เพราะ้าสืบว่าผ้าสีฟ้านั่นเป็ผ้าอะไรกันแน่อันเจิงกับตู้โซ่วโซ่วจึงตรงกลับไปที่นิกายเบิก์โดยไม่รีรออาจเป็เพราะทุกคนเข้าไปในตราประทับท้าทาย์จนหมด แล้วอันเจิงกับตู้โซ่วโซ่วก็ไม่อยู่อีกดังนั้น เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่ ใครบางคนจึงเข้ามารื้อค้นในนิกายเบิก์อันเจิงมองข้าวของที่กระจัดกระจายพลางขมวดคิ้วมุ่นแล้วแผ่รังสีสังหารออกมา
แม้แต่ห้องของชวีหลิวซีพวกมันก็ยังไม่ละเว้นข้าวของและเสื้อผ้าของนางถูกค้นจนเละเทะยับเยินไปหมดแล้ว
“โซ่วโซ่ว...เ้าเอาผ้าสีฟ้าผืนนี้ไปหาผู้เฒ่าฮั่วแล้วถามดูว่ามันเป็ผ้าอะไรกันแน่” อันเจิงพูดแค่นั้นแล้วหันหลังเดินกลับออกไปทันที
ตู้โซ่วโซ่วถามขึ้น “เ้าจะไปไหนน่ะ?”
อันเจิงไม่แม้แต่จะหันกลับมาเลยด้วยซ้ำ “ฆ่าคน”
เพราะเป็ห่วงอันเจิง ตู้โซ่วโซ่วจึงก้าวยาวๆ เดินตามเขาออกไปในที่สุด หลังเดินออกไปจากนิกายเบิก์อันเจิงก็ไปยืนอยู่กลางถนนแล้วมองไปรอบด้านพลางะโเสียงดัง “ข้าไม่สนว่าใครเป็คนรื้อค้นนิกายเบิก์และไม่สนด้วยว่ามันยังซ่อนตัวอยู่แถวนี้หรือไม่ แต่รู้เอาไว้เลยว่า ข้าจะฆ่าคนเพราะเื่นี้...พวกที่กำลังแอบจับตามองนิกายเบิก์อย่างลับๆ ทั้งหลาย หากพวกเ้าต้องมาตายเพราะเื่นี้ ก็ไปโทษคนที่บุกเข้าไปค้นในนิกายเบิก์เองก็แล้วกันไม่ว่าใครเป็ผู้เข้ามาค้นข้าวของในนิกายเบิก์ หากข้าเจอตัวเมื่อไหร่ข้าจะตามไปฆ่ามันถึงที่แน่นอน หรือต่อให้วันนี้จะฆ่าไม่สำเร็จอย่างน้อยข้าก็จะตามฆ่าพวกมันไปจนกว่าข้าจะตาย”
เขายกมือขึ้น ทันใดนั้นกระดิ่งแก้วที่คอของเสี่ยวช่านก็ลอยขึ้นไปหมุนอยู่กลางอากาศอย่างรวดเร็วกลิ่นอายแห่งพลังที่น่าหวาดกลัวแผ่ออกมาจากกระดิ่งแก้ว ก่อนม่านแสงสีเขียวจะกระจายออกไปรอบด้านจากนั้นก็ขยายขนาดขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็ม่านแสงที่มีรัศมีมากกว่าร้อยเมตรในที่สุดทันทีที่ม่านแสงนี้ปรากฏขึ้น พวกคนที่แอบซุ่มอยู่รอบด้านก็ใจนทำอะไรไม่ถูกรีบพากันหนีกระเจิดกระเจิงไปตาม ๆ กัน
แต่พวกเขากลับไม่อาจออกไปนอกม่านแสงได้เลยในขณะนี้ ม่านแสงสีเขียวก็เป็ดั่งแก้วขนาดใหญ่ที่ครอบพวกเขาเอาไว้เสียสนิท
ก่อนจะจากไป เฉินเซ่าป๋ายบอกวิธีใช้กระดิ่งแก้วกับอันเจิงเอาไว้หลังลองฝึกใช้อยู่หลายวัน ในที่สุดอันเจิงก็สามารถควบคุมและใช้งานมันได้อย่างคล่องแคล่วกระดิ่งแก้วนี้ก็เป็เหมือนสมบัติวิเศษระดับสูงอื่น ๆ คือหากหยดเืลงไปแล้วมันก็จะจดจำเ้าของเืในฐานะเ้านาย ดังนั้นกระดิ่งแก้วนี้จึงมีสายใยเชื่อมโยงกับอันเจิงทำให้เขาสามารถสั่งการได้นั่นเอง
