เฉียวลู่อาบน้ำทานข้าวเรียบร้อยแล้วเธอพูดเื่ที่เธอไปเที่ยววันนี้ให้แม่กับพ่อฟังอย่างออกรสแต่กลับลืมเื่ของคุณยายและหนังสือเก่าเล่มนั้นไปเลยจนกระทั่งเฉียวลู่กลับเข้าห้องนอนของเธอมา
“ลืมหนังสือเล่มนี้ไปเลย”
เฉียวลู่หยิบหนังสือเก่าเล่มนั้นที่วางอยู่บนโต๊ะหนังสือของเธอมาเปิดดู ข้างในว่างเปล่ามีเพียงตัวอักษรที่เขียนเอาไว้จางๆ ว่าเฉียวลู่
“ทำไม่มีชื่อของเราเขียนเอาไว้ในนี้นะ”
เฉียวลู่พลิกกระดาษหน้าถัดไปแต่กลับไม่มีอะไรเขียนเอาไว้เลยมีเพียงหน้ากระดาษสีขาวอมเหลืองเท่านั้นที่ทำให้รู้ว่าหนังสือเล่มนี้เป็หนังสือเก่า เฉียวลู่ถอนหายใจออกมาเบาๆ
“ช่างเถอะ ถือซะว่าช่วยอุดหนุนคุณยายแล้วกัน”
ถึงแม้จะรู้สึกสงสัยอยู่บ้างแต่เธอก็เลิกสนใจในหนังสือเก่าเล่มนั้นไป เฉียวลู่วางหนังสือเอาไว้ที่เดิมแล้วปิดไฟเข้านอนทันที คืนนี้เป็คืนเดือนมืดทั่วท้องฟ้ามีเพียงแสงดาวที่ทอประกายระยับเกลื่อนกลาดหนังสือเล่มเก่าที่เฉียวลู่วางเอาไว้บนโต๊ะค่อยๆ คลี่เปิดออกทีละหน้าเหมือนมีลมบางเบาพัดผ่านและค่อยๆ เร็วขึ้นแรงขึ้น แสงสว่างถูกสาดกระจายออกมาจากหนังสือเก่าเล่มนั้นและมันค่อยๆ ไหลมารวมกันเป็จุดเดียวที่หน้าอกของเฉียวลู่และหายไปทันที
เฉียวลู่ถูกเขย่าอย่างแรงจนเธองัวเงียรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา
“แม่คะปลุกหนูทำไม่นี้หนูไม่มีงานถ่ายละครนะคะขอนอนต่ออีกหน่อยเถอะ”
เฉียวลู่นอนหันหลังให้แต่คนที่ปลุกเธอยังคงเขย่าอยู่อย่างนั้นจนเธอรู้สึกรำคาญ
“ก็ได้ๆ ค่ะแม่มีอะไรจะคุยกับหนูก็ว่ามาเลย”
เฉียวลู่พยายามถ่างตาที่ยังคงง่วงงุนของเธอมองผู้ที่กำลังเขย่าปลุกตน
“เอ๊ะ”
เฉียวลู่ถึงกับใจนตาสว่างไร้ความง่วงอีกต่อไป คนที่เขย่าปลุกเธอคือเด็กผู้ชายสองคนที่ตัวเล็กและผอมจนแก้มตอบ ใบหน้าเกรอะกรังไปด้วยน้ำมูกและดินโคลน เสื้อผ้าเก่าขาดที่เหมือนไม่ได้ซักมานานปี ใบหน้าน้อยๆ ที่มีน้ำตาไหลออกมาเป็ทางนั้นไร้ความน่ารักสำหรับเฉียวลู่ แต่เมื่อเธอเห็นพวกเขาทั้งสองร้องไห้แล้วก็อดที่จะสงสารไม่ได้
“หนูจ๊ะ เธอสองคนเป็ลูกบ้านไหนทำไมมาอยู่ในห้องของพี่สาว.....”
เฉียวลู่พูดยังไม่ทันจบเธอก็ต้องใอีกรอบเพราะห้องที่เธอบอกว่าเป็ห้องของเธอมันคือกระท่อมที่มุงด้วยหญ้าที่ท่าทางกำลังจะพังลงมาอยู่รอมร่อ ถึงห้องจะค่อนข้างมืดสลัวแต่แสงสว่างเล็กน้อยที่ส่องลอดเข้ามาก็ทำให้เธอมองเห็นสภาพข้างในได้อย่างชัดเจน
“ไม่นะ!!!”
