“ทุกคนที่อยู่ในรายชื่อนี้ล้วนเป็ศิษย์ของสำนักศึกษาอย่างนั้นหรือ?”
มู่ขวงเอ่ยถามด้วยความใ
“ถูกต้อง ในบรรดารายชื่อเหล่านี้ไม่มีใครมีอายุเกินสามสิบปีเลยสักคน ตัวอย่างเช่นอันดับหนึ่งอย่างเว่ยอี้อวิ๋น เขาเป็คนของอาณาจักรเทียนเฟิง อายุยี่สิบสี่ปี เข้าสำนักศึกษามาไม่ถึงหกปีก็สามารถบรรลุวรยุทธ์ระดับหนิงกังขั้นเก้าได้แล้ว ความแข็งแกร่งของเขานั้นทรงพลังเป็อย่างมาก ในสำนักศึกษาแห่งนี้ ศิษย์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขาไม่มีใครสามารถเอาชนะเขาได้เลยสักคน จากพร์ของเขาคาดว่าเขาคงจะสามารถบรรลุวรยุทธ์ระดับหยวนตานได้ก่อนจบการศึกษาและเร็วกว่าคนอื่นๆ ที่อายุไล่เลี่ยกัน”
มู่หลิงเอ๋อร์อธิบายอย่างใจเย็น
เมื่อทราบว่าอีกฝ่ายสามารถบรรลุวรยุทธ์ระดับหนิงกังขั้นเก้าได้ด้วยอายุเพียงยี่สิบสี่ปี สายตาของทุกคนก็เต็มไปด้วยความตกตะลึงและคาดไม่ถึง พร์ของคนผู้นี้สามารถเรียกได้ว่าเป็สัตว์ประหลาดขนานแท้
ผู้ฝึกยุทธ์ในวัยยี่สิบสี่ปีส่วนใหญ่ล้วนมีวรยุทธ์เพียงแค่ระดับจื่อฝู่เท่านั้น
“ในสำนักศึกษา ผู้ที่มีรายชื่อติดอันดับหนึ่งในร้อยจะมีความเปรียบมากกว่าคนอื่น ในทุกเดือนจะได้รับคะแนนในการเรียนเพิ่มขึ้น ทั้งยังได้รับการฝึกฝนในรูปแบบที่ดีกว่า ดังนั้นศิษย์ทุกคนในสำนักศึกษาจึงปรารถนาที่จะให้ชื่อของตนติดอันดับบ้าง”
มู่หลิงเอ๋อร์อธิบาย แววตาของทุกคนต่างก็ลุกโชนด้วยความปรารถนา
“พี่หญิง คะแนนเรียนสามารถใช้ประโยชน์อะไรได้บ้างหรือขอรับ? แล้วต้องทำอย่างไรจึงจะได้รับคะแนนเพิ่ม?”
มู่เฟิงเอ่ยถามขึ้นขณะนำบัตรผลึกสีน้ำเงินออกมา หลังจากที่ผู้าุโบอกว่าบัตรนี้ใช้ในการสะสมคะแนนเรียน เด็กหนุ่มก็เกิดความสงสัยในเื่นี้ขึ้นมาแล้ว
“ภายในสำนักศึกษาจะไม่มีการใช้จ่ายเงิน ยกเว้นเพียงบางกรณีเท่านั้น ที่นี่คะแนนเรียนนั้นมีค่ามากว่าเงินทอง หาก้าฝึกฝนทักษะวิชา กระบวนท่าที่ล้ำลึกขึ้น หรือทักษะพลังปราณระดับธาตุทอง จำเป็ต้องใช้คะแนนเรียนในการแลกเปลี่ยน นอกจากนี้ภายในหุบเขาเทียนอวิ่นนั้นยังมีสถานที่แห่งหนึ่งที่ถูกเรียกว่าหอเทียนอวิ่น ที่แห่งนั้นมีห้องฝึกฝนที่ดีที่สุดตั้งอยู่ ซึ่งภายในห้องจะมีกลิ่นอายพลังฟ้าดินที่เข้มข้นเป็พิเศษ หาก้าเข้าไปฝึกฝนที่นั่น จำเป็ต้องใช้คะแนนเรียนในการแลกเปลี่ยน”