กระดิ่งแก้วเริ่มการสังหารขึ้นภายในม่านแสง ผู้มีพลังวัตรที่ซ่อนตัวอยู่ไม่อาจหนีรอดไปได้เลยสักคนกระดิ่งแก้วพุ่งไปทั่วม่านแสง ะเิหัวของผู้มีพลังวัตรไปคนแล้วคนเล่า วินาทีนี้ อันเจิงที่ยืนอยู่กลางม่านแสงก็ไม่ต่างไปจากเทพสังหารที่กลับชาติมาเกิดและที่เขาโมโหจนลงมือฆ่าคนเช่นนี้ เพราะเขารู้ว่าคนพวกนั้นบุกเข้าไปในนิกายเบิก์พร้อมกับจิตสังหารนั่นเอง
หากชวีหลิวซีและเสี่ยวชีเต้าไม่ได้เข้าไปในตราประทับท้าทาย์ก็อาจถูกพวกมันฆ่าไปแล้วพวกมัน้าแย่งชิงสมบัติวิเศษอื่น ๆ ที่อาจหลงเหลืออยู่ในนิกายเบิก์ ดังนั้นไม่มีทางเมตตากับเด็กอย่างชวีหลิวซีและเสี่ยวชีเต้าแน่
อันเจิงลงมือสังหารอย่างโเี้และเด็ดขาดกว่าทุกครั้ง
มีผู้ถูกสังหารไปมากกว่าสามสิบคนซึ่งคนเหล่านี้ล้วนเป็สายสืบจากแหล่งอำนาจที่แตกต่างกัน
“ศิษย์พี่...ศิษย์พี่ ไว้ชีวิตข้าด้วย!”
ศิษย์ของหอสมุดมายาในเครื่องแบบสีขาวคุกเข่าลงตรงหน้าอันเจิงจากนั้นก็เอาแต่ก้มคำนับเขาอย่างลนลาน “ไว้ชีวิตข้าด้วยเถิดศิษย์พี่ข้าจะไม่ทำอีกแล้ว”
อันเจิงมองคนตรงหน้าแวบหนึ่งเขาก็คือหลี่หูที่เข้าร่วมการประลองครั้งที่ผ่านมานั่นเอง ในตอนนั้นคู่ต่อสู้ของเขาคือชวีหลิวซีหลังพ่ายแพ้เขาก็นึกแค้นเคืองมาโดยตลอด ทั้งยังเคยประกาศว่าหากชวีหลิวซีอยู่คนเดียวเมื่อไหร่จะได้เห็นดีกันแน่
“เมื่อครู่ เ้าได้เข้าไปในนิกายเบิก์หรือไม่”อันเจิงเค้นถาม
หลี่หูคำนับอันเจิงครั้งแล้วครั้งเล่าเขาใมากจริง ๆ กระดิ่งแก้วสังหารคนได้อย่างเฉียบขาด ทุกแห่งที่มันพุ่งไปก็จะมีคนตายลงทุกครั้งภาพของเืที่สาดกระจุยทำให้เขากลัวจนไม่มีแรงจะยืนแล้วและในขณะที่ร่างกายกำลังสั่นเทาอย่างรุนแรงของเหลวสีเหลืองก็ไหลออกมาจากหว่างขาของเขาเช่นกัน
“ข้าเปล่านะ ข้าเปล่า...ศิษย์พี่ไว้ชีวิตข้าด้วย”
ภาพของชายหนุ่มรูปร่างกำยำที่กำลังคุกเข่าร่างสั่นเทาอยู่ตรงหน้าไม่ได้แลดูน่าสงสารเลยสักนิดมันกลับยิ่งทำให้อันเจิงรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้นต่างหาก
“สรุปว่าเข้าหรือไม่เข้ากันแน่!” อันเจิงถามย้ำด้วยความโกรธเกรี้ยว
ร่างของหลี่หูชะงักนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะก้มหัวลงอีกครั้ง “เข้า...”
อันเจิงถามอีกครั้ง “เ้าเป็คนเข้าไปในห้องของชวีหลิวซีฉีกเสื้อผ้าของนาง แล้วยังถีบจนเตียงของนางล้มคว่ำอีกใช่หรือไม่?”
“ใช่...”
