จางกุ้ยฮัวเก็บเื่นี้ไว้ในใจเสมอ ยามใดที่เห็นหลิวเสี่ยวหลันมีอิงเอ๋อร์อยู่ข้างกาย ความรู้สึกก็ต่างไปจากเดิมจริงๆ
ดังนั้นนางจึงหมกมุ่นอยู่กับการซื้อคนมารับใช้
เพียงแต่ว่า ก่อนหน้านี้หลิวซานกุ้ยกับหลิวเต้าเซียงคัดค้านมาโดยตลอด นางจึงไม่ได้เอ่ยปาก
หลิวซานกุ้ยเคยชินกับความลำบาก เขารู้สึกว่าครอบครัวได้จ้างคนงานระยะยาวมาสองสามคนแล้ว ส่วนบุตรสาวเองก็ฝึกหัดการทำงานบ้านและคุมบัญชีในบ้าน หากอนาคตได้ออกเรือนไปคงไม่เป็รองพวกลูกคุณหนูในตระกูลใหญ่ทั้งหลาย
หลิวเต้าเซียงคิดว่าไม่จำเป็แม้แต่น้อย งานหนักในบ้านก็มีคนงานดูแล อาหารก็มีเฉินซื่อช่วยทำให้หมด นางยังไม่้าผู้ช่วย พวกนางสามพี่น้องก็แค่ช่วยทำความสะอาดเล็กน้อย และดูแลเด็กแฝดเท่านั้น
“ซานกุ้ย หรือไม่ เราซื้อบ่าวรับใช้สองสามคนเถิด สูตรนี้ควรเก็บเป็ความลับดีกว่า”
หลิวซานกุ้ยคิดว่าสมเหตุสมผลมาก แต่บุตรสาวบอกว่าเป็คนต้องถ่อมตน...
จางกุ้ยฮัวเห็นสามีมองไปที่บุตรสาวคนรอง จึงเอ่ยอีก “เต้าเซียง หากบ้านเราสร้างบ้านใหม่ พวกเ้าก็นับว่าเป็คุณหนูบ้านคนรวย ถึงตอนนั้นข้างกายควรมีสาวรับใช้สักคนสองคน แม่คิดว่าลูกสาวของแม่นั้นเก่งกว่าใครหลายๆ คน จะไม่สมควรมีเด็กรับใช้ได้อย่างไร”
คำพูดของนางพาดพิงถึงหลิวเสี่ยวหลันที่มักจะนำเื่อิงเอ๋อร์มากดขี่บุตรสาวของตนไม่น้อย
หลิวเต้าเซียงเอื้อมมือออกไปกุมหน้าผาก นางลืมไปว่านี่คือโลกยุคโบราณ แต่ก่อนที่บอกให้ถ่อมตัว เพราะเกรงว่าในบ้านมีเงินแล้วจะเปลี่ยนโฉมจนกลายเป็เศรษฐีใหม่ จึงไม่อยากให้เกิดเื่นี้
“จะว่าไป หากพ้นปีใหม่ พี่สาวข้าก็จะอายุใกล้สิบสอง ควรซื้อคนรับใช้ได้แล้ว อีกอย่างท่านยายก็อายุมากแล้ว ข้าว่าอย่างน้อยก็ต้องมีแม่ครัวสักคน ท่านแม่เลี้ยงน้องชายทั้งสอง คนเดียวก็ดูแลไม่ไหว ควรเพิ่มบ่าวรับใช้คนแก่ที่ดูเป็การเป็งานสักสองคน ส่วนเด็กรับใช้ พวกข้าสามพี่น้องควรมีคนละสองคน” หลิวเต้าเซียงเอ่ย
นางคิดว่าถ้าจะซื้อ ก็ควรซื้อทีเดียวให้พอ
จากนั้นก็ย้อนนึกถึงตอนที่อ่านในเว็บออนไลน์ของยุคปัจจุบัน ในบรรดานิยายแก่งแย่งชิงดีมักจะบอกว่าการเลือกบ่าวรับใช้ไม่ว่าจะแก่หรือเด็กต้องระวังให้มาก ทั่วไปแล้วไม่ควรหาคนที่อยู่บ้านใกล้เรือนเคียง ส่วนทาสในวังก็ไม่เหมาะสมกับครอบครัวของพวกนาง คิดไปคิดมาก็หาวิธีที่ดีไม่ได้
หลิวเต้าเซียงจึงได้แต่พักเื่นี้ไว้ก่อน รอให้ผ่านพ้นปีใหม่ค่อยว่ากัน
ช่างเป็เื่ที่น่ากังวล!