“นั่นหมายความว่าหากมีคะแนนเรียนเยอะ เ้าก็จะได้รับการฝึกฝนที่ดีขึ้น ส่วนวิธีที่จะได้รับคะแนนนั้นก็มีอยู่หลายวิธี มีศิษย์บางส่วนทำการค้าแลกเปลี่ยนคะแนนกัน และโดยปกติแล้วบรรดาศิษย์ส่วนใหญ่จะไปยังวิหารภารกิจเพื่อรับภารกิจจากที่นั่น ตราบใดที่ทำภารกิจสำเร็จก็จะได้รับคะแนนเรียนเพิ่มขึ้น นอกจากนี้หากสามารถติดอันดับหนึ่งในร้อยของการจัดอันดับได้ก็จะได้รับคะแนนเพิ่มในทุกๆ เดือน ตอนนี้ในบัตรผลึกของพวกเ้ามีคะแนนหนึ่งร้อยคะแนน ซึ่งคะแนนเพียงเท่านี้ถือว่าไม่มีประโยชน์อะไรมากนัก”
มู่หลิงเอ๋อร์กล่าว
มู่เฟิงและคนอื่นๆ พลันนิ่งเงียบไปทันที ในขณะที่ว่านเอ๋อร์ซึ่งอยู่ด้านข้างเพียงยิ้มบางและกล่าวว่า “เฟิงตอนนี้ข้ามีคะแนนสองพันคะแนนแล้ว ข้าจะแบ่งให้เ้าครึ่งหนึ่งนะ”
อวิ๋นชิงว่านนำบัตรผลึกสีน้ำเงินของนางออกมาจับคู่กับบัตรของมู่เฟิง จากนั้นนางก็ส่งพลังปราณเข้าไปกระตุ้นภายในบัตรของตัวเอง คะแนนหนึ่งพันคะแนนถูกถ่ายโอนไปยังบัตรผลึกสีน้ำเงินของมู่เฟิงอย่างรวดเร็ว
“เด็กโง่ หากข้า้าคะแนนข้าก็สามารถหามันด้วยตัวเองได้ ไหนเลยจะต้องให้เ้ายกมันให้ข้าด้วย”
มู่เฟิงใช้แขนข้างหนึ่งโอบร่างของว่านเอ๋อร์เอาไว้ ก่อนที่มืออีกข้างจะบีบจมูกของนางแล้วกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“อะไรที่เป็ของข้ามันก็เป็ของเ้าด้วยเหมือนกัน”
ว่านเอ๋อร์เอ่ยเสียงแ่
“ไอหยา พวกท่านชักจะหวานกันเกินไปแล้ว เหตุใดจึงไม่มีใครมอบคะแนนให้ข้าบ้างนะ โอ้์ ช่างไม่ยุติธรรมนัก”
ไป๋จื่อเยว่เหม่อมองฟ้า ก่อนจะคร่ำครวญออกมาด้วยท่าทางเศร้าโศก
“เอาละ วันนี้พวกเ้าเพิ่งเดินทางมาจากหนานหลิง ฉะนั้นก็พักผ่อนก่อนเถิด เสี่ยวเฟิง ข้าขอตัวก่อน หากเ้ามีอะไรให้ช่วยก็ไปหาข้าที่อาณาเขตชั้นในที่เก้าสิบห้า เอาไว้เดี๋ยวข้าจะแวะมาหาพวกเ้าบ่อยๆ”
มู่หลิงเอ๋อร์กล่าวขณะหยัดกายลุกขึ้น
“เข้าใจแล้วขอรับ พี่หญิง”
มู่เฟิงและคนอื่นๆ ต่างลุกขึ้นเพื่อส่งแขก
หลังจากมู่หลิงเอ๋อร์ออกไปแล้ว ทุกคนต่างก็บอกลากันและกลับไปยังเรือนพักของตนเอง
“พี่เฟิง เดี๋ยวข้ากับเสี่ยวขวงจะออกไปทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมของที่นี่ก่อน ท่านกับพี่สะใภ้ก็ใช้เวลาด้วยกันเถอะ เ้าทึ่ม ไปกันได้แล้ว”
ไป๋จื่อเยว่ขยิบตาให้มู่ขวง ก่อนจะส่งยิ้มให้มู่เฟิงอย่างมีเลศนัย จากนั้นเขาก็ดึงตัวมู่ขวงออกไปทันที เพียงไม่นานภายในห้องโถงก็เหลือเพียงมู่เฟิงกับอวิ๋นชิงว่านแค่สองคน
“เ้าเด็กสองคนนี้”
มู่เฟิงยิ้มออกมาก่อนจะส่ายหัวให้พวกเขา ภายในใจแอบคิดว่าไป๋จื่อเยว่ช่างเป็คนที่เข้าใจอะไรได้ง่ายนัก
ว่านเอ๋อร์มองไปยังมู่เฟิง ใบหน้าของนางปรากฏเืฝาดขึ้นและมันก็ย้อมไปทั่วพวงทั้งสองข้าง เด็กสาวก้มหน้าลงด้วยความเขินอาย
มู่เฟิงมองว่านเอ๋อร์ก่อนจะใช้ปลายนิ้วเชยคางมนของนางขึ้นช้าๆ ดวงตาของพวกเขาสบประสานกัน