อันเจิงก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวจากนั้นก็ยื่นมือไปจับผมของหลี่หูเอาไว้ แล้วออกแรงดึงจนเขาหน้าหงาย “พูดความจริงกับข้าเ้าคิดจะทำอย่างไรกับชวีหลิวซี หากพูดโกหกแม้แต่คำเดียวข้าจะฆ่าเ้าเดี๋ยวนี้เลย”
ร่างของหลี่หูสั่นเทาอย่างไม่อาจห้าม ฟันในปากกระทบกันไม่หยุด“ข้า...ข้าผิดไปแล้ว ศิษย์พี่ ข้าเพียงแค่...ข้าแค่เห็นว่าพวกท่านไปกันหมดแล้ว ในนิกายเบิก์คงไม่มีใครเข้ามายุ่งได้แล้วเลยคิดจะเข้าไปค้นดูว่านิกายเบิก์ยังมีสมบัติวิเศษระดับสูงอีกหรือไม่ ข้า...ศิษย์พี่ข้าผิดไปแล้ว ข้าสารภาพว่าเคยคิดจะทำเื่ไม่ดีกับศิษย์น้องชวีหลิวซีจริงข้าอยากจะย่ำยีนาง จากนั้นก็ฆ่านางเสีย...แต่ศิษย์พี่ ข้ายังไม่ได้ทำเสียหน่อยข้าแค่คิดเท่านั้น”
“เ้ายังไม่ได้ทำงั้นรึ?”
อันเจิงถีบไปที่ใบหน้าของหลี่หูจนร่างกำยำล้มกลิ้งไปทางด้านหลังหลายตลบ
“แล้วถ้าเ้าหาชวีหลิวซีจนเจอเล่า ป่านนี้นางคงจะถูกเ้าย่ำยีและตายไปแล้วสินะ“
หลี่หูลุกขึ้นมาอีกครั้งจากนั้นคุกเข่าลงแล้วคำนับอันเจิงอย่างบ้าคลั่ง “ศิษย์พี่ ข้าไม่กล้าทำแบบนั้นอีกแล้วไม่สิ ๆ ท่านผู้นำนิกายอัน ข้าไม่กล้าทำแบบนั้นอีกแล้ว”
ทันใดนั้น เจินจวงปี้ก็พุ่งเข้ามาพอดีทำให้ได้เห็นศพสภาพแหลกเละมากกว่าสามสิบศพที่นอนเกลื่อนอยู่ในม่านแสงและภาพของศิษย์รักที่กำลังคุกเข่าคำนับให้อันเจิง
“หยุดนะ!”
เจินจวงปี้คำรามกร้าว “อันเจิง! อย่าได้คืบจะเอาศอกนะ!คิดจะตีสุนัขก็ต้องดูเ้าของเสียก่อน หลี่หูเป็ศิษย์ของหอสมุดมายาเ้าไม่มีสิทธิ์สั่งสอนเขาแบบนี้ หากเ้ากล้าทำอะไรเขาละก็นั่นก็แปลว่าพวกเ้าประกาศศึกกับหอสมุดมายาแล้ว ั้แ่นี้เป็ต้นไป หอสมุดมายาและนิกายเบิก์จะเป็ศัตรูกันไม่ตายไม่เลิกราแน่นอน!ข้าขอเตือนอย่าคิดว่ามีกระดิ่งแก้วแล้วจะทำอะไรก็ได้ เพราะหอสมุดมายาก็มีอาวุธที่แข็งแกร่งจนสามารถกำราบเ้าได้เหมือนกัน”
อันเจิงหันไปมองเจินจวงปี้พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบพร่า“เช่นนั้นก็เอาออกมากำราบข้าตอนนี้เลยสิ”
จากนั้นเขาก็ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวแล้วเหวี่ยงขาไปที่หัวของหลี่หูอย่างรวดเร็ววินาทีที่เท้าของอันเจิงััโดนใบหน้าของหลี่หู หัวของหลี่หูก็ะเิขึ้นทันทีมันแหลกละเอียด กระดูกสีขาวกระจัดกระจาย เืและเศษสมองกระเด็นไปทั่วร่างที่ไร้หัวโอนเอนไปมาเล็กน้อยก่อนจะล้มลงเบื้องหน้า โดยมีเืพุ่งกระฉูดออกมาจากคอไม่หยุด
อันเจิงหันกลับไปแล้วกระดิ่งแก้วก็บินเข้ามาอยู่ในมือของเขาทันที
