เป้าหมายหลักของการเข้าเมืองในครั้งนี้ของหลินลั่วหรานก็คือการไปสั่งทำกล่องหยก
เนื่องจากเธอตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะจัดการขายห่อสิ่วโอวเ่าั้ ใครๆ ต่างก็รู้กันว่า ไก่งามเพราะขนคนงามเพราะแต่ง สมุนไพรวิเศษพวกนี้ ก็ต้องเข้าคู่กันกับกล่องหยกสวยงามอยู่แล้วไม่ได้เพียงแค่สามารถเก็บรักษาพลังเอาไว้ได้เพียงอย่างเดียวแต่ยังสามารถทำให้มูลค่าของมันสูงขึ้นมาได้อีก แล้วทำไมถึงจะไม่ทำแบบนั้นกันล่ะ?
ส่วนเื่ต้นทุนของกล่องหยกนั้น เฮอๆไม่ว่าอย่างไรขนแกะก็ต้องมาจากตัวแกะหลินลั่วหรานไม่ได้มีความคิดที่จะให้มันไปฟรีๆ หรอกนะ ดังนั้นเงินค่ากล่องหยกนี่สุดท้ายแล้วก็เป็ส่วนที่คนซื้อจะต้องออกอยู่ดี
เงินในตอนนี้นั้น เธอไม่ได้ขาดแคลนแต่เื่ของทรัพย์สมบัตินั้นมันก็เป็อีกเื่หนึ่ง ถ้าหากว่าไม่มีเงินจริงๆไม่เพียงแค่การตัดหยก แต่แม้แต่ “ยาผิวหยก” ที่เธอทำให้พวกแม่กินเ่าั้เธอก็ตั้งใจจะเอาออกขาย ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวทองคำ 24K อะไรนั่น ขายกันขวดละหมื่น แต่ความจริงแล้ว ความสามารถของมันนั้นไม่อาจจะมาเทียบเคียงกับ “ยาผิวหยก” ได้เลยสาวที่รักสวยรักงามในโลกนี้มีอยู่มาก และหญิงสาวที่รักสวยรักงามและร่ำรวยมีเงินทองก็มีอยู่ไม่น้อยเช่นกัน ถึงตอนนั้น เธอจะขายขวดละเท่าไรต่างก็มีเธอเป็ตัวกำหนดอยู่ดีใช่ไหมล่ะ?
หลินลั่วหรานนั้นได้ติดต่อโรงเรียนประถมแห่งหนึ่งเอาไว้ให้ลั่วตงแล้วตอนนี้อาการเก็บตัวของเขาดีขึ้นมากแล้วแต่หากว่าไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกับเด็กในวัยเดียวกันนานเข้าก็น่าจะไม่ดีต่อเขาในระยะยาว...แม้ว่าเขาจะมีพื้นฐานพลังและหลังจากนี้อาจจะเข้ามาในเส้นทางการฝึกศาสตร์แต่ก็ไม่สามารถที่จะไม่รับรู้อะไรเกี่ยวกับโลกใบนี้และความคิดของคนเลยได้ใช่ไหมล่ะ แม้ว่าโลกของการฝึกศาสตร์ในทุกวันนี้จะดูสงบสุขดีแต่หลังจากนี้จะเป็อย่างไรนั้น ใครจะรู้ได้?
