โรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด ก็คือโรงพยาบาลที่อยู่ในชุมชน
ห่างจากท่าเรือไม่มากนัก ระยะทางเพียงสิบกว่าลี้เท่านั้น
มันง่ายมากที่จะเดินทาง 10 กว่าลี้ในเวลากลางวัน แต่กลางดึกนั้นหนักหนาเอาการจริงๆ เดินทางยากเย็นแค่ไหนก็ต้องพาไปโรงพยาบาลอยู่ดี เซี่ยเสี่ยวหลานขอให้เถ้าแก่หาผ้าใบกันน้ำมาหนึ่งผืน ทำเป็เสื้อกันฝนชั่วคราว คลุมตัวของทังหงเอินไว้ และให้เสี่ยวหวังกับหลี่ต้งเหลียงผลัดกันแบกทังหงเอินไปโรงพยาบาล
“เสี่ยวหลาน แล้วพวกเรา...”
“พวกเราก็ต้องไปด้วย!”
ผู้หญิงสองคนอยู่ในร้านอาหารที่ไม่คุ้นเคย เซี่ยเสี่ยวหลานคิดว่าไปโรงพยาบาลพร้อมกันยังดีกว่าเสียอีก
ห่อผ้าใบกันน้ำให้ทังหงเอินไว้ทั้งตัว ส่วนคนอื่นล้วนเดินหน้าฝ่าฝน เซี่ยเสี่ยวหลานจ่ายเงินค่าพักแรมแล้ว รวมถึงซื้อร่มกันฝนเก่าเก็บคันเดียวในบ้านเถ้าแก่มาด้วย
เธอส่งร่มกันฝนให้หลิวเฟิน ตัวเธอเองกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามตลอดทาง เสี่ยวหวังหอบหายใจแฮ่กๆ ขณะกำลังแบกทังหงเอิน ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็เพราะเขากระวนกระวายเกินไปหรือเหนื่อยเกินไป
ถ้าไม่มีหลี่ต้งเหลียงผลัดกันช่วยแบกทังหงเอิน ก็ไม่รู้ต้องใช้เวลานานเท่าไรกว่าเสี่ยวหวังจะพาทังหงเอินมาส่งถึงโรงพยาบาล ์เห็นใจพวกเขาทั้งหลายยิ่งนัก ไม่มีลมแล้ว ฝนก็ซาลง หลิวเฟินไม่คิดไม่ฝันเลย มาชมทะเลยังเจอเื่แบบนี้ได้ ทว่าเธอเป็คนที่มีความอดทนสูงมาั้แ่ไหนแต่ไร อีกทั้งยังมีนิสัยโอบอ้อมอารี มิเช่นนั้นจะทนรับอารมณ์ของย่าอวี๋ได้หรือ?
อยู่ต่างบ้านต่างถิ่น แม้กระทั่งเมื่อเจอคนแปลกหน้ากำลังลำบาก หากไม่เหลือบ่ากว่าแรงก็ไม่ควรปฏิเสธ นับประสาอะไรกับคนรู้จัก!
ทั้งหมดพากันวิ่งเหยาะฝ่าสายฝนมาจนถึงโรงพยาบาลของชุมชน
อาการของทังหงเอินค่อนข้างย่ำแย่ แพทย์แจ้งว่าเป็ไข้สูงซึ่งเกิดจากปอดอักเสบเฉียบพลัน
การลดไข้คือเื่รอง เื่หลักคือต้องรักษาอาการปอดอักเสบก่อน
เสี่ยวหวังคิดว่าโรงพยาบาลขนาดเล็กไม่น่าเชื่อถือ ้าใช้โทรศัพท์เพื่อขอความช่วยเหลือ ทว่าด้วยลมพายุที่รุนแรง สายโทรศัพท์ถูกลมพัดเสียหายไปเสียแล้ว
“ลดไข้ให้เขาก่อน!”
ฟ้ายังไม่สางด้วยซ้ำ จะทำเช่นไรกับทังหงเอินในสภาพนี้ได้ รักษาในโรงพยาบาลเล็กไปก่อนแล้วกัน
เสี่ยวหวังมิอาจทิ้งเ้านายอย่างไม่ใยดี เซี่ยเสี่ยวหลานขอให้หลี่ต้งเหลียงช่วยอีกแรง “พี่หวัง พี่จะติดต่อใครหรือ?”