หลังจากที่ไม่ได้พบกันมานานถึงสองปี แน่นอนว่าระหว่างพวกเขานั้นมีถ้อยคำมากมายที่อยากจะบอกกล่าวออกมา
ใบหน้าของว่านเอ๋อร์แดงก่ำราวกับผลแอปเปิ้ล เด็กสาวหายใจถี่ขึ้นเล็กน้อย ไม่กล้ามองสบสายตาอันเร่าร้อนของมู่เฟิง
“สองปีแล้ว ข้าคิดถึงเ้ามาก”
มู่เฟิงกระซิบเสียงเบา
“ข้าเองก็เช่นกัน เ้ารู้หรือไม่ว่า ตอนที่ข้าได้ยินจากท่านพี่ว่าเ้าตายไปแล้ว ยามนั้นข้ารู้สึกราวกับว่าหัวใจกำลังแตกสลาย ข้ารู้สึกเหมือนตัวเองไม่มีความหวังที่จะมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว”
ว่านเอ๋อร์กระซิบตอบขณะเอนตัวพิงซบในอ้อมอกของเด็กหนุ่ม อายุของนางโตกว่ามู่เฟิงเพียงหนึ่งปี และในปีนี้นางอายุก็สิบแปดแล้ว นับเป็่วัยดีที่สุด
“ไม่เป็ไรแล้ว ทุกอย่างมันผ่านไปแล้ว ข้ายังมีชีวิตอยู่ มีชีวิตอยู่เป็อย่างดีมาโดยตลอด และเส้นลมปราณของข้าเองก็ฟื้นคืนมาแล้ว”
มู่เฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เฟิง”
อวิ๋นชิงว่านผละตัวออกจากมู่เฟิงอย่างอ้อยอิ่ง นางจ้องมองเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่ายด้วยดวงตาแดงก่ำ ก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เป็กังวลว่า “ท่านพ่อหมั้นหมายข้าให้กับหนานหลิงแล้ว ข้าควรจะทำอย่างไรดี...”
มู่เฟิงลูบใบหน้าอันงดงามของว่านเอ๋อร์ ก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “เ้าไม่ต้องเป็กังวล เ้าเป็ของข้า ข้าจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมาพรากเ้าไปจากข้าทั้งนั้น”
แม้น้ำเสียงของมู่เฟิงจะฟังดูอ่อนโยน แต่มันก็แฝงไว้ด้วยความมั่นคงและความเด็ดขาด
“ข้าอวิ๋นชิงว่าน หากไม่ใช่เ้ามู่เฟิงก็จะไม่แต่งงานไปชั่วชีวิต”
ว่านเอ๋อร์กล่าวอย่างหนักแน่น
“อย่างนั้นก็ดี ฮ่าๆ นานมากแล้วที่ไม่ได้ดูดาวกับเ้า เราไปกันเถอะ”
มู่เฟิงหัวเราะเสียงดัง ก่อนจะโอบอุ้มร่างของว่านเอ๋อร์เข้ามาไว้ในอ้อมกอด จากนั้นเขาก็เดินออกจากห้องโถง ก่อนจะะโขึ้นไปบนหลังคาที่สูงราวเจ็ดถึงแปดเมตร เด็กหนุ่มสาวทั้งสองนอนอิงแอบกันอยู่บนหลังคา ขณะแหงนหน้ามองดูท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวในยามค่ำคืน
ดวงดารามากมายกำลังส่องแสงพร่างพราวราวกับอัญมณี ในเวลานั้นเองก็มีแสงจากดาวตกทอดตัวยาวลงมาจากฟากฟ้าเป็ระยะ ทำให้เกิดเป็ภาพที่งดงามอย่างยิ่ง
ว่านเอ๋อร์เอนศีรษะซบลงบนไหล่หนาของมู่เฟิง และอิงแอบแนบชิดร่างกายเข้ากับร่างกายด้านข้างของเขา ในใจคิดหวังว่าอยากจะหยุดเวลาตรงนี้เอาไว้ตราบชั่วนิรันดร์...
