รัชศกหวังเฟิ่งที่สิบห้า ณ แคว้นเจียงหนาน...
"องค์หญิง! ท่านจะเสด็จออกไปนอกวังไม่ได้เพคะ อีกถึงเดือนก็จะถึงพิธีปักปิ่นแล้ว ตอนนี้ท่านควรอยู่เตรียมพร้อมที่ในวังหลวง!"
"ชิงหลิง เ้าจะวิตกไปไยกับพิธีปักปิ่น ข้าเพียงแค่ออกไปเที่ยวเล่นสักประเดี๋ยว หากเ้าไม่แพร่งพราย เสด็จพ่อเสด็จแม่ย่อมไม่ล่วงรู้หรอก"
องค์หญิงน้อยในอาภรณ์ของบุรุษถกเถียงกับข้ารับใช้ แม้จะแต่งกายเยี่ยงบุรุษ แต่ดวงตาสีเขียวนิลทอประกายเจิดจ้าและเรือนเกศาดำขลับกลับไม่อาจกลบรัศมีความงามที่เป็เอกลักษณ์ของสตรีไปได้
"องค์หญิง...!"
"ข้าไปล่ะ สัญญาว่าจะกลับก่อนตะวันตกดิน"
ยังไม่ทันให้ข้ารับใช้ได้เอ่ยทัดทาน องค์หญิงน้อยก็พลันพุ่งตัวะโข้ามกำแพงหายไป ทิ้งไว้เพียงความเงียบงันและลมหายใจติดขัดของชิงหลิงที่ทำอะไรไม่ได้นอกจากทอดถอนใจ...
ณ ตลาดคนเดิน ใจกลางเมืองหลวงแห่งแคว้นเจียงหนาน ถนนหนทางกว้างขวาง เปิดโอกาสให้ทั้งผู้สัญจรและรถม้าเดินทางได้อย่างสะดวก แม้สองข้างทางจะเรียงรายไปด้วยแผงลอยนานาชนิด แต่บรรยากาศกลับไม่แออัด มีเพียงความคึกคักที่แฝงไว้ด้วยความเป็ระเบียบ แคว้นเจียงหนานดูสงบ มิได้วุ่นวายเช่นแคว้นอื่น
“มู่หรงเซียว” ผู้ลงทุนปลอมตัวเป็บุรุษ อดไม่ได้ที่จะเดินทอดน่องชมตลาด นางโปรดปรานความรื่นเริงและผู้คนพลุกพล่านเป็ที่สุด สองเท้าเรียวพาเดินเข้าร้านนั้นที ร้านนี้ที ดวงตาวาววับด้วยความตื่นเต้น ท่าทางของนางมิได้เหมือนราชนิกูลผู้สูงศักดิ์ กลับคล้ายดรุณีน้อยผู้ไร้เดียงสาเสียมากกว่า
"เ้ารู้หรือไม่ อีกหนึ่งเดือนก็ถึงพิธีปักปิ่นขององค์หญิงมู่หรงเซียวแล้ว?"
"แน่ล่ะ! มีใครในเมืองที่ไม่รู้บ้าง ตอนนี้เหล่าแม่ค้าต่างเตรียมรับมือ ่นั้นข้าวของต้องขายดีเป็เทน้ำเทท่า ได้ยินว่านางงดงามนัก เหล่าทูตและองค์ชายจากต่างแคว้นจะต้องแห่มาร่วมพิธีอย่างแน่นอน"
"นั่นน่ะสิ แต่เดิมแคว้นเจียงหนานก็อุดมสมบูรณ์อยู่แล้ว หากองค์ชายพระองค์ใดพึงใจองค์หญิงเข้า แคว้นเราคงมั่นคงขึ้นอีกเป็แน่"
ทุกถ้อยคำไม่อาจเล็ดลอดไปจากโสตประสาทของมู่หรงเซียวได้ นางได้ยินทุกอย่าง และด้วยความซุกซน นางตัดสินใจทำสิ่งที่ไม่ควรทำ นั่นคือการเดินเข้าไปร่วมวงสนทนาด้วยตัวเองเสียเลย!