เขามองไปยังเจินจวงปี้พลางกล่าวขึ้น “วันนี้ข้าเพิ่งฆ่าศิษย์ของหอสมุดมายาไปแค่คนเดียวเท่านั้น หากข้ารู้ว่าพวกมันแอบเข้าไปในนิกายเบิก์อีกละก็ข้าจะฆ่าให้หมดทุกคน เจอใครก็จะฆ่าจนกว่าคนในหอสมุดมายาจะหมดสิ้น หรือไม่ก็จนกว่าข้าจะตาย”
เจินจวงปี้โกรธจนตัวสั่น เขาคิดอยากลงมืออยู่หลายครั้งแต่เพราะกลัวกระดิ่งแก้วของอันเจิงจึงไม่กล้าลงมือเสียที เมื่อครู่มีศิษย์จากหอสมุดมายาเดินเข้ามามุงดูไม่น้อย พวกเขาเห็นอันเจิงเตะหัวหลี่หูจนเละไปต่อหน้าต่อตาต่างก็ใจนกรีดร้องออกมาเสียงดัง คนจำนวนมากใจนถอยหลังกลับไปและยืนขาสั่นกันหมด
ไม่มีใครสังเกตเห็นและคงไม่มีใครมองเห็นด้วยว่าบนท้องนภาสูงลิบมีรถม้าที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายเก่าแก่คันหนึ่งลอยอยู่ รถม้าคันนั้นไม่ได้มีรูปลักษณ์เหมือนรถม้าที่กองทัพในปัจจุบันใช้กันแต่ดูเหมือนจะเป็ของในสมัยาแคว้นต่างหาก รถม้าคันนั้นเต็มไปด้วยร่องรอยมากมายมีทั้งรอยดาบ รอยกระบี่ และร่องรอยที่เกิดจากคมอาวุธต่าง ๆ บนรถม้ามีชายหนุ่มชุดดำคนหนึ่งยืนอยู่เขาก้มหน้าลงมองดูอันเจิงสังหารผู้คน ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ “อันเจิงเอ๋ยอันเจิงนี่ต่างหากเล่า วิธีสร้างอำนาจในโลกมายาที่ถูกต้อง”
“ข้าคงไม่ต้องกังวลว่ารังสีสังหารในกระดิ่งแก้วจะลดลงเพราะความใจอ่อนของเ้าอีกแล้ว”เขาโบกมือส่งๆ ก่อนรถม้าจะพุ่งออกไปข้างหน้า ไกลออกไปเรื่อย ๆจนหายเข้าไปในม่านเมฆอย่างรวดเร็ว
อันเจิงเริ่มการสังหารครั้งใหญ่ขึ้นที่หน้าหอสมุดมายา ในครั้งนี้มีผู้ถูกสังหารอย่างน้อยสามสิบคนเลยทีเดียว เือาบไปทั่วพื้นแลดูน่าสยดสยองเหลือเกิน
เจินจวงปี้มองตามแผ่นหลังของอันเจิงพลางกัดฟันกรอดด้วยความโมโห
ตู้โซ่วโซ่วเองก็ใจนทำอะไรไม่ถูกแล้วนี่เป็ครั้งแรกที่เขาได้เห็นอันเจิงที่อำมหิตเช่นนี้ เมื่อครั้งที่อันเจิงล้มกลุ่มอันธพาลกว่าสิบคนด้วยตัวคนเดียวที่ย่านหนานชานในตอนนั้น ตู้โซ่วโซ่วคิดว่านั่นเป็ด้านที่อำมหิตและแข็งแกร่งที่สุดของอันเจิงแล้วแต่มาตอนนี้ อันเจิงที่อยู่ตรงหน้ากลับทำให้เขารู้สึกราวเปลี่ยนไปเป็คนละคนรังสีสังหารบนร่างของเขาทำให้ตู้โซ่วโซ่วรู้สึกหนาวสั่น ราวตกเข้าไปในบึงน้ำแข็งเช่นนั้น
แปะ! เสียงหนึ่งดังขึ้นเบา ๆ
อันเจิงแตะไปที่ไหล่ของตู้โซ่วโซ่ว “ใรึ?เพราะแบบนี้ข้าก็เลยบอกให้เ้าไปหาผู้เฒ่าฮั่วอย่างไรเล่าแต่เ้าก็ดันตามมาเสียได้”
ตู้โซ่วโซ่วมองไปยังอันเจิงพร้อมกับร่างที่สั่นเทาเขากลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากก่อนจะกล่าวขึ้น “อันเจิง เ้าไม่เป็อะไรใช่หรือไม่?”