เสี่ยวหวังแจ้งสองหมายเลขโทรศัพท์ หมายเลขคือของหน่วยงาน อีกหมายเลขหนึ่งคือของบ้านทังหงเอิน
“บอกคนในครอบครัวของคุณอาทังได้ก็ดีแล้วล่ะ”
“ครอบครัวของหัวหน้ากับเขาไม่อาศัยอยู่ด้วยกัน ในบ้านมีแค่แม่บ้านที่ช่วยทำอาหาร”
เช่นนั้นจะแจ้งข่าวกับใครเล่า แจ้งเลขาของทังหงเอินนั่นเอง ทังหงเอินและเสี่ยวหวังออกมาทำงานข้างนอกหนนี้โดยไม่มีใครในหน่วยงานทราบ หากทังหงเอินมีสติครบถ้วน เขาเองก็น่าจะไม่้าทำให้เื่ราวใหญ่โตจนทุกคนรับรู้เหมือนกัน เซี่ยเสี่ยวหลานจึงให้หลี่ต้งเหลียงออกไปตามหาว่าที่ไหนสามารถใช้โทรศัพท์ได้ ถ้าไม่มีจริงๆ ก็เหลือเพียงหารถสักคัน และไปตามคนด้วยตัวเองแล้ว
“แต่คุณผู้หญิงเซี่ย...”
หลี่ต้งเหลียงไม่ได้ไปทันที เซี่ยเสี่ยวหลานรู้ว่าเขากำลังคิดอะไร
“ที่นี่คือโรงพยาบาลนะคะ อีกอย่างฉันไม่เดินเตร่ซี้ซั้ว เื่ความปลอดภัยไม่มีปัญหาหรอก”
เสี่ยวหวังรับประกันอีกคน แสดงออกว่ายังมีเขาอยู่ด้วย สารถีที่ขับรถให้ข้าราชการระดับสูง ทักษะการป้องกันตัวล้วนไม่เลวทั้งนั้น สิ่งนี้คือกฎเกณฑ์ที่ไม่เป็ลายลักษณ์อักษร เสี่ยวหวังดูท่าทางไม่ค่อยเหมือนผู้ชำนาญการต่อสู้ แต่ในเวลานี้เขาจะยอมแพ้ไม่ได้
หลี่ต้งเหลียงออกไปขอความช่วยเหลือแล้ว
ทางโรงพยาบาลให้การดูแลทังหงเอินอยู่สักพัก และนำเตาสำหรับผิงไฟมาวางไว้ให้คณะเซี่ยเสี่ยวหลานทั้งสามคนอีกด้วย
คนป่วยที่ส่งตัวมายังไม่สร่างไข้ สามคนนี้ก็ตากฝนเช่นกัน ถ้าล้มหมอนนอนเสื้อไปอีกจะทำอย่างไร? ทังหงเอินถูกฉีดยาลดไข้ ตอนนี้ยังให้น้ำเกลืออยู่ นอนหลับสะลึมสะลือเช่นนี้ พอเขาตื่นขึ้นมาย่อม้ารับประทานอะไรเสียหน่อย เสี่ยวหวังเป็ชายวัยรุ่นคนหนึ่งเท่านั้น แค่ดูแลตัวเองยังเกือบไม่รอด ไม่ต้องพูดถึงดูแลผู้ป่วย
เซี่ยเสี่ยวหลานลุกขึ้นยืน “ฉันจะไปขอยืมหม้อจากคนของโรงพยาบาล เดี๋ยวตุ๋นโจ๊กบนเตานี่แหละ”
หลิวเฟินยืนขึ้นและไปด้วยกัน
รอหลังฟ้าสาง พวกเขาทั้งสามคนไม่จำเป็ต้องกังวล ในชุมชนจะมีของกินขายแน่นอน หาอะไรรองท้องสักหน่อยก็พอแล้ว
การรับประทานโจ๊กข้าวฟ่างเป็การบำรุงร่างกายได้ดีที่สุด ทว่าพื้นที่แถบเผิงเฉิงนี้ไม่มีวัฒนธรรมการกินโจ๊กข้าวฟ่าง ปกติทางโรงพยาบาลจะจ่ายทั้งยาจีนและยาหม้อสำหรับผู้ป่วยอยู่แล้ว เซี่ยเสี่ยวหลานตัดสินใจจ่ายเงินซื้อหม้อใบใหม่ จากนั้นขอข้าวอีกสองกำมือ เสี่ยวหวังมองสองแม่ลูกที่วุ่นหน้าวุ่นหลัง รู้สึกซาบซึ้งอย่างหาใดเปรียบไม่ได้
พบมิตรแท้ได้เมื่อทุกข์ยาก ใครใช้ให้หัวหน้าเกิดป่วยขึ้นมาเล่า หากทังหงเอินเป็ไข้กลางดึก และไม่ได้พบเซี่ยเสี่ยวหลาน ในสถานการณ์แบบนั้นเสี่ยวหวังคงต้องคุกเข่าขอร้องผู้อื่นแน่นอน
บอกสถานะของทังหงเอินออกไปหรือ?