เฉียวลู่หันไปมองเด็กชายร่างผอมทั้งสองคนอีกครั้ง
“นี่คงไม่ใช่รายการแอบถ่ายหรอกใช่ไหม เล่นกันแรงไปแล้ว”
เด็กชายทั้งสองมองหน้าเฉียวลู่ด้วยท่าทางงุนงงเหมือนไม่เข้าใจในสิ่งที่เธอกำลังพูด เฉียวลู่ลงจากเตียงเพื่อยืนยันเื่ที่เธอกำลังคิดแต่แล้วเธอก็ทรุดลงที่พื้นอย่างแรง
“โอ๊ย!!! นี่มันอะไรกัน”
ขาของเฉียวลู่มีเืไหลออกมาเป็ทางเธอมองอย่างใเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายอันมีค่าของเธอ ถ้าหากว่าร่างกายอันบอบบางของเฉียวลู่าเ็หรือมีแผลเป็นั่นเป็เื่ใหญ่เลยนะ เธอจะฟ้องร้องรายการนี้ให้เจ๊งไปเลยโทษฐานทำร้ายร่างกาย เด็กชายสองคนเห็นเฉียวลู่ล้มไปกองกับพื้นพวกเขาก็รีบเข้ามาช่วยพยุงเธอทันที แต่ร่างกายผอมแห้งของเด็กสองสามขวบหรือจะช่วยอะไรได้ เฉียวลู่มองท่าทางที่ดูทุลักทุเลของเด็กทั้งสองที่พยายามช่วยเธอแล้วส่ายหัวอย่างจนใจ
“นี่หนูน้อยทำไม่พวกเธอไม่ไปเรียกทีมงานมาล่ะ พี่สาวไม่โทษพวกเธอเื่นี้หรอกนะแต่อาการาเ็ของพี่สาวจะต้องหาหมอ”
เฉียวลู่พูดกับเด็กชายทั้งสองอย่างใจเย็น เธอไม่กล่าวโทษพวกเขาเลยสักนิดเพราะนี่ไม่ใช่ความผิดของพวกเขา เด็กชายทั้งสองไม่ได้พูดอะไรแต่เหมือนพวกเขาจะเข้าใจในสิ่งที่เฉียวลู่สื่อ พวกเขารีบวิ่งออกไปด้านนอกเพื่อทำตามสิ่งเธอ้า
หลังจากที่เด็กทั้งสองคนออกจากห้องนั้นไปเฉียวลู่ก็ได้โอกาสสำรวจห้องนั้นทันที เธอมองไปรอบๆ กระท่อมยังไงเธอก็ไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น ก่อนหน้านี้เหมือนว่าเธอจะเข้านอนและที่นั่นก็เป็ห้องของเธอเองแล้วตอนนี้มานอนอยู่ที่นี่ได้ยังไง ถ้าหากเป็การแกล้งกันของรายการบางรายการนี่ก็ถือว่าเล่นกันแรงเกินไปแล้ว เฉียวลู่ก้มลงมองขาของตนเองที่กำลังมีเืไหลเป็ทาง
“เจ็บจริงๆ ด้วยนะเนี่ย”
เธอจับที่บริเวณใกล้ๆ แผลอีกครั้ง เสียงดังด้านนอกทำให้เฉียวลู่เงยหน้าขึ้นมองเด็กชายสองคนที่วิ่งออกไปก่อนหน้านี้กลับมาพร้อมกับผู้ชายอายุราวๆ สี่สิบกว่าปี แต่งตัวด้วยชุดโบราณเก่าๆ แต่ดูสะอาดตากำลังมองมาที่เฉียวลู่ที่นั่งอยู่บนพื้น
“เ้าาเ็หนักเพียงนั้นลุกขึ้นมาทำไม”
เฉียวลู่มองไปที่ผู้ชายคนนั้นด้วยท่าทางไม่เข้าใจ เธอาเ็ขนาดนี้นี่เขายังคิดจะอยู่ในบทบาทอีกหรือทำกันเกินไปแล้วนะ
“นี่คุณไม่ว่าทีมงานจะสั่งอะไรคุณมาฉันไม่รับรับรู้แต่ตอนนี้ฉัน้าหมอ คุณต้องโทรตามหมอเดี๋ยวนี้”
เฉียวลู่สั่งเสียงเด็ดขาด ผู้ชายคนนั้นมองมาที่เธอด้วยท่าทางมึนงง