มู่หรงเซียวในอาภรณ์บุรุษเดินทอดน่องไปยังแผงลอยขายเซาปิง หยิบเข้าปากคำหนึ่งด้วยท่าทางสบายอารมณ์ ก่อนจะร่วมวงสนทนากับเหล่าพ่อค้า
"แล้วพวกท่านเคยพบองค์หญิงหรือไม่?"
"แน่นอนว่าไม่เคย! คิดว่าวังหลวงเป็ที่ที่ใครจะเข้าออกได้ตามอำเภอใจหรือไง ไอ้หนู"
ชายวัยกลางคนเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย เหลือบมองหนุ่มน้อยหน้ามนตรงหน้าอย่างเอือมระอา เื่ง่ายๆ เช่นนี้ยังต้องถามอีกหรือ
"แล้วพวกท่านรู้ได้อย่างไรว่านางรูปงาม?"
"เฮอะ! ข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วแคว้น ั้แ่ไหนแต่ไร เคยมีหรือองค์หญิงแห่งเจียงหนานที่มิได้งดงาม?"
ว่ากันว่าสตรีในวังหลวงล้วนมีสิริโฉมงดงามทุกพระองค์ เป็ความงามตามแบบฉบับของชนพื้นเมืองแห่งแคว้นเจียงหนาน และนี่ก็เป็อีกหนึ่งข้อเท็จจริงที่ไม่มีผู้ใดปฏิเสธ
"เอาล่ะ เ้าถามจนหนำใจแล้ว จ่ายเงินค่าขนมที่เ้ากินไปด้วย"
"ย่อมได้..."
ทว่าในเสี้ยววินาทีที่กำลังหยิบเงินออกจ่าย ถุงเงินกลับอันตรธานหายไป!
มู่หรงเซียวชะงัก หัวใจเต้นโครมคราม ก่อนจะพยายามยิ้มกลบเกลื่อน
"เอ่อ... ท่านลุง เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ ข้าขอกลับไปเอาเงินที่บ้านแล้วค่อยนำมาจ่ายทีหลัง พอดีข้าลืมถุงเงินไว้ที่บ้านน่ะ"
"บ้านเ้าอยู่ที่ไหน ข้าตามไปเก็บถึงที่ก็ได้"
หายนะมาเยือนแล้ว! หากเขาตามไปที่ตำหนักล่ะก็ ความลับของมู่หรงเซียวต้องแตกแน่ๆ!
"เอ่อ... คือ..."
ในขณะที่กำลังคิดหาทางหนีที่ไล่ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นขัดจังหวะ
"ข้าจ่ายให้เขาเอง"
บุรุษร่างสูงโปร่งผู้หนึ่ง ผู้มีท่วงท่าสูงส่งเกินกว่าจะเป็เพียงสามัญชน ยื่นเงินจ่ายค่าขนมเซาปิงแทน สร้างความฉงนให้ มู่หรงเซียว เป็อย่างยิ่ง
เขารู้จักข้าหรืออย่างไรกัน ถึงได้ใจดีออกเงินให้กันเช่นนี้... หรือว่าเขาจะรู้ว่าข้าเป็ใคร?
"คุณชายน้อย โปรดอย่าได้กังวล ข้าเพียงถูกตาต้องใจในใบหน้าของท่านเท่านั้น หากไม่รังเกียจ ขอให้ท่านมาเป็แบบวาดภาพให้ข้าได้หรือไม่ ถือเสียว่าเป็การตอบแทนค่าเซาปิง"
มู่หรงเซียวเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้ารับอย่างเสียมิได้
หลังจากนั้น ทั้งคู่จึงเดินทางไปยังโรงน้ำชาแห่งหนึ่ง ที่ดูเงียบสงบ ไร้ผู้คนพลุกพล่าน
"คุณชายน้อย เชิญทำตัวตามสบาย อย่าได้เกร็งเมื่ออยู่กับข้า"
"ท่านเป็ศิลปินหรือ?"
มู่หรงเซียวอดสงสัยไม่ได้ บุรุษตรงหน้าสวมอาภรณ์สีเขียวอ่อนขลิบเงิน เนื้อผ้าหรูหราบ่งบอกถึงชาติกำเนิด มิได้ดูคล้ายศิลปินเร่ร่อนแม้แต่น้อย
"ใช่ ข้ามาจากแคว้นต้าชิง เดินทางท่องไปเพื่อเสาะหาแรงบันดาลใจในการวาดภาพ"
"แคว้นต้าชิง?"