เช่นนั้นเถ้าแก่ร้านอาหารก็ต้องยอมเชื่อด้วยน่ะสิ ทว่าด้วยท่าทางขี้ขลาดหวาดกลัว ความประทับใจของเสี่ยวหวังต่อเถ้าแก่ร้านอาหารที่ท่าเรือติดลบอย่างหนัก
ทั้งสามคนล้อมเตาพลางผิงไฟ และบนเตากำลังตุ๋นหม้อหนึ่งใบ
น้ำเดือดแล้ว ฟองผุดดังปุดๆ
ทังหงเอินตื่นขึ้นมาท่ามกลางกลิ่นหอมของโจ๊กพอดี
อันที่จริงเขามีสติ รู้ว่าตนเองเป็ไข้โดยที่มีอาการวิงเวียน ทรมานมากเนื่องจากทั้งร่างกายร้อนเหมือนกำลังไหม้ อ้าปากไม่ได้ เปลือกตาราวกับหนักเป็พันชั่ง ต่อให้จิติญญาแรงกล้าขนาดไหน ก็ต้านทานการตอบสนองทางร่างกายไม่ไหว เขาทำได้เพียงปล่อยให้ทุกคนกุลีกุจอพาเขามาส่งโรงพยาบาล
ในเวลาแบบนั้น แม้เป็ข้าราชการระดับสูงเท่าไรก็ไม่สามารถตัดสินใจให้ได้ด้วยตัวเอง
ทังหงเอินรู้ว่าเสี่ยวหวังกับ ‘คนคุ้มกัน’ ของเซี่ยเสี่ยวหลานเป็คนแบกพาเขามาส่งถึงโรงพยาบาล
ฉีดยาลดไข้แล้ว กำลังให้น้ำเกลือ ทังหงเอินรู้สึกสบายเนื้อตัวขึ้นเล็กน้อย และหลับสนิทไปอย่างสมบูรณ์ การนอนครั้งนี้ของเขากินระยะเวลาไม่นาน ทว่าสบายเหลือเกิน กลิ่นหอมหวนของโจ๊กข้าวลอยมาแตะจมูก ทังหงเอินรู้สึกสบายเสียจนไม่อยากลืมตา
ความจริงคือในห้องผู้ป่วยมีกลิ่นของยาฆ่าเชื้อ และผ้าห่มชื้นๆ แต่ทังหงเอินไม่สนใจแม้แต่น้อย
เขาเองก็เป็คนที่เคยลำบาก จึงยังไม่ถึงขั้นจุกจิกเลือกมาก
เงาร่างของคนคนหนึ่งเดินเข้ามา วางถ้วยโจ๊กลงบนตู้ข้างเตียง
แว่นตาของทังหงเอินตกแตกแล้ว แถมค่าสายตาของเขาไม่ใช่น้อยๆ เบิกตาดูก็มองเห็นไม่ชัดอยู่ดี ภาพตรงหน้าช่างเลือนรางคลุมเครือเหลือเกิน
เขารู้แค่ว่าไม่ใช่เสี่ยวหวัง รูปร่างไม่เหมือนกัน
เซี่ยเสี่ยวหลาน? ไม่ เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้เงียบขนาดนี้ และสูงกว่านี้ด้วย
คนคนนี้เคลื่อนไหวเงียบเชียบละมุนละม่อม ระมัดระวังทุกกิริยา ร่างกายผอมบาง คงเป็มารดาของเซี่ยเสี่ยวหลาน
“พี่สาว...”