อันเจิงส่งยิ้มไปให้ “ข้าไม่เป็ไรแค่รู้สึกเข้าใจแล้วก็เท่านั้น...หากไม่ทำให้พวกคนที่จับตามองนิกายเบิก์รู้สึกหวาดกลัวเสียบ้างพวกมันก็จะคอยรังควานพวกเราเหมือนฝูงแมลงวันแบบนี้ไม่เลิก”
ณ หอสมุดมายาที่ชั้นสามของอาคารแห่งหนึ่ง เชียวจ่างเฉินมองดูอันเจิงเดินกลับเข้าไปในนิกายเบิก์พลางขมวดคิ้วมุ่น
“ด้วยนิสัยเช่นนี้คงดีหากเขายอมไปอยู่ค่ายทหารกับข้า หากฝึกเขาอีกสักหน่อยคนผู้นี้ต้องกลายเป็นักรบที่แข็งแกร่งมากแน่ ๆ บัดนี้ต้าเยี่ยนมีอำนาจอ่อนลงแคว้นต่าง ๆ ก็จ้องจะเล่นงานอยู่ทุกเมื่อ กำลังขาดคนมีความสามารถเช่นนี้อยู่พอดี...”
เขาพูดพึมพำขึ้นจากนั้นก็หมุนตัวกลับเข้าไปในห้อง
เจินจวงปี้ยืนอยู่นานเขาอยากจะด่าแต่ก็ไม่กล้าด่า รู้สึกว่าชื่อเสียงและความน่าเกรงขามในโลกมายาที่เขาใช้เวลาสั่งสมมานานหลายปีได้ถูกอันเจิงทำลายลงแล้วด้วยเวลาเพียงเสี้ยววินาที ถูกทำลายจนไม่เหลือชิ้นดีเลยทีเดียวนี่เป็ครั้งแรกที่เขาอยากฆ่าใครคนหนึ่งมากขนาดนี้
‘ข้าไม่มีทางปล่อยเ้าไปแน่!’
เจินจวงปี้ะโในใจ จากนั้นก็หมุนตัวแล้วก้าวยาวๆ กลับไปที่หอสมุดมายา “มองอะไร ช่างน่าอับอายยิ่งนัก! เ้าพวกไร้ประโยชน์! ศิษย์พี่ของพวกเ้าถูกคนอื่นตีจนตายต่อหน้าต่อตาแท้ๆ แต่กลับไม่มีใครกล้าลงมือแก้แค้นให้สักคน”
ศิษย์คนหนึ่งพูดขึ้นอย่างแ่เบา “ก่อนศิษย์พี่จะบุกเข้าไปในนิกายเบิก์ข้าเคยเตือนเขาแล้ว แต่เขาก็ไม่ฟัง...”
เจินจวงปี้ถีบไปที่ร่างของศิษย์คนนั้นทันที“หุบปาก!”
ศิษย์คนนั้นถูกถีบจนล้มกลิ้งไปหลายตลบก่อนจะกระอักเืออกมา
อันเจิงกลับเข้าไปในนิกายเบิก์แล้วบัดนี้ผู้เฒ่าฮั่วกับคนอื่น ๆ ยังไม่ได้ออกมาจากตราประทับท้าทาย์เลยอันเจิงรู้ดีว่าหลังสังหารคนมากมายไปเช่นนี้ ต้องมีคนมามุงดูเหตุการณ์อย่างแน่นอนใน่เร็ว ๆ นี้ คงไม่มีใครกล้าเข้ามาใกล้นิกายเบิก์แล้วละ เขากับตู้โซ่วโซ่วพากันไปนั่งในนิกายเบิก์กระทั่งตอนนี้ มือของตู้โซ่วโซ่วก็ยังสั่นไม่หยุด
“หากรู้สึกคลื่นไส้ ก็อาเจียนออกมาเถอะอย่าทนเลย” อันเจิงพูดขึ้นเบา ๆ
ตู้โซ่วโซ่วส่ายหน้า “ข้าเพียงแค่...แค่รู้สึกกลัวเท่านั้น”
อันเจิงยื่นเหล้าไปให้เขาไหหนึ่ง ตู้โซ่วโซ่วจึงเงยหน้าแล้วกระดกมันลงคอไปจากนั้นก็ไอออกมาอย่างหนัก อันเจิงตบหลังเขาเบา ๆ พลางพูดขึ้น “โซ่วโซ่วโลกใบนี้โหดร้ายมากกว่าที่เ้าคิดเอาไว้มาก ดังนั้น นี่เป็ครั้งแรกแต่จะไม่ใช่ครั้งเดียวที่เ้าต้องเจอเหตุการณ์เช่นนี้ เ้าต้องแข็งแกร่งขึ้นไม่ใช่แค่ร่างกายและพลังเท่านั้น แต่ต้องมีความเข้มแข็งด้านจิตใจด้วย”
ตู้โซ่วโซ่วพยักหน้า “ข้ารู้แล้วข้าเพิ่งเคยเจอเื่แบบนี้ครั้งแรก เลยยังทำใจไม่ทันน่ะ อันเจิง...เ้าทำใจกับมันอย่างไรหรือ?”