วันที่ยี่สิบสี่เดือนสิบสอง เป็วันเฮงซวยวันหนึ่ง
หลิวเต้าเซียงไม่เคยเกลียดเทศกาลปีใหม่เท่าครั้งนี้มาก่อน
เื่มันเริ่มจาก่เช้าของวันนี้
เนื่องจากรายได้ของครอบครัวในปีนี้ใช้ได้ หลิวซานกุ้ยจึงเตรียมของขวัญประจำปีให้แก่ญาติมิตรสหายดีกว่าปีก่อน ไม่เอ่ยถึงบรรดาปลาเค็มหมูเค็ม ลำพังเหล้าขาวบริสุทธิ์ชั้นดีสองไหก็ได้รับคำชมจากเกาจิ่วและคนอื่นๆ ด้วย
ในวันที่ยี่สิบสี่ ของขวัญตอบแทนก็ส่งกลับมา เหลือเพียงแต่บ้านเดิมที่ไม่ได้มีการส่งของขวัญประจำปี
แน่นอน สองสามีภรรยาหลิวต้าฟู่นั้นเป็ผู้าุโ ย่อมต้องให้เขาส่งมอบของขวัญประจำปีให้ ส่วนหลิวเหรินกุ้ยปีนี้ก็รอคอยการกลับมาของจางอวี้เต๋อตลอดฤดูร้อน เมื่อสืบได้ความว่าก่อนหน้านี้จางอวี้เต๋อไปยังเส้นทางปาสู่ซึ่งไม่ได้อยู่ละแวกนี้ ความกระตือรือร้นที่มีต่อครอบครัวหลิวเต้าเซียงจึงลดทอนลง
เดิมทีเขาหวังจะอาศัยใบเรือของจางอวี้เต๋อสักหน่อยเพื่อเดินทางไปค้าขายต่างแดน แต่ใครจะรู้ว่า คนอื่นไม่ได้เหลียวแลเงินเก็บเพียงน้อยนิดของเขา นี่จึงทำให้หลิวเหรินกุ้ยรู้ว่า จางอวี้เต๋อไม่ใช่แค่มีเงินธรรมดา
เงินสองร้อยตำลึง อีกฝ่ายนั้นไม่ได้เหลียวแลแม้แต่น้อย
ถูกต้อง ตอนที่หลิวเหรินกุ้ยเสนอว่าตนเองมีเงินค้าขายสองร้อยตำลึง จางอวี้เต๋อบอกเพียงว่า เงินแค่นี้ไม่เพียงพอต่อการเดินเรือ เขาจึงตัดใจกับการมุ่งหน้าเป็เศรษฐี และไม่พยายามเอาใจครอบครัวของหลิวซานกุ้ยอีกต่อไป
หากจางอวี้เต๋อรู้เข้าคงจะยิ้มอย่างเ็า เพราะตนเอง้าเห็นภาพเช่นนี้ ความพยายามของเขาในหนึ่งปีที่ผ่านมานั้นทำให้ครอบครัวของหลิวซานกุ้ยมีความสุขสงบ และมีความเจริญรุ่งเรืองมากขึ้นตามที่เขาคาดการณ์
หลิวเหรินกุ้ยมองดูของขวัญประจำปีที่วางอยู่ในห้องโถง หัวใจที่ยังคงฝักใฝ่ไม่ปล่อยกับหนทางการหาเงินนั้นหลั่งเือยู่ตลอดเวลา ใครจะรู้ความขมขื่นในใจเขา แม้ตัวเองจะมองเห็นแต่กลับไขว่คว้ามาไม่ได้ นี่จึงเป็การทรมานคนรูปแบบหนึ่ง
แววตาของหลิวเหรินกุ้ยมีไฟที่ยากจะดับลง หลิวเต้าเซียงแอบเหลียวมองเล็กน้อย
“ท่านปู่ ท่านย่า นี่คือของที่น้าชายข้าส่งคนนำมาให้ ได้ยินว่านำมาจากต่างแดน มีเพียงจวนตระกูลผู้ดีในเมืองหลวงจึงจะมีของเหล่านี้”
เห็นได้ชัดว่าหลิวเต้าเซียงรู้ดีว่าหลิวเหรินกุ้ยรู้สึกไม่สบายใจ ไม่สิ ควรพูดว่านอกจากหลิววั่งกุ้ยที่หาได้ใส่ใจกับของเหล่านี้ คนอื่นๆ ต่างก็อิจฉาริษยาจนแทบบ้าคลั่ง
ผู้คนในบ้านเดิมเอาแต่มองไปที่ข้อมือขาวสะอาดของหลิวเต้าเซียง สร้อยข้อมือทองคำบริสุทธิ์คู่นั้นส่งเสียงกระทบกันในห้องโถง ไม่ว่าจะเป็หลิวฉีซื่อ หลิวซุนซื่อ หรือชุ่ยหลิวและหลิวเสี่ยวหลัน ต่างก็จดจ้องที่ข้อมือของนางอย่างไม่ละสายตา
หลิวเต้าเซียงเผยความดูแคลนในแววตา อิจฉาสินะ ตาร้อนผ่าวสินะ แล้วอย่างไรล่ะ?!