“เ้าให้บุตรชายของเ้าไปตามหมอ ก็ข้านี่อย่างไรเล่าหมอที่เ้า้า เลิกพูดเื่ไม่เป็เื่แล้วกลับขึ้นไปนั่งบนเตียงเถอะ ข้าจะตรวจให้เ้าก่อน เมื่อวานตอนที่คนพาเ้ากลับลงมาจากูเาเห็นสลบเ้าเือาบไปทั้งตัวข้าก็คิดว่าเ้าจะไม่มีทางรอดแล้ว เห็นเ้าพูดได้เช่นนี้ข้าก็เบาใจดูท่าทางเ้าจะไม่เป็อะไรมาก”
เฉียวลู่ยังคงมึนงงกับคำพูดของผู้ชายคนนั้น ถ้าจะบอกว่าเป็บทที่ทางทีมงานกำหนดมาให้เขาพูดก็ต้องบอกว่าเขาเล่นได้ดีทีเดียว เธอเป็นักแสดงชื่อดังแถวหน้าของจีนนะาเ็หนักขนาดนี้แต่เขากลับพูดออกมาอย่างสบายๆ เหมือนไม่ได้เป็เื่ใหญ่หรือสำคัญอะไร ความจริงเื่นี้ต้องออกเป็ข่าวดังไปทั่วประเทศแล้วนี่มันเื่อะไรกัน
ถึงเฉียวลู่จะยังนึกสงสัยแต่เธอก็ทำตามที่ผู้ชายคนนั้นบอกเพราะเธอเริ่มรู้สึกระบมที่ขาของเธอเนื่องจากนั่งกดทับเป็เวลานาน เด็กชายผอมแห้งสองคนรีบมาช่วยพยุงเธอทันทีที่เห็นเฉียวลู่ขยับตัว หลังจากนั่งบนเตียงแล้วเธอก็หันไปมองเด็กชายทั้งสอง
“ขอบใจนะ”
เด็กชายทำหน้าประหลาดใจที่เห็นเฉียวลู่พูดกับพวกเขาเช่นนั้น ทั้งสองทำหน้าเอียงอายแล้วหลบไปยืนด้านข้างอย่างรู้ความเพื่อให้ผู้ชายคนนั้นมาตรวจเฉียวลู่
“ข้าขอตรวจชีพจรของเ้าหน่อย”
เฉียวลู่กลอกตาใส่เขา นี่ยังคิดจะสวมบทบาทแสดงละครอยู่อีกหรือได้สิเธอก็เป็นักแสดงที่มีสปิริตคนหนึ่งเหมือนกันในเมื่ออยากจะแสดงนักเธอก็จะร่วมเล่นไปด้วย
“เช่นนั้นข้าคงต้องรบกวนท่านหมอแล้ว”
เฉียวลู่จีบปากจีบคอพูดดึงเอาิญญานักแสดงของเธอออกมา หลังจากที่ท่านหมอที่เฉียวลู่เข้าใจว่าเป็นักแสดงนั้นจับชีพจรของเธอเสร็จเขาก็พยักหน้าให้กับตนเอง
“เมื่อวานตอนที่ข้ามารักษาเ้าอาการของเ้าหนักจนเกินเยียวยาข้านั้นไร้ทางช่วย ช่างน่าแปลกใจเหลือเกินที่ตอนนี้เ้าแทบไม่เป็อะไรเลยนอกจากาแภายนอกที่ขาของเ้า”
นักแสดงชายคนนี้สวมิญญาหมอมืออาชีพได้ดีจริงๆ เธอจะน้อยหน้าเขาไม่ได้
“เช่นนั้นท่านคิดว่าข้าหายดีแล้วใช่หรือไม่เ้าคะ ท่านหมอ”
เฉียวลู่มองท่าทางของเขา หมอนักแสดงพยักหน้าให้เธอ
“ข้าจะสั่งยารักษาแผลที่ขาให้เ้าแล้วกัน เดี๋ยวให้อวี้หลงอวี้ชิงตามไปเอายากับข้าที่เรือน ส่วนค่ารักษากับค่ายาข้ารู้ว่าเ้าไม่มีเอาไว้เ้ามีเมื่อใดค่อยทยอยคืนข้าแล้วกัน”
เฉียวลู่พยักหน้า
“ขอบคุณท่านหมอที่เมตตาข้า”
หลังจากที่นักแสดงหมอออกจากกระท่อมไปเฉียวลู่ก็นั่งรอเพื่อให้ผู้กำกับสั่งคัทเพื่อที่เธอจะได้ไปหาหมอจริงๆ สักทีเพราะตอนนี้แผลที่ขาเริ่มปวดตุบๆ แล้ว นั่งอยู่นานเสียงคัทก็ยังไม่ดังขึ้นเฉียวลู่เริ่มหงุดหงิดในใจ