แม้แต่ตัวหลินลั่วหรานเองที่เธอยอมเปิดเผยเื่ห่อสิ่วโอวนั่น ก็เป็เพราะจะได้รับประโยชน์จาก “อาจารย์” ผู้อยู่เื้ัที่เธอจำเป็ต้องมี อีกทั้งยังเปิดเผยของดีออกมาบางเป็ครั้งคราวแบบนั้นต่างก็เพื่อรักษาการมีอยู่ของ “อาจารย์” คนนี้เอาไว้ ความปลอดภัยของตัวเองและครอบครัวต่างเป็สิ่งที่เธอจะต้องระมัดระวังให้มาก
เมื่อมาถึงตัวเมืองตอนแรกเป่าเจียก็ตั้งใจว่าจะไปซื้อของแต่เมื่อคิดไปถึงคนที่อยู่ที่คฤหาสน์หลังใหญ่เพียงคนเดียวอย่างผู้บังคับบัญชาฉินก็ทำตัวเป็หลานกตัญญูสักครั้ง ด้วยการเอาชนะความยั่วยวนของการไปซื้อของและกลับบ้านไปเยี่ยมเยียนคุณตาของเธอแทน
แน่นอนว่าหลินลั่วหรานไม่ได้ขัดขวางการทำตัวเป็หลานสาวกตัญญูของเธออีกทั้งยังฝากของอย่างผักสดถุงใหญ่ไปให้ด้วย เพราะว่าเป่าเจียมีพื้นฐานพลัง่เวลาที่เธอไปอยู่ที่เขาชิงเฉิง เ้าสำนักเสี่ยวอันมีอะไรก็ไม่ได้ปิดบังเธอดังนั้นเธอจึงเริ่มที่จะมีความรู้เกี่ยวกับโลกแห่งการฝึกศาสตร์มากขึ้นอย่างเช่นการที่อยู่ๆ ผักถุงใหญ่ก็ปรากฏออกมาแบบนี้
“เสี่ยวหลินจึก่อนหน้านี้พี่สาวนะ ไม่ได้เข้าใจอะไรเลย จะของพวกนี้เธอเอามาจากไหน ซ่อนเอาไว้ดีเกินไปแล้วมั้ง?”
หลินลั่วหรานเงียบไปตอนแรกเธอตั้งใจเอาไว้ว่าจะเล่าเื่ของไข่มุกให้กับเป่าเจียฟังแต่ว่าั้แ่ที่ได้รู้เื่พลังเหนือธรรมชาติของไข่มุกแล้วหลินลั่วหรานก็ละทิ้งความคิดนี้ไป ไม่ใช่ว่าเธอขี้เหนียวไม่อยากให้เป่าเจียรู้หรอกนะแต่เป็เพราะทฤษฎีที่ว่า คนเก่งทำให้คนอื่นคิดอิจฉา ถูกพูดคนเขียนเอาไว้มากมายทำให้รู้ได้ว่ามันเป็ทฤษฎีที่เกิดขึ้นอยู่เสมอ
ตอนนี้เวลาที่เป่าเจียพบเจอกับพวกนักฝึกศาสตร์เธอไม่ได้มีการป้องกันตัวเลยแม้แต่น้อย ถ้าหากว่ามีใครคิดจะใช้เธอในการทำร้ายตัวหลินลั่วหรานยิ่งเป่าเจียรู้มากเท่าไร ก็จะยิ่งเป็การทำร้ายเธอมากเท่านั้นใช่ไหมล่ะ?
หลินลั่วหรานหันเหดวงตาไปทางอื่นก่อนที่จะหยิบเอาถุงจักรวาลที่เหวินกวนจิ่งให้ไว้ขึ้นมา
“ว้าว นี่มันคือถุงเสบียงในตำนาน?”
เมื่อนึกไปถึงว่าถุงถักทองที่มีขนาดเท่าฝ่ามือนี้เป็ถุงที่มีพื้นที่ในการเก็บของ หากบอกว่าเป่าเจียไม่ได้ตาร้อนขึ้นมาก็คงเป็การโกหก เธอมองมาหลินลั่วหรานด้วยสายตาน่าสงสารในที่สุดหลินลั่วหรานก็ไม่อาจจะทนรับการทำท่าทางแบบนั้นของสาวผู้สูงศักดิ์ได้จึงได้แต่พูดออกมาอย่างช่วยไม่ได้
“อันนี้ไม่ใช่ของฉันตอนที่ไปทำงานเขาให้มา ดูเหมือนว่าจะต้องเอาไปคืน...ไว้มีโอกาสจะหามาให้แล้วกันนะ”หลินลั่วหรานถอนหายใจออกมาแม้ว่าตอนนี้จะมีคนยินดีที่จะแลกเปลี่ยนถุงจักรวาล ก็จะต้องใช้ห่อสิ่วโอวของเธอมากแค่ไหนกันนะ?ก็น่าจะเป็จำนวนที่น่าใอยู่ถ้าหากว่าจะลากคนทั้งครอบครัวเข้ามาสู่เส้นทางการฝึกศาสตร์ ของอย่างพวกยาวิเศษอาวุธ หรือถุงจักรวาลก็ต่างเป็สิ่งจำเป็ มันน่าจะเป็รายจ่ายจำนวนมากทีเดียว
หลินลั่วหรานถอนหายใจออกมาอย่างห้ามไม่อยู่เ้าของบ้านเอง ก็จะไม่มีข้าวเหลือแล้วนะ!