ในอดีตเอาแต่รังเกียจว่าครอบครัวของนางเป็ภาระ อยากจะเขี่ยครอบครัวของนางทิ้งก่อนที่หลิววั่งกุ้ยจะสอบได้ซิ่วไฉ เพียงเพื่อไม่ให้พวกนางได้รับประโยชน์จากรางวัลการยกเว้นภาษีสามสิบไร่ของหลิววั่งกุ้ย
หลิวต้าฟู่มองเห็นภรรยาของตนแสดงออกซึ่งความละโมบอย่างชัดเจน จึงกระแอมเสียงดังหนึ่งที
หลิวฉีซื่อละสายตาออกจากสร้อยข้อมือทองคำนั้น แต่เพียงแค่ครู่เดียวก็ถูกเสียงของมันดึงิญญาออกไปอีกรอบ จากนั้นหลิวต้าฟู่ก็กระแอมอีก แล้วจึงได้สติกลับมา
เมื่อเป็เช่นนี้ หลิวฉีซื่อจึงได้เห็นหลิวเต้าเซียงมองมาพร้อมกับอมยิ้ม ฉับพลันนั้นนางก็หน้ามืดมัวเพราะสภาพเมื่อครู่ของตนคงอยู่ในสายตาของเด็กสาว
คำพูดที่พ่นออกมาจากปากของหลิวฉีซื่อจึงไม่ค่อยน่าฟังเท่าไร “ว่ากันว่าเ้ามั่งคั่งแล้ว อะไรกัน เอาแต่ของสับปะรังเคมา เ้ากำลังไล่ขอทานหรือไร? ในสายตาเ้ายังมีพ่อแม่อยู่หรือ?”
นางไม่กล้าเอ่ยปากขอสร้อยข้อมือที่หลิวเต้าเซียงสวมใส่อยู่ เพราะกลัวจะถูกหักหน้ากลับมาอีกครั้ง
เมื่อได้ยินคำพูดเ่าั้จากมารดา หลิวซานกุ้ยก็มีไฟสุมอกทันใด ของเหล่านี้เรียกว่าแย่หรือ?
ชุ่ยหลิวมองไปที่ของสีดำหนึ่งชิ้นซึ่งเหมือนจะเป็ขาหมู จากนั้นจึงกำผ้าเช็ดหน้าพร้อมกับมองไปที่หลิวซานกุ้ยด้วยแววตายั่วยวน
แต่เขาไม่ได้มองมาทางนี้ เขาเพียงแค่ยืนฟังหลิวฉีซื่อทำเสียงดุอยู่ตรงนั้นอย่างเคร่งขรึม
“ฮูหยิน ครอบครัวของนายท่านสามมีแต่ของเหล่านี้” ชุ่ยหลิวเอ่ย
มุมปากของหลิวเต้าเซียงกระตุก นางไม่เข้าใจจริงๆ ว่าครอบครัวของตนไปทำให้ชุ่ยหลิวโกรธเคืองด้วยเื่ใด
เดิมทีหลิวฉีซื่อเพียงแค่อยากด่าให้สาแก่ใจ แต่พอได้ยินสาวรับใช้พูดเช่นนี้ จึงเสริมต่ออีก “บ้านเขาก็ให้เป็แต่ของแบบนี้ ลูกชายบ้านอื่นกลับมา มีแต่เอาของที่ล้ำค่าหายากมาตอบแทนผู้ใหญ่ ลำพังสมองไม้อย่างเขา ทุกปีก็ให้เป็แต่ของแบบนี้”
หลิวต้าฟู่ทนฟังไม่ไหว เขาชอบกินหมูเค็มผัดต้นกระเทียม และดื่มกับเหล้าสักสองไหเล็ก การมีวันเวลาแบบนี้เขาพึงพอใจแล้ว
นับั้แ่ครอบครัวเ้ารองกลับมา วันที่ได้กินเนื้อก็น้อยลงไปมาก อย่างมากสุดบนโต๊ะอาหารก็มีเพียงไข่เต็มชาม