“พอที!!! ฉันไม่สนเื่รายการของพวกคุณแล้วถ้าไม่ยอมสั่งคัทฉันจะทำเอง แล้วพวกคุณจะต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นกับฉันทั้งหมด”
เฉียวลู่ลุกจากเตียงเพื่อออกไปจากกระท่อมหลังนั้น เธอหวังว่าเมื่อเธอออกมาจะได้พบกับทีมงานและกองถ่ายเธอจะวีนพวกเขาให้หนักๆ แต่สิ่งที่เฉียวลู่เห็นหลังออกมาจากกระท่อมหลังน้อยคือ ูเาน้อยใหญ่สลับซับซ้อนกระท่อมที่เธออยู่ อยู่สูงขึ้นมาตรงเชิงเขาด้านล่างที่ไกลออกไปราวสองสามร้อยเมตรมีบ้านเรือนที่ทำจากดินหรือบางหลังก็เป็เพียงกระท่อมที่มุงด้วยหญ้าตั้งอยู่ประปราย ไม่มีกองถ่ายไม่มีทีมงานไม่มีใครเลย มีแต่เด็กชายตัวเล็กผอมแห้งสองคนที่กำลังกึ่งเดินกึ่งวิ่งตรงมาที่เธอ
เฉียวลู่พยายามทำความเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เธอกำลังประสบอยู่ ก่อนหน้านี้ที่เธอจำได้คือเธอกำลังเข้านอนที่บ้านของตัวเอง พอตื่นขึ้นมาก็มาอยู่ที่กระท่อมหลังนี้ซึ่งมันแทบจะเป็ไปไม่ได้เลย หรือว่าเธอถูกลักพาตัวมาแล้วคนที่ลักตัวของเธอมาอยู่ที่ไหนพวกเขาเป็ใครทำไมถึงปล่อยให้เธออยู่กับเด็กแค่สองคนเท่านั้น หรือว่าเด็กสองคนนี้ก็ถูกลักพาตัวมาด้วยเหมือนกัน
“ไม่สิ”
เฉียวลู่พึมพำเบาๆ ดูจากสภาพภายนอกพวกเขาไม่น่าจะเป็เด็กที่บ้านมีฐานะร่ำรวยเลยสักนิด แล้วการแต่งตัวที่ดูย้อนยุคนี่มันอะไรกันหมอกำมะลอคนนั้นอีกคงไม่ใช่ว่า.... เฉียวลู่นึกถึงเื่ต่างๆ นานา ที่จะสามารถเป็ได้จนกระทั่งนึกถึงบางสิ่งที่น่าเหลือเชื่อขึ้นมา
“ไม่จริงน่า ไม่ใช่ว่าเราทะลุมิติย้อนเวลาบ้าบออะไรนั่นหรอกนะ นี่มันเื่เหลวไหลทั้งเพ”
เฉียวลู่ดึงทึ้งผมของตนเองเหมือนคนบ้า เด็กชายทั้งสองที่พึ่งเดินมาถึงกระท่อมน้อยมองเฉียวลู่ด้วยสายตาเป็ห่วง
หลังจากที่สงบสติอารมณ์ของตัวเองได้แล้วเฉียวลู่จึงรู้สึกได้ถึงสายตาของเด็กทั้งสองที่กำลังมองมาที่เธอ ทำให้เฉียวลู่นึกบางอย่างขึ้นมาได้
“นี่เธอสองคนบอกพี่สาวได้ไหมจ๊ะว่าที่นี่คือที่ไหน”
เด็กชายสองคนมองเฉียวลู่ด้วยท่าทางมึนงง
“พวกเธอไม่เข้าใจที่พี่สาวพูดหรือ”
หรือว่าพวกเขาพูดคนละภาษากับเรา เฉียวลู่พยักหน้าให้กับความคิดของตนเอง
“ท่านแม่”
เสียงเล็กๆ ที่ดังมาจากเด็กชายหนึ่งในสองคนทำเอาความคิดของเฉียวลู่ชะงักไป
“ท่านแม่หรือ พวกเธอเรียกใคร.....หรือว่าฉัน”
เฉียวลู่ชี้มาที่ตัวเอง เด็กชายสองคนพยักหน้ารับเฉียวลู่ใกับสิ่งที่ตนได้ยินจนอ้าปากค้าง
“ไม่นะฉันยังไม่ได้แต่งงาน”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้