เื่ที่เ้าอาวาสวัดเขาชิงเฉิงคอยดูแลตระกูลหลินมาตลอดสามเดือนคนอื่นต่างก็พากันคิดว่าเขา้าจะได้สมุนไพรวิเศษจากเธอ เอาไว้ถ้าที่บ้านใช้ไม่หมดก็ค่อยขายตามอารมณ์อีกทีแล้วกัน! นอกจากคนสนิทแล้ว แม้ว่าจะเป็สำนักเธอก็ให้เปล่าๆ ไม่ได้หรอกนะ
ความจริงการมาในวันนี้ก็ไม่ได้เป็ทางการเสียเท่าไรหลินลั่วหรานจึงเพียงแค่ส่งเป่าเจียที่หน้าประตูใหญ่ก่อนที่ตั้งใจว่าจะมาเยี่ยมเยียนผู้บังคับบัญชาฉินในวันอื่นแทน
ใครจะรู้ว่าเมื่อหลินลั่วหรานจอดรถลงก็เห็นว่าหลิ่วเจิงออกมาจากตัวบ้านพอดี เมื่อเห็นทั้งสองลงรถมาใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความใ ก่อนที่จะสงบลง
หลิ่วเจิง คู่หมั้นของเป่าเจียเขาคือผู้ชายที่เคยเข้ามาเติมเต็มใน่เวลาที่หลินลั่วหรานเลิกรากับหลี่อันผิงไปดูเหมือนว่าหลังจากที่หลินลั่วหรานไปจัดการโจวเหย้าเวยมาแล้ว เขาก็ขับรถมารับเธอก่อนที่จะไม่มาปรากฏตัวต่อหน้าเธออีก
เมื่อนับเวลาดูแล้ว ก็ไม่ได้เจอกันเกือบจะสี่เดือนแล้วดูเหมือนว่าเขาจะดูผอมลงไปไม่น้อย แต่ก็ดูเหมือนว่าจะยังคงมีกำลังอยู่ แม้ว่าจะเป็ระยะทางที่ห่างไกลออกไปแต่ปลายสายตาของหลินลั่วหรานก็ยังคงมองเห็นรอยคล้ำใต้ตาที่แว่นของเขาปกปิดเอาไว้
หลิ่วเจิงไม่ได้หลบหลีกการพิจารณาของหลินลั่วหรานแต่อย่างใดเขาทักทายเป่าเจีย ก่อนที่จะขยับเดินเข้ามาพูดกับหลินลั่วหรานด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ไม่ได้เจอกันนานนะ สบายดีไหม?”