เช้าวันถัดมา มู่เฟิงและเหล่าบัณฑิตหน้าใหม่ต่างก็มารวมตัวกัน หลังจากเจิ้งเยว่เซิงเริ่มเกริ่นเื่ เพียงไม่นานเขาก็กล่าวเข้าประเด็นหลัก
“หลังจากที่เมื่อวานทุกคนเดินทางมาถึง คาดว่าคงจัดการเื่ที่พักเรียบร้อยแล้ว จากนี้ทุกคนจำเป็ต้องทำความเข้าใจถึงกฎเกณฑ์ของสำนักศึกษาเอาไว้ด้วย ตลอดมาทางสำนักศึกษาของเรามีกฎอยู่ข้อหนึ่ง เมื่อเข้าศึกษาครบสามเดือน เหล่าบัณฑิตหน้าใหม่จำเป็ต้องเข้ารับการประเมินหนึ่งครั้ง ซึ่งสามอันดับแรกของผู้ที่ได้รับคะแนนการประเมินสูงสุดจะได้รับรางวัล นั่นคือทักษะวิชาที่ล้ำลึกหนึ่งวิชาและได้รับคะแนนเรียนเพิ่มขึ้น ดังนั้นสามเดือนหลังจากนี้จะมีการประเมินครั้งแรกขึ้น หวังว่าทุกคนจะเตรียมตัวกันให้พร้อม”
หลังจากเจิ้งเยว่เซิงกล่าวจบ เขาก็ประกาศให้แยกย้ายในทันที เหล่าบัณฑิตหน้าใหม่นับพันคนต่างก็พูดคุยถึงเื่นี้ในขณะที่เดินแยกย้ายกันไป
“คะแนนเรียน ทักษะวิชา การประเมิน น่าสนใจ...”
“ไม่รู้ว่าจะเป็การประเมินแบบใด และจะประเมินอะไร”
ในระหว่างที่พวกมู่เฟิงกำลังเดินออกจากลานจัตุรัส พวกเขาก็พูดคุยกันถึงเื่นี้
“พี่เฟิง ข้าว่ารางวัลในการประเมินครั้งนี้คงเตรียมมาให้พวกเขาสามคนเป็แน่ ในบัณฑิตรุ่นเราใครจะสามารถเป็คู่ต่อสู้ของเราได้”
มู่ขวงหัวเราะร่า ถึงอย่างไรวรยุทธ์ของพวกเขาสามคนก็เหนือกว่าเหล่าบัณฑิตในรุ่นนี้
“หึๆ มู่ขวง นึกไม่ถึงว่าไม่ได้พบกันมาสองปี เ้าจะหยิ่งผยองขึ้นถึงเพียงนี้ เอ๋ มู่เฟิง เส้นลมปราณของเ้าฟื้นคืนแล้วรึ?”
ทันใดนั้นเสียงเย้ยหยันก็ดังขึ้นใกล้ๆ อีกฝ่ายเป็ชายหนุ่มวัยยี่สิบปีที่อยู่ในชุดคลุมสีน้ำเงิน เขาและสหายอีกสองคนกำลังเดินเข้ามาหาเด็กหนุ่มทั้งสาม
“มู่ชิง”
มู่เฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาจดจำลูกพี่ลูกน้องที่มีความขัดแย้งกับเขามาั้แ่เด็กผู้นี้ได้ในทันที
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้