อันเจิงตอบด้วยถ้อยคำที่มีความหมายแอบแฝง“เจอมาเยอะ ก็เลยชิน”
เื่อันเจิงสังหารหมู่ที่หน้านิกายเบิก์ถูกกระจายไปทั่วก่อนฟ้าจะมืดเสียอีกเกาซานตัวพาคนเดินทางมาที่นิกายเบิก์และติดป้ายเอาไว้ที่หน้าประตูนิกาย...‘ใครที่ลบหลู่นิกายเบิก์ก็จะเป็ศัตรูของข้าเกาซานตัวด้วย’
ข้อความในป้ายช่างเปิดเผยและตรงไปตรงมาเหลือเกิน แต่ก็เป็เพราะเช่นนี้ผู้คนจึงจดจำได้อย่างขึ้นใจว่า เกาซานตัวรู้สึกอย่างไรต่อนิกายเบิก์
ท้องฟ้าค่อย ๆ มืดลงเรื่อย ๆเมื่อทุกคนออกมาจากตราประทับท้าทาย์ เสี่ยวชีเต้ากับคนอื่น ๆ ถึงรู้เื่ทั้งหมดที่เกิดขึ้นหลังฟังตู้โซ่วโซ่วเล่า ชวีหลิวซีก็แอบมองอันเจิงไม่หยุด สายตาของนางเต็มไปด้วยความสลับซับซ้อนมีทั้งความตื่นเต้น เป็ห่วง และปวดใจ ผู้เฒ่าฮั่วเปิดประตูออกก่อนเกาซานตัวจะก้าวยาวๆ เข้ามา เมื่อเห็นว่าทุกคนปลอดภัยดีเขาจึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก “ครั้งหน้าหากมีเื่เช่นนี้เกิดขึ้นอีกให้รีบส่งคนไปบอกข้า พวกเ้ายังเด็กนักเื่ฆ่าคนน่ะปล่อยให้เป็หน้าที่ของข้าเถอะ”
เขาเงยหน้าขึ้นทำให้สายตาไปปะทะเข้ากับธงที่ปักอยู่หน้าห้องของเสี่ยวชีเต้า
“อ้าว กำลังจะเปิดกิจการใหม่รึ?”
เสี่ยวชีเต้าพูดด้วยเสียงหวาน “เ้าบ๊องนี่เป็เพียงธงเท่านั้น กิจการใหม่อะไรกัน”
เกาซานตัวอุ้มเสี่ยวชีเต้าขึ้นมา “กล้าพูดแบบนี้กับข้ารึรู้หรือไม่ว่าข้าเป็ชายอกสามศอกที่แข็งแกร่งและมีชื่อเสียงที่สุดในโลกมายาแห่งนี้เชียวนะ!”
เสี่ยวชีเต้าสนิทสนมกับเกาซานตัวมากเขายื่นหน้าเข้าไปใกล้อีกฝ่าย “ข้าไม่กลัวเ้าหรอก!”
เกาซานตัวหัวเราะออกมาจากนั้นจึงมองไปที่ผู้เฒ่าฮั่วอีกครั้ง ทำให้พบว่าแววตาของผู้เฒ่าฮั่วมีความกังวลแฝงอยู่มากเหลือเกิน
“ท่านผู้าุโ ท่านกำลังเป็ห่วงอันเจิงอยู่หรือ?” เกาซานตัวถามขึ้น
ผู้เฒ่าฮั่วส่ายหน้า “ไม่ใช่ ข้าไม่ได้เป็ห่วงเขาในตอนนี้หรอกเ้าเด็กนั่น...จิตสังหารทำให้คนเปลี่ยนเป็มาร จิตสังหารบดบังจิตเมตตาในใจมนุษย์...ข้าเป็ห่วงเขาในอนาคตต่างหาก”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้