ภายในเรือนของสวี่เหล่าไท่จวิน ขันทีเฒ่าผู้หนึ่งนั่งอยู่ด้านข้าง นางกำนัลสองคนในมือถือแพรพรรณและกล่องของขวัญยืนอยู่ด้านหลัง
เมื่อม่านถูกเลิกขึ้น เห็นดรุณีน้อยสองคนเดินเข้ามา คนโตอายุราวสิบสี่สิบห้าปี สวมเสื้อสีชมพูปักลายเมฆากระโปรงยาวลายนกยูง ชุดคลุมตัวนอกเป็แพรโปร่งสีขาว ทำให้มองเห็นลวดลายของเสื้อตัวในอยู่รางๆ ใช้ดิ้นเงินปักลายเมฆารอบชายกระโปรงและแขนเสื้อ รูปหน้างดงาม รูปร่างสูงเพรียวบอบบาง สมควรรับคำชมว่างาม
คนน้องสวมอาภรณ์เรียบง่าย เป็ชุดกระโปรงสีขาวทั้งตัว ปักลายเมฆา ชายกระโปรงมีลวดลายบุปผากระจุ๋มกระจิ๋ม เรือนผมมุ่นมวยปักด้วยปิ่นหยกขาวแกะสลักเพียงชิ้นเดียว พิศมองไปให้ความรู้สึกว่าเป็สตรีบอบบาง น่ารักน่าเอ็นดู รูปร่างไม่สูง ยามเข้ามาก้มหน้างุดจึงไม่เห็นรูปโฉม รู้สึกเพียงว่ารูปร่างยังไม่เติบโต อายุสิบสองสิบสามปีโดยประมาณ
“หลานสาวทั้งสองคนของเหล่าไท่จวินเป็โฉมงามที่หาได้ยากแท้ๆ มิน่าเล่าฮองเฮาเห็นแล้วจึงชมเปราะว่าเหล่าไท่จวินมีวาสนายิ่ง ไม่เพียงแต่มีหลานในที่งดงามราวกับบุปผา ยังมีหลานนอกที่สะสวยถึงเพียงนี้ ข้าว่า... หลานสาวทั้งสองของเหล่าไท่จวินช่างพิเศษนัก”
ขันทีเฒ่าเป็คนช่างพูดเอาใจคนเก่ง เมื่อเห็นพวกนางก็หัวเราะร่ากล่าวป้อยอจนสวี่เหล่าไท่จวินยิ้มไม่หุบ
โม่เสวี่ยถงตามอยู่ด้านหลังลั่วิจู หลังจากคารวะเรียบร้อยแล้วก็ยืนอยู่ข้างสวี่เหล่าไท่จวินไม่พูดจา คอยลอบสังเกตขันทีเฒ่า ปรกติที่ชายแขนเสื้อของขันทีน้อยนักที่จะปักแถบแนวขวางสีเทา ขันทีที่มีอำนาจขึ้นมาหน่อยจะเป็แถบแนวขวางสีเงินสองเส้น แต่หากเป็ขันทีาุโประจำพระองค์ของเ้านายในวังจะเป็แถบแนวขวางสีทองสามเส้น
ขันทีผู้นี้ชายแขนเสื้อปักแถบแนวขวางสีทองสามเส้น และมาจากตำหนักของฮองเฮา ที่จริงไม่ว่าจะเป็ขันทีาุโจากตำหนักฮองเฮา หรือจากตำหนักอื่นๆ ก็ไม่จำเป็ต้องมาเลียแข้งเลียขาภรรยาขุนนาง แม้จะเป็หลานของฮูหยินตราตั้งขั้นหนึ่ง แม้นอยู่เบื้องหน้าพระพักตร์ก็ไม่น่าจะดึงความสนพระทัยได้ ฮองเฮาทรงประสงค์สิ่งใดกันแน่
“ขอบคุณหลิวกงกงที่ชื่นชม” สวี่มามากล่าวพลางหัวเราะอย่างพึงพอใจ ชี้นิ้วมาที่ลั่วิจูกับโม่เสวี่ยถงแนะนำให้รู้จักทีละคน “นี่คือหลานในของข้า ส่วนนั่นคือหลานนอกของข้า”
เมื่อเห็นจากที่เหล่าไท่จวินชี้แนะนำ สายตาของหลิวกงกงก็เลื่อนมาอยู่ที่สาวน้อยร่างเล็กที่ดูอ่อนแอน่าสงสารอย่างนิ่งอึ้ง แม้จะดูบอบบางจนคนเห็นคันหัวใจยุบยิบ เกิดความรู้สึกเมตตาสงสาร แต่เห็นจากท่าทางการยืนที่ดูโง่งมของโม่เสวี่ยถงแล้ว แววตาก็วูบไหวด้วยความแคลงใจ มองั้แ่ศีรษะจรดปลายเท้า และไล่จากปลายเท้าขึ้นมาบนศีรษะ พิจารณาทุกส่วนอย่างละเอียด
หลานในของเหล่าไท่จวินที่ยืนอยู่ด้านข้างกลับดูฉลาดปราดเปรียว หน้าตาสะสวย ยิ้มแย้มแจ่มใส แม้ว่าสายตาจะชำเลืองมองตนเองเป็พักๆ แต่ท่ายืนก็นับว่าผึ่งผายใช้ได้ สตรีแบบนี้จึงจะเรียกว่าดีงาม
แต่อีกคนที่ถึงตอนนี้แล้วก็ยังก้มหน้าอยู่ ยืนทึ่มๆ บิดไม้บิดมืออยู่ข้างกายเหล่าไท่จวิน ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้น แม้ว่ารูปลักษณ์จะดูเปราะบางน่าสงสาร แต่ทื่อเป็ท่อนไม้ถึงเพียงนี้ ทั้งยังดูขี้ขลาดตาขาวไม่สู้คน ไม่มีราศีของหญิงสาวตระกูลใหญ่แม้แต่น้อย แล้วจะเป็... ได้อย่างไร
หรือว่าจะมีการเข้าใจผิดบางอย่าง?
ยามนั้นในใจเขาคิดแผนการใหม่ไว้แล้ว จึงไม่ถ่วงเวลาให้ยืดเยื้อออกไปอีก
“เมื่อคุณหนูทั้งสองมากันแล้ว ก็เชิญมารับของขวัญพระราชทานจากฮองเฮาเถิด บ่าวยังต้องไปบ้านคุณหนูสกุลอื่นอีกหลายที่” หลิวกงกงหัวเราะร่