ทันทีที่ได้ยินชื่อแคว้น มู่หรงเซียวพลันขมวดคิ้ว
"คุณชายน้อย ไม่ทราบว่าเคยเดินทางไปแคว้นต้าชิงหรือไม่?"
ศิลปินรูปงามเอ่ยถามด้วยความสนใจใคร่รู้
"แน่นอนว่าย่อมไม่เคยไป"
มู่หรงเซียวตอบอย่างตรงไปตรงมา มิได้โกหกแต่อย่างใด นางไม่เคยออกจากเมืองหลวงของแคว้นเจียงหนานด้วยซ้ำ สำหรับพระธิดาองค์เดียวที่ประสูติจากฮ่องเต้และฮองเฮา แล้ว แค่ได้เดินเล่นในตลาดก็นับว่ามากเกินพอแล้ว...
หลังจากเป็แบบวาดภาพเหมือนเสร็จ ทั้งสองก็แยกย้ายกันไปตามเส้นทางของตน
มู่หรงเซียว ใช้ความว่องไวปีนรั้วกลับเข้าวังอย่างคล่องแคล่วโดยไร้ผู้ใดล่วงรู้ นางยืดตัวขึ้นปัดฝุ่นบนอาภรณ์ พลางยิ้มอย่างภาคภูมิใจที่แผนการลอบออกจากวังสำเร็จไปได้ด้วยดี
"องค์หญิง!"
เสียงหนึ่งดังขึ้น ก่อนที่ ชิงหลิง ข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์จะก้าวเข้ามาประชิดตัว ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด
"เพคะ! หากผู้ใดล่วงรู้ขึ้นมาว่าท่านหนีออกไปนอกวัง จะให้หม่อมฉันทำอย่างไรเพคะ!"
มู่หรงเซียวหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะยักไหล่
"ข้ากลับมาแล้วมิใช่หรือ? อีกอย่าง ข้าสัญญาแล้วว่าจะไม่ให้ใครจับได้"
แม้จะเอ่ยอย่างไม่ยี่หระ แต่ก็ต้องทนฟังชิงหลิงบ่นเป็ระยะเวลาหนึ่งเค่อเต็มๆ ก่อนที่นางจะยอมปล่อยให้มู่หรงเซียวพักผ่อน
ยามค่ำคืนปกคลุมแคว้นต้าชิงที่อยู่ห่างไกล ดวงจันทร์ลอยเด่นกลางฟ้า ทอแสงนวลเย็นเหนือวังหลวงอันยิ่งใหญ่ ท่ามกลางความเงียบสงัด เสียงฉินแว่วก้องกังวานไปทั่วราตรี แม้เป็ยามวิกาล แต่กลับไม่มีผู้ใดกล้าตำหนิติเตียนผู้บรรเลงแต่อย่างใด
เพราะเขา คือ โอรสแห่ง์
ฮ่องเต้หวังเฟิ่ง ทรงครองราชย์มายาวนานกว่าสิบห้าปี พระองค์เป็จักรพรรดิผู้ทรงอำนาจ นำพาแคว้นต้าชิงให้รุ่งเรือง ทว่าท่ามกลางความยิ่งใหญ่นั้น กลับมีข่าวลือแปลกประหลาดแพร่สะพัดไปทั่ว
แม้ในวังหลังจะมีเหล่าพระสนมมากมายเรือนร้อย แต่กลับ ไม่มีผู้ใดได้ตำแหน่งหงส์เคียงบัลลังก์
แม้แต่ หลิวหงหลัน ผู้ได้รับการแต่งตั้งเป็ หวงกุ้ยเฟย ก็มิอาจได้รับตำแหน่ง ฮองเฮาแห่งแผ่นดิน
เหล่าขุนนางต่างพยายามกดดันพระองค์ให้มีพระราชโองการแต่งตั้งฮองเฮา แต่ทุกความพยายามล้วนไร้ผล เพราะหวังเฟิ่งทรงยืนกรานว่า...
