บทที่ 108 หรือว่าจะเป็กุ๊กกู๋
ก่อนจะเกิดเื่ ลู่จิ่งซานรู้สึกว่าเขาคงเข้าใจภรรยาตัวน้อยคนนี้ของตัวเองดีอยู่บ้าง
เธอใจดี รู้ความ และว่านอนสอนง่าย
แน่นอนว่าเธอมีบางอย่างที่เป็ความลับอยู่บ้าง อย่างน้อยในเื่นิสัย เขาคิดว่าเขาค่อนข้างรู้จักสวี่จือจือดี แต่ั้แ่เขาเกิดเื่ สวี่จือจือก็ทำให้เขาทั้งประหลาดใจและดีใจมากเกินไป
คุณคิดว่าวันนี้คุณเข้าใจเธอแล้ว แต่เธอก็มักจะทำให้คุณได้เห็นสวี่จือจือในมุมใหม่เสมอ
อย่างเช่นวันนี้
ตอนซื้อผ้าเห็นผู้หญิงคนหนึ่งดูแลลูกสองคนมาด้วยความลำบาก เธอก็ไม่ต่อราคา ซื้อไปเลยทันที
ตู้ล้มลงมา เธอหลบได้แท้ๆ แต่เธอไม่หลบ กลับกันเธอกอดเด็กหญิงตัวเล็กไว้ในอ้อมแขน
ถึงจะยังโกรธเขาอยู่ แต่พอเกิดเื่เธอก็รีบปกป้องเขาทันที
ความรู้สึกที่ได้รับการปกป้องแบบนี้ ลู่จิ่งซานคิดว่านอกจากคุณย่าแล้ว เธอเป็คนแรก
หัวใจของเขาถูกสวี่จือจือกระแทกอย่างแรงอีกครั้ง
ฝั่งสวี่จือจือยังคงโต้เถียงกับชายหนุ่ม “อะไรนะ? คุณไม่เข้าใจแม้แต่หลักการพื้นฐานของการเป็คนเหรอ? ขอโทษมาสิ แล้วก็” สวี่จือจือพูดอย่างหยิ่งยโส “ถ้าไม่ใช่เพราะเขา ชาตินี้คุณคงได้อยู่ในคุกแน่”
“ขอโทษครับ ขอโทษ” ชายหนุ่มตอนแรกยังดูไม่ยอมรับ แต่สุดท้ายภายใต้ความแข็งกร้าวของสวี่จือจือ เขาก็ต้องก้มหน้ายอมขอโทษ และพูดกับลู่จิ่งซานด้วยความขอบคุณ “ขอบคุณมากครับ”
อย่ามองว่าอีกฝ่ายนั่งรถเข็น แต่อีกฝ่ายมีฝีมือจริงๆ
เขาเองก็ยอมรับว่าไม่มีทางยกตู้หนักๆ ด้วยสองมือได้แบบนั้น
คนที่คิดแบบเดียวกันยังมีคุณยายที่สวี่จือจือซื้อของมาก่อนหน้านี้ ตอนแรกเธอยังรู้สึกเสียดาย แต่ตอนนี้มองสวี่จือจือด้วยสายตาเปลี่ยนไป
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเด็กคนนี้ถึงยอมแต่งงานกับคนพิการแบบนี้ ที่แท้เขาก็เก่งขนาดนี้ แน่นอนว่าคนเราไม่สามารถเทียบกันได้
คนที่คิดแบบนี้ยังมีคู่สามีภรรยาโจวเป่าฉิงที่บังเอิญเห็นเหตุการณ์นี้ด้วย ดังนั้นเมื่อกี้ลู่จิ่งซานยังออมมือมืออยู่ด้วยซ้ำ?
โจวเป่าฉิงรู้สึกหนาวที่เป้ากางเกง วันนี้เขารนหาที่ตายมากล้าอวดดีต่อหน้าลู่จิ่งซานอีกเหรอ? ่นี้เขาคงเหลิงเกินไปหน่อย จอมมารก็ยังคงเป็จอมมารเหมือนเดิม
“ขอบคุณมากนะคะ” ผู้หญิงขายผ้ากอดลูกด้วยความขอบคุณ และกล่าวขอบคุณลู่จิ่งซานกับสวี่จือจือ “ถ้าไม่ใช่เพราะพวกคุณ…วันนี้พวกเราสามแม่ลูกคงต้องเดือดร้อนหนักแน่ค่ะ”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เธอถ่มน้ำลายใส่ชายเข็นรถ “ฉันรู้จักเขา เขาคือหวังหม่านชางจากหมู่บ้านนี้”
หวังหม่านชางยิ้มเจื่อนๆ “เธอว่า…มันก็ไม่ได้มีอะไรนี่นา”
“ถุ้ย ถ้ามีอะไรขึ้นมาจริงๆ แกตายแน่” หญิงสาวถ่มน้ำลายใส่เขาอีกครั้ง พูดจบเธอก็หันมาพูดกับสวี่จือจือ “น้องสาว วันนี้ผ้าพวกนี้พี่ไม่คิดเงิน ส่งให้พวกเธอเลย”
ช่วยชีวิตไว้ ผ้าแค่นี้จะเป็อะไร?
“ไม่ต้องค่ะพี่สาว” สวี่จือจือยิ้มแล้วพูด “น้ำใจของพี่สาวพวกเรารับไว้แล้ว ทุกคนลำบากเหมือนกัน เงินพวกเรายังต้องจ่ายค่ะ”
สุดท้ายหญิงสาวก็รับเงินไว้แค่ครึ่งเดียว “แค่พอซื้อด้ายก็พอ” ถ้าให้มากกว่านี้ เธอไม่ยอมรับเด็ดขาด
วันนี้ธุรกิจของลู่ซือหยวนก็ดีไม่แพ้กัน พอสวี่จือจือซื้อของเสร็จแล้วไปหาอีกฝ่าย ซาลาเปาของอีกฝ่ายก็ขายเกือบหมดแล้ว
“จิ่งซานมาด้วยเหรอวันนี้?” พอเห็นลู่จิ่งซาน ลู่ซือหยวนใเห็นได้ชัด แต่ก็ดีใจมาก
ั้แ่ลู่จิ่งซานาเ็เขาก็เก็บตัวอยู่แต่ในบ้านตลอด ลู่ซือหยวนกลัวจริงๆ ว่าเขาจะอุดอู้จนป่วย
“ซื้อของครบแล้วเหรอ?” ลู่ซือหยวนถามสวี่จือจือ “ของฉันยังเหลืออีกสักพัก พวกเธอกลับไปก่อนก็ได้นะ อากาศมันหนาวด้วย”
สวี่จือจือมองอีกฝ่ายแวบหนึ่ง
“มองฉันทำไม?” ลู่ซือหยวนพูด “งั้นเธอจะอยู่ช่วยฉันขายซาลาเปาเหรอ?”
“เอาเถอะ” ไม่รอให้สวี่จือจือพูด ลู่ซือหยวนพูดต่อ “พวกเธอยืนอยู่ตรงนี้เดี๋ยวรบกวนธุรกิจของฉัน กลับไปเถอะ นี่ ฉันเพิ่งตัดเนื้อมาชิ้นหนึ่ง เที่ยงนี้ทำอะไรอร่อยๆ ให้พวกเรากินกัน
รีบกลับไปเถอะ ฉันอยากกลับไปกินข้าวง่ายๆ นะ” น้ำเสียงดูรำคาญมาก
แต่สวี่จือจือรู้ว่าอีกฝ่ายกับคุณนายลู่เหมือนกัน อยากให้เธอกับลู่จิ่งซานมีโอกาสอยู่ด้วยกันสองคน
แค่กลัวว่าจะทำให้ทั้งสองคนผิดหวัง เพราะคนนี้น่ะเป็ไม้ตายตัวจริงๆ ดื้อสุดๆ!
“ของทุกอย่างวางไว้ที่นี่” ลู่ซือหยวนพูด “เดี๋ยวฉันเข็นรถลากกลับไป”
สวี่จือจือไม่เกรงใจ เอาของที่ต้องใช้ตอนเช้าใส่ถุงที่อีกฝ่ายเอามา ส่วนของอื่นๆ วางไว้บนรถลากของลู่ซือหยวน
ระหว่างทางกลับ ทั้งสองคนยังคงเงียบกันอยู่
สวี่จือจือเป็คนมองโลกในแง่ดี ไม่ได้สนใจอารมณ์ของลู่จิ่งซานเลย ไม่พูดก็ไม่เป็ไร เธอมองไปรอบๆ ด้วยสายตาค้นหา ถึงขั้นเริ่มฮัมเพลงเบาๆ
เธอไม่สนใจก็จริง แต่ลู่จิ่งซานที่นั่งอยู่ข้างหน้ากลับรู้สึกไม่ดี
ถนนเส้นนี้พวกเขาเคยเดินผ่าน เป็คืนนั้นที่ไปจัดการจ้าวเจี้ยนเซ่อด้วยกัน คืนนั้นเธอนั่งบนรถของเขา ร้องเพลงให้เขาฟังด้วยน้ำเสียงร่าเริง เป็เพลงที่เขาไม่เคยได้ยินแต่ไพเราะมาก คืนนั้นเขายังจูบเธอด้วย ถึงจะแค่จูบที่หน้าผากเบาๆ แต่ความรู้สึกนั้นเขาไม่เคยััมาก่อนในชีวิต
ตอนนี้เธอยังคงฮัมเพลงอยู่ แต่มันเบาเกินไป เสียงนั้นเหมือนมีคนใช้ขนนกค่อยๆ เกาหัวใจเขา ทำให้เขานั่งไม่ติดช
เขาอยากบอกเธอเหลือเกินว่า ‘สวี่จือจือ ร้องดังกว่านี้หน่อยได้ไหม? ผมอยากฟังด้วย’
แต่พอนึกถึงสองปีข้างหน้าที่เธอจะจากไป มือที่วางบนเข่าของลู่จิ่งซานกำแน่นสองสามที สุดท้ายก็คลายออก
ความเคยชินเป็สิ่งที่น่ากลัวมาก ถ้าอย่างนั้นก็อย่าชินเลยดีกว่า
ทันใดนั้นมีอะไรบางอย่างพุ่งผ่านหน้าพวกเขาอย่างรวดเร็ว
“ลู่…ลู่จิ่งซาน” สวี่จือจือจับรถเข็นของลู่จิ่งซาน พลางพูดตะกุกตะกัก “คุณ…เห็นอะไร…บางอย่างไหม?”
ลู่จิ่งซานเห็นแน่นอน
“ไม่…ไม่ใช่กุ๊กกู๋ใช่ไหม?” สวี่จือจือพูดเบาๆ
กุ๊กกู๋ คืออะไรกัน?
ลู่จิ่งซานมองเธอด้วยความสงสัยก็ได้ยินสวี่จือจือพูดเบาๆ “ฉันได้ยินว่า…ที่นี่เคยเผาคนตายเหรอ?” แถมยังเป็ผู้หญิงด้วย ตรงกลางสี่แยกที่พวกเขายืนอยู่ตอนนี้
ลู่จิ่งซานเม้มปาก หางตาเผยความอ่อนโยนที่เขาไม่รู้ตัวแล้วพูดว่า “น่าจะไม่ใช่นะ โลกนี้ไม่มีผีสางอะไรหรอก”
สวี่จือจืออยากบอกว่า เธอยังทะลุมิติมาที่นี่ได้เลย บางทีอาจมีจริงๆ ก็ได้?
แต่ยังไม่ทันพูด สิ่งนั้นก็โผล่ออกมาอีกครั้ง และพุ่งผ่านไปเร็วมาก
สวี่จือจือกรีดร้องหันไปยืนตรงหน้าลู่จิ่งซาน
ดวงตาผลซิ่งของเธอปิดแน่น แขนสองข้างกางออกขวางหน้าลู่จิ่งซาน ปากก็พึมพำ “ร่ำรวย ประชาธิปไตย อารยธรรม ความสามัคคี เสรีภาพ ความเท่าเทียม ความยุติธรรม…”
.............................