ทังหงเอินค่อนข้างลังเล ปกติเขามักเรียกด้วยคำว่าสหาย แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ คนอื่นอุตส่าห์เฝ้าไข้เขาอยู่หน้าเตียง เรียก ‘สหาย’ จะดูห่างเหินเกินไปหรือเปล่า
อยู่ดีๆ ทังหงเอินก็ส่งเสียง หลิวเฟินตกอกใ เกือบทำโจ๊กคว่ำหมด
เธอประหม่ายามมีปฏิสัมพันธ์กับคนไม่สนิท การสนทนากับข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ตามลำพังนั้นยิ่งทำให้เธอประหม่ายิ่งกว่า!
โชคดีที่ทำงานในหลานเฟิ่งหวงมาสองสามเดือนแล้ว ทักษะการสื่อสารกับผู้คนจึงเพิ่มขึ้นมาก นอกจากนี้จะทำให้เสี่ยวหลานขายหน้าไม่ได้ หลิวเฟินพยายามปฏิบัติตัวให้ผ่าเผยอีกหน่อยอย่างสุดความสามารถ
“คุณ คุณผู้ชายทัง พวกเสี่ยวหวังเขาไปยืมโทรศัพท์กันน่ะค่ะ คุณตื่นแล้ว ฉันจะไปตามคุณหมอมาให้นะคะ”
หลิวเฟินไม่รู้เช่นกันว่าควรเรียกทังหงเอินด้วยสรรพนามอะไร อยู่ทางใต้เรียก ‘คุณผู้ชายXX’ ไม่มีผิดพลาดแน่ นี่คือสิ่งที่เสี่ยวหลานสอน เธอคิดว่าตนเองแสดงออกได้ดีมากแล้ว ทว่าในสายตาทังหงเอินกลับดูเงอะงะยิ่งนัก อย่างน้อยในหมู่คนที่เขารู้จัก ไม่มีใครที่พูดจบแล้วไม่แม้แต่รอเขาตอบ ก็รีบร้อนทำตามความคิดของตนเอง หลิวเฟินไม่รอให้เขาตอบและวิ่งไปแจ้งหมอทันที อันที่จริงทังหงเอินพบว่าตนเองยังรู้สึกดีอยู่ทีเดียว
ณ บัดนี้เขาไม่อยากพบแพทย์ เขาอยากรับประทานโจ๊กที่อุณหภูมิพอเหมาะมากกว่า
ตอนหลิวเฟินพาหมอกลับมา เสี้ยวอารมณ์อ่อนไหวแบบคนป่วยของทังหงเอินสลายหายไปในชั่วพริบตา แม้เขาจะมองเห็นไม่ชัดเจน ร่างกายก็อ่อนแรง แต่กลับไม่ลุกลี้ลุกลนเลยสักนิดเดียว
แพทย์แจ้งว่าเขาจะเป็ไข้ซ้ำอีก จนกว่าอาการอักเสบในปอดจะหายสนิท
สำหรับสถานพยาบาลในพื้นที่ขนาดเล็ก ทังหงเอินก็ไม่ได้ดูแคลน เขาฟังด้วยความตั้งใจ คุณหมอบอกว่าเขารับประทานอาหารรสอ่อนได้บ้าง โจ๊กนั่นก็ไม่เลวเลย
“สหาย ครอบครัวคุณอดทนมากเชียวล่ะ แบกคุณฝ่าฝนมาโรงพยาบาลกลางดึกดื่น ซื้อหม้อและขอข้าวมาต้มโจ๊กให้คุณด้วยนะ”
พอคุณหมอจากไป ทังหงเอินก็หันไปเอ่ยปากกับทิศทางที่หลิวเฟินยืนอยู่
“คุณพี่ รบกวนคุณช่วยประคองผม แล้วส่งถ้วยโจ๊กให้ผมได้ไหมครับ?”