"บัดนี้ ตำแหน่งฮองเฮายังไม่มีผู้ใดที่คู่ควร"
ราวกับว่าพระองค์กำลังรอคอยใครบางคนมานั่งเคียงข้างบัลลังก์ั
พระหัตถ์แกร่งไล่ไปตามสายฉินด้วยััอ่อนโยนราวกับทะนุถนอมของล้ำค่า ทุกครั้งที่ปลายนิ้วััลงบนสาย ความทรงจำที่ถูกเก็บซ่อนไว้ก็คล้ายจะย้อนคืน
"ฝ่าาพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมมีเื่ด่วนต้องกราบทูล!"
เสียงขององครักษ์ดังขึ้นแทรกผ่านม่านดนตรี ทำนองฉินสะดุดไปชั่วขณะ ก่อนที่ท่วงทำนองจะหยุดลงโดยสิ้นเชิง
ความเงียบโรยตัวลงแทนที่...
ปลายนิ้วที่เคยเคลื่อนไหวอย่างสง่างามหยุดนิ่ง แรงกดดันแผ่ซ่านไปทั่วตำหนัก แม้ยังมิได้เอ่ยคำใด แต่บรรยากาศกลับเย็นเยียบขึ้นทันที
พระเนตรคมกริบตวัดขึ้นมององครักษ์ที่อยู่ด้วยกันมานาน หากมิใช่คนที่จงรักภักดีต่อพระองค์ เกรงว่าคงต้องมีการลงโทษอย่างแน่นอน
"ด่วนแค่ไหนกัน... ถึงกล้าขัดจังหวะของข้า?"
สุรเสียงราบเรียบ แต่กลับหนักแน่นราวกับหินผา แม้มิได้แสดงความโกรธขึ้ง ทว่ากลับทำให้องครักษ์ที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้าเย็นวาบไปทั้งร่าง
ทั้งวังหลวงล้วนรู้ดีว่าฉินที่อยู่ในอุ้งพระหัตถ์นั้น หาใช่เพียงเครื่องดนตรีธรรมดา แต่มันเป็สิ่งของแทนใจจากสตรีนางหนึ่งที่พระองค์ไม่มีวันลืมเลือน นางที่เป็ดั่งเกล็ดย้อนของั ผู้ใดที่บังอาจแตะต้องก็เท่ากับท้าทายพระอำนาจของโอรส์
"จวิ้นอ๋องพบตัวคนผู้นั้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ"
ปลายนิ้วที่เคยไล่ไปตามสายฉินพลันชะงัก หวังเฟิ่งเงยพระพักตร์ขึ้น
"ว่าอย่างไรนะ? พบตัวแล้วงั้นหรือ?"
องครักษ์คนสนิทยื่นม้วนกระดาษให้ด้วยท่าทางนอบน้อม
"จวิ้นอ๋องทูลว่า หากฝ่าาไม่เชื่อ เพียงทอดพระเนตรภาพในนี้ ทุกอย่างก็จะกระจ่าง"
มือแกร่งรับม้วนกระดาษมา ก่อนจะค่อย ๆ คลี่ออกดวงเนตรสีดำล้ำลึกกวาดมองอย่างเรียบเฉย ทว่าทันทีที่ภาพวาดปรากฏสู่สายตา
พรึบ!
ม้วนกระดาษร่วงหลุดจากพระหัตถ์ ประหนึ่งเรี่ยวแรงทั้งหมดถูกดึงหายไปในพริบตา
ดวงเนตรที่สงบนิ่งมานับสิบปี พลันสั่นไหว หัวใจเต้นผิดจังหวะอย่างที่ไม่เคยเป็มาก่อน คลื่นความรู้สึกบางอย่างถาโถมเข้ามาจนแทบหายใจไม่ออก ความเงียบโรยตัวราวกับโลกทั้งใบหยุดหมุน มีเพียงเสียงลมหายใจที่ขาดห้วง
"เจิ้งซวน..."
"พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าา"
"เตรียมการให้พร้อม ทันทีที่ข้าว่าราชการเสร็จ ข้าจะออกเดินทางทันที"
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้