องเ้าเอง เด็กๆ ไปหยิบเสื้อคลุมขนเตียวสีขาวมา อีกสักครู่ให้คุณหนูนำกลับไปด้วย”
เมื่อพูดถึงเื่นี้ สวี่เหล่าไท่จวินก็ยังคงขุ่นเคืองโม่ฮว่าเหวินไม่หาย ดังนั้นต่อมาเมื่อบุตรชายไปขวางไม่ให้โม่ฮว่าเหวินเข้าเมือง นางจึงทำเป็ไม่รู้เื่ ตั้งใจจะกลั่นแกล้งให้เขาได้รับความลำบาก
ตอนที่นางเดินตามเฉินมามาเข้ามาด้านในตามคำสั่ง นางยังนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ คิดไม่ถึงว่าเหล่าไท่จวินจะสวมเสื้อคลุมสีเรียบแบบนี้ด้วยเช่นกัน พลันคิดได้ว่าสาเหตุต้องเป็เพราะมารดาตนเองที่จากไปแล้วแน่นอน ชั่วขณะนั้นก็ไม่อาจห้ามน้ำตาตนเองมิให้ไหลออกมาได้ นางหยิบผ้าเช็ดหน้าแล้วผินหน้าหลบไปด้านข้างซับน้ำตา ด้วยเกรงว่าเหล่าไท่จวินจะเห็นเข้า
“ท่านยายดีกับถงเอ๋อร์ที่สุดแล้ว” นางหันกลับมาพร้อมรอยยิ้มอ่อนหวานละมุนละไม
ขณะที่พูดคุยกันอยู่ ก็มีสาวใช้เข้ามารายงานว่า คุณชายใหญ่กับคุณหนูรองมาถึงแล้ว
สวี่เหล่าไท่จวินยิ้มอย่างดีใจแล้วให้บ่าวไปตามพวกเขาเข้ามา
“ท่านย่า... น้องหญิงถงมาแล้วหรือขอรับ” เสียงทักทายที่ดังมาจากประตูััได้ถึงความสง่างามอันเรียบง่าย มือของสาวใช้เลิกผ้าม่านขึ้นสูง ผู้ที่เดินเข้ามาคนหนึ่งเป็คุณชายผู้หล่อเหลา อีกคนหนึ่งเป็คุณหนูรูปงามพริ้มเพรา
โม่เสวี่ยถงรีบลุกขึ้นยืน มองไปที่ประตู
ผู้ที่สวมอาภรณ์ตัวยาวสีเขียวอ่อนก็คือทายาทผู้สืบทอดแห่งสกุลลั่ว ลั่วเหวินโย่ว
โม่เสวี่ยถงมีท่านลุงสองคน ท่านลุงใหญ่ลั่วเฉิงมีบุตรชายสองคน บุตรสาวหนึ่งคน บุตรสาวคนโต-ลั่วเยียนเยวี่ย บุตรชายคนโต-ลั่วเหวินโย่ว บุตรชายคนรอง-ลั่วเหวินฉือ ท่านลุงรองลั่วปินมีบุตรสาวคนเดียวคือลั่วิจู คุณหนูใหญ่ลั่วเยียนเยวี่ยออกเรือนไปแล้ว ดังนั้นผู้ที่ยังอยู่ในจวนแห่งนี้ย่อมเป็คุณหนูรองลั่วิจู