มีเพียงตอนที่เ้าสามนำของขวัญเทศกาลที่มีปลาและเนื้อมามอบให้ ครอบครัวของเขาจึงจะได้เห็นเนื้อกัน
เมื่อนึกถึงเื่ที่ภรรยาตนเองซื้อบ้านจวงจื่อในจังหวัด ชีวิตหลังจากนั้นก็มีแต่ความลำบากมากขึ้นเรื่อยๆ เขาจึงเกิดความไม่พอใจเล็กน้อย ตอนนั้นเขาไม่ชอบใจกับการซื้อบ้านจวงจื่อที่นั่น เพราะมองแล้วมันไม่ได้มีประโยชน์อะไร พวกเขาเปรียบเหมือนเอาตัวลงไปฝังอยู่ในดินโคลนครึ่งตัวแล้ว ชีวิตที่เหลือก็อาศัยการตอบแทนบุญคุณจากลูกๆ ไม่ดีตรงไหน?
แต่ภรรยาตนเองกลับชอบหาเื่ รั้นจะซื้อบ้านจวงจื่อในที่ไกลแสนไกลปานนั้นให้ได้ ได้ยินว่าปีที่แล้วบ้านที่ทุ่มทุนไปหลายร้อยตำลึงก็ไม่เห็นได้เื่อะไร มีเพียงบ้านที่สร้างได้พอประมาณ หลังจากเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วง บุตรชายคนโตก็ส่งจดหมายมาว่า รายได้จากการเก็บเกี่ยวปีนี้เพียงพอแค่การทำที่ดินในบ้านให้เรียบ กับการทำสวนหย่อมหลังบ้านให้เสร็จสิ้น
ยิ่งไปกว่านั้นบุตรชายคนโตของเขาบอกว่าครอบครัวที่ร่ำรวยและสูงส่งส่วนใหญ่มักปลูกดอกไม้ล้ำค่า เขาจึงต้องค่อยๆ คิดหาทาง หากมีเื่ใดที่ประหยัดได้ก็ให้ประหยัด
หลิวต้าฟู่เห็นด้วยกับความคิดของบุตรชายคนโตในจุดนี้ เพียงแต่เมื่อคิดว่าที่แห่งนั้นเป็สถานที่ที่เขาไม่ค่อยอยากอาศัยอยู่ แล้วยังต้องทำเครื่องใช้ในบ้านด้วยไม้ดอกแพร์ อีกทั้งเมื่อได้ยินว่ารายได้ปีต่อๆ ไปก็ต้องทุ่มเข้าไปอีก เขาจึงยิ่งไม่สบายใจ
ชีวิตราวกับกำลังย้อนกลับไปในวันวานอย่างไรอย่างนั้น!
ั้แ่ได้แยกครอบครัว แม้ว่าในมือของหลิวฉีซื่อจะมีบ้านจวงจื่อเพิ่ม แต่กลับไม่มีเงินเข้ามาโดยตลอด เงินที่ได้มาก็ต้องทุ่มเข้าไปกับบ้านใหม่หลังนั้น อีกทั้งนับั้แ่หลิวเหรินกุ้ยกลับมาพักที่หมู่บ้าน ก็ไม่เคยคิดออกไปหางานอย่างอื่นทำ
หลิวฉีซื่อจึงเริ่มขัดสน ใช่ว่านางจะไม่เคยบ่น แต่เมื่อหลิวเหรินกุ้ยได้ยินก็มักจะบีบน้ำตา แล้วบอกว่าแต่ก่อนตนเองอาศัยอยู่ข้างนอกนานเกินไป ตอนนี้ท่านพ่อท่านแม่ก็แก่เฒ่า ส่วนน้องสี่ก็ตั้งใจเรียนอย่างเดียว นี่คือเื่ใหญ่หลวงในบ้าน คงไม่อาจให้เขาปันใจมาห่วงเื่ดูแลท่านแม่ หากเกิดสอบไม่ดีจะทำอย่างไร?