หลินลั่วหรานพยักหน้าลงอย่างช่วยไม่ได้เธอเพียงแค่รู้สึกได้ว่าภายใต้สายตาอันนิ่งเฉยของเขานั้นพยายามที่จะปกปิดความรู้สึกมากมายเอาไว้ มันอึดอัดเสียจนไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร
โชคดีที่ไม่ว่าเมื่อไรหลิ่วเจิงก็ยังคงเป็คนที่เข้าใจผู้อื่นอยู่เสมอเขาเพียงแค่ทักทาย ก่อนจะเอ่ยออกตัวว่ามีธุระ หลินลั่วหรานจึงถอนหายใจออกมาเป่าเจียมองไปยังคู่หนุ่มสาวที่ไม่เพียงแค่ภายนอกเข้ากันเสียอย่างกับกิ่งทองใบหยกหรือแม้แต่เื่นิสัยก็ยังเข้ากันอีก แต่กลับถูกเหตุผลที่มองไม่เห็นมากมายแยกพวกเขาให้ห่างออกจากกันสายตาของเธอเต็มไปด้วยความสับสน ก่อนที่จะลอบถอนหายใจออกมาเช่นกัน
หลินลั่วหรานขับรถออกมาแต่กลับไม่ได้ทันสังเกตว่าคนที่บอกว่าจะออกไปก่อนอย่างหลิ่วเจิงนั้นยังคงจอดรถรออยู่ที่มุมโค้ง และคอยมองพวกเธออยู่ตลอดเวลาเขาไม่คิดว่าจะได้พบกับหลินลั่วหรานโดยบังเอิญแบบนี้ไม่มีใครรู้ว่าในชั่ววินาทีนั้น ความรู้สึกในใจของเขานั้นกระจุยกระจายออกไปไม่มีชิ้นดี...มือของเขาจับแน่นลงที่พวงมาลัยไม่มีใครรู้ว่าเดือนที่ผ่านมา เขาต้องหาทางไปเท่าไร อาจจะเป็เพราะเื่ที่ผู้บังคับบัญชาฉินบอก“คนและเทพนั้นต่างกัน”บริษัทั์ใหญ่ของตระกูลแล้วจะอย่างไร ในเมื่อประตูที่มีชื่อว่า “การฝึกศาสตร์” นั้นไม่สามารถจะเปิดออกรับนายน้อยของบริษัทหลิ่วชื่อได้เลย
ไม่มีใครกำหนดว่าเขาไม่สามารถจะมี “พื้นฐานพลัง” ได้ แต่ว่าประตูจากโลกธรรมดาสู่โลกแห่งการฝึกศาสตร์ของหลินลั่วหรานนั้นเขาจะต้องเปิดมันออกอย่างไร?
ความรู้สึกของหลิ่วเจิงนั้นปั่นป่วนทับซ้อนกันไปหมด ไฟสีแดงบริเวณทางเข้ากะพริบผ่านไปเรื่อยๆราวกับดวงดาวบนท้องฟ้า...เหมือนกับดวงตาคู่นั้นของเธอ ทั้งที่ใกล้เพียงแค่นี้แต่กลับห่างไกลเสียขนาดนั้น
หลินลั่วหรานเองก็สามารถที่จะเดาถึงความในใจของหลิ่วเจิงได้แต่เธอก็ไม่สามารถที่จะไปตอบรับหรือสัญญาอะไรได้ ดังนั้นการทำเป็ไม่รู้จึงเป็สิ่งที่ดีที่สุด
เธอขับรถตรงไปที่ร้านของเสี่ยซุยหวังเมี่ยวเอ๋อตั้งครรภ์ได้สองเดือนแล้ว แต่ก็ยังคงไม่ผ่าน่ “ระยะอันตราย” สามเดือนไป ไม่ว่าวันนี้เธอจะอยู่ที่ร้านหรือไม่หลินลั่วหรานก็ไม่อยากจะไปรบกวนเธอ
เธอโทรศัพท์ไปหาเสี่ยซุยเอาไว้ก่อนในตอนที่เสี่ยซุยวิ่งออกมาอย่างรีบร้อน ทำให้พวกพนักงานเริ่มคาดเดาสถานะของหลินลั่วหรานขึ้นมาหญิงสาวนั้นรักการซุบซิบนินทามาั้แ่อดีต ที่แย่ที่สุดก็คือการที่นินทากันไปว่าหลินลั่วหรานนั้นเป็ “เมียน้อย” ของเสี่ยซุยทุกคนต่างพากันคิดว่า ทำไมตอนนี้เ้านายของพวกเธอถึงได้ห้าวหาญทำได้ขนาดนี้ไม่กลัวว่าแม่เสือสาวที่บ้านจะอาละวาดเอาหรืออย่างไร? จะว่าไปแล้วตอนนี้คุณหญิงก็เปลี่ยนไปมาก ไปศัลยกรรมที่เกาหลีมาหรือเปล่านะ...หัวข้อพวกนี้คือประเด็นที่พวกผู้หญิงชอบมากที่สุดเสียงของเหล่าพนักงานนั้นดังขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ แม้แต่เสี่ยซุยเองก็ยังคงได้ยิน
เมื่อได้ยินแล้วหลินลั่วหรานก็เพียงแค่เผยรอยยิ้มออกมาเท่านั้นแต่ตัวของเสี่ยซุยนั้นกลับชุ่มไปด้วยหยาดเหงื่อ ั้แ่ที่กลับมาจากเขาชิงเฉิงเสี่ยซุยก็ยกระดับให้หลินลั่วหรานเป็ปรมาจารย์ระดับสูงและรู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถเรียกเธอว่า “น้องสาว” ได้อีกแล้ว เขาจึงรีบปิดปากของตัวเองลงทันที
และในตอนนี้ก็ยังมาได้ยินคำซุบซิบนินทาของเหล่าพนักงานในร้านอีกเขาจึงรู้สึกไม่สบายใจเท่าไร
ใครจะรู้ว่าหลินลั่วหรานนั้นไม่ได้สนใจอะไรและก็ไม่ได้แสดงความไม่พอใจออกมา เมื่อก่อนเธอปฏิบัติกับเขาอย่างไรตอนนี้ก็ยังคงเรียกเขาว่า “พี่ซุย”อยู่เหมือนเดิม ความกังวลในใจของเขาจึงลดน้อยลงราวกับได้รับการปลดปล่อย ความจริงเมื่อคืนก่อนหวังเมี่ยวเอ๋อก็เคยพูดว่าหลินลั่วหรานไม่ใช่คนที่พอได้ดีก็จะทิ้งคนอื่นในตอนนี้เขารู้สึกว่าภรรยาของตัวเองนั้น มองคนได้เก่งเสียจริง!
“น้องหลินอยากได้หยกแบบไหนล่ะ?”เสี่ยซุยพาหลินลั่วหรานเข้ามายังห้องทำงานบนชั้นวางเต็มไปด้วยตัวอย่างหยกมากมาย มันเปล่งประกายอยู่ภายใต้แสงไฟมีทั้งดีและไม่ดี
หลินลั่วหรานเองก็ไม่รู้ว่าต้องใช้หยกระดับไหนจึงจะสามารถรักษาพลังเอาไว้ได้ เธอตรวจสอบลงไปยังเศษหยกเ่าั้ก่อนที่จะพบว่าจากพลังของห่อสิ่วโอวแล้ว เพียงแค่ทำให้ดีหน่อยความจริงแล้วใช้แค่หยกระดับกลางก็น่าจะเพียงพอ
ราคาของหยกนั้นเป็ไปตามความสวยงามไร้มลทินของมัน เมื่อเห็นตัวอย่างที่หลินลั่วหรานเลือกออกมาเขาก็พูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม “ชนิดนี้ราคาถูกไม่รู้ว่าน้องจะเอาไปทำอะไร”
ถ้าหากว่าใช้สมุนไพรทำยาโดยตรงไม่ได้จะเก็บผลของมัน สมุนไพรส่วนมากก็ไม่ได้สูงนักหลินลั่วหรานจึงสั่งให้ทำออกมาเป็กล่องขนาดยาวหกนิ้ว กว้างสามนิ้ว ออกมาหนึ่งร้อยกล่องเมื่อคิดไปถึงว่าต่อจากนี้ก็อาจจะต้องใช้อีก เธอก็เลือกหยกที่ดีขึ้นมาหน่อยแล้วสั่งเพิ่มอีกห้าสิบอัน
เสี่ยซุยรู้สึกอึดอัดขึ้นมาเล็กน้อยแม้ว่าคุณภาพหยกจะไม่ได้ดีนัก แต่ว่าหากจะทำเป็กล่องแบบนั้นเท่าที่เขามีนั้นมันไม่พอ ดูเหมือนว่าจะต้องไปซื้อมาจากทั่วตลาดหยกเลยก็ได้
ความจริงแล้ว ถ้าพูดถึงเื่ข้อจำกัดเหล่านี้ในกลุ่มคนที่หลินลั่วหรานรู้จัก หลิ่วชื่อเป็บริษัทที่น่าจะทำได้ง่ายที่สุดแต่เธอกลับไม่อยากจะต้องไปลำบากอะไรหลิ่วเจิงอีกจึงได้แต่ขอร้องให้เสี่ยซุยยอมช่วยเธอ
ความจริงแล้ว การที่สามารถช่วยหลินลั่วหรานได้เสี่ยซุยเองก็ดีใจขึ้นมา ความขัดแย้งที่ทั้งรู้สึกลำบากใจแต่ก็ดีใจทำให้เขานั้นมีแต่ต้องทำให้ได้เท่านั้น
เมื่อเสี่ยซุยออกมาส่งหลินลั่วหรานด้านนอกจนร่างอ้วนท้วมของเขาหายไป หลินลั่วหรานเพิ่งคิดขึ้นมาได้ว่ายังไม่ได้คิดเงินกันเลย ไม่ว่าจะราคาถูกแค่ไหนแต่ว่ากล่องหยกที่ต้องใช้เป็จำนวนมาก และแรงงานคนที่ใช้ในการแกะสลักอีกอย่างไรก็น่าจะไม่ใช่ถูกๆ เมื่อคิดดูแล้ว เธอเองก็ขายหยกให้มีเงินขึ้นมาเธอเคยขายหยกราคาร้อยกว่าล้านมาแล้วก่อนที่จะใช้ในการซื้อคฤหาสน์หลังใหญ่ของอาจารย์เจี่ยส่วนที่เหลือก็ใช้จ่ายส่วนอื่นเล็กๆ น้อยๆ ไปเมื่อรวมเข้ากับที่ไปซื้อก้อนแร่มาจากรุยลี่อีก แถมยังซื้อรถอีก หลินลั่วหรานเพิ่งจะรู้สึกตัวขึ้นมาได้ว่าตอนนี้เงินสดในมือของเธอนั้น มีได้ถึงล้านด้วยซ้ำไป
เห็นได้ชัดว่ามันไม่น่าจะพอใช้ในการจ่ายค่ากล่องหยกเหล่านี้โชคดีที่ไม่ต้องจ่ายเลยในทันที ยังมีเวลาพอให้เธอไปรวบรวมเงินมาได้บ้าง
ถ้าเธอไปแก้ฟอรั่มสักหน่อยแล้วใช้เงินในการซื้อสมุนไพรแทน แล้วควรจะตั้งราคาอย่างไรดีล่ะ?
หลินลั่วหรานเปิดเว็บหาที่อยู่ก่อนจะตรงไปยังโรงเรียนประถมที่จะให้เสี่ยวลั่วตงเข้าเรียน
ในตอนที่หลินลั่วหรานกำลังโต้เถียง อ้อ ไม่สิพูดคุยกับผู้อำนวยการโรงเรียนอยู่นั้น คงไม่ทันได้คิดว่าตอนนี้ที่หน้าคฤหาสน์ที่เขาชิงเฉิงนั้นกำลังมีคนคุ้นเคยของเธอเดินวนอยู่ที่ท่าเรือพร้อมกับคิดหาวิธีสืบเื่ราวในบ้านตระกูลหลิน
ไอลี่ที่อยู่ในชุดกีฬา เธอคล้องผ้าขนหนูไว้ที่คอพร้อมกับสวมรองเท้าวิ่งคู่หนึ่ง การแต่งกายของเธอทำให้ดูเหมือนว่าผ่านมาออกกำลังกายเท่านั้นถ้าหากว่าไม่ใช่แสงอาทิตย์ของต้นฤดูร้อน เริ่มที่สาดแสงออกมาการที่ไอลี่วิ่งมาจนถึงหน้าบ้านตระกูลหลินแบบนี้ดูเหมือนกับนักท่องเที่ยวที่เข้ามาพักในคฤหาสน์แถวนี้และวิ่งเข้ามาในบริเวณบ้านของตระกูลหลินโดยไม่ได้ตั้งใจ
เธอมองผ่านรั้วเหล็กเข้าไปผู้ชายวัยรุ่นหน้าตาธรรมดาคนหนึ่ง ทั้งหน้าและหูเป็สีแดงกำลังโต้เถียงบางอย่างกับหญิงสาวสวมชุดโบราณ พวกคนรวยแล้วชอบทำอะไรแปลกๆนั้นมีอยู่มาก สวมชุดโบราณแล้วจะทำไม ไอลี่เก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ ก่อนที่จะส่งเสียงเรียกขึ้นมา
“ขอโทษนะคะ มีใครอยู่ไหม?”