หลิวฉีซื่อเชื่อคำพูดเขาและรู้สึกว่าไม่เสียแรงที่รักและเอ็นดูบุตรชายคนรองเสมอมา
เพียงแต่ว่า เห็นว่านางเป็ใครกัน?
สิบนิ้วมืออันคมกริบ สามารถกรีดทะลุกระทั่งกะละมังไม้ปานนั้น
นางที่กำลังขัดสน จึงเลื่อนสายตาไปที่ตัวหลิวซานกุ้ยอีกครั้ง
ปีที่แล้วหลิวฉีซื่อขูดรีดจากตัวหลิวซานกุ้ยมาได้ยี่สิบถึงสามสิบตำลึง ปีนี้ก็เช่นกัน นอกจากชุดของทั้งสองที่เนื้อผ้าดีขึ้น ก็ยังมีรองเท้าสี่ฤดูเพิ่มขึ้นมาอีกแปดคู่
ของเหล่านี้ หลิวฉีซื่อเชื่อว่านางได้มาด้วยการไขว่คว้าของตนเอง ไม่ใช่ความกตัญญูของหลิวซานกุ้ย
ดังนั้นเมื่อหลิวซานกุ้ยพาสามพี่น้องมามอบของขวัญประจำปีให้แก่ท่านปู่ท่านย่า หลิวฉีซื่อจึงอาศัยเื่นี้มาทำให้เป็ประเด็นอีก
“เ้านั้นไร้หัวใจ เสียแรงที่ข้าเลี้ยงมาจนเติบโต กว่าจะทำให้เ้าเป็ฝั่งเป็ฝาได้ ยังถูกนางเมียตัวดียุยงให้อกตัญญูกับพ่อแม่ ์ เหตุใดจึงไม่เบิ่งตามองดู เหตุใดไม่ทำให้ฟ้าผ่าคนเนรคุณแบบนี้ให้ตายๆ ไป”
หลิวฉีซื่อเป็สารานุกรมของการด่าคำหยาบ สามารถด่าทอผู้อื่นเป็เวลาครึ่งชั่วยามโดยไม่ซ้ำกันแม้แต่น้อย
ในที่สุด หลิวซานกุ้ยก็ถูกด่าทอจนเส้นเอ็นปูด
“ท่านแม่! ของขวัญในปีนี้ดีกว่าปีที่แล้วมากนัก”
คำพูดของเขาทำให้หลิวฉีซื่อหุบปากได้สำเร็จ
หลิวเต้าเซียงชี้ไปที่ตะกร้าด้วยดวงตาที่เป็ประกาย แล้วกล่าวว่า “ท่านย่า นี่คือหมูป่ารมควันของแท้ ครอบครัวข้าได้มาแค่ไม่กี่สิบชั่ง แต่ก็เลือกส่วนที่ดีที่สุดให้ท่านย่า”
ถ้าใช่ก็แปลกน่ะสิ เ้าหนุ่มซูจื่อเยี่ยปีนี้ส่งจดหมายมาพร้อมกับของขวัญประจำปีให้นางอีกตามเคย บอกว่าครึ่งปีหลังนี้เขาได้ไปเขตชายแดน ทางนั้นหิมะตกเร็ว ูเาบนเขตชายแดนมีสัตว์ป่ามากมาย เขาจึงเลือกเนื้อชั้นดีไม่น้อยมาให้ครอบครัวนาง
มีหมูป่ารมควันหนึ่งตัว เนื้อกวางหมักเกลือหนึ่งตัว แล้วก็แพะูเาหมักเกลือสองตัว นอกเหนือจากนั้นก็ยังมีหนังสิบผืน บอกไว้ว่าทำเป็ที่ปูเตียง กลางคืนเวลานอนจะเหมือนกับนอนบนเครื่องทำความอุ่น จะช่วยทำให้อบอุ่นมากนัก
หลิวซานกุ้ยเห็นว่ามีหมูป่าตัวใหญ่ จึงเลือกเฉือนส่วนขาหมูมามอบให้
หลิวฉีซื่อได้ยินดังนั้นก็แอบดีใจ ขาหมูของหมูป่าเช่นนี้หากเอาไปแลกเงินกับโรงเตี๊ยมในตำบลคงได้เงินมาไม่น้อยทีเดียว จากนั้นค่อยเอาเงินไปแลกเนื้อหมูมากินในบ้านก็นับว่าคุ้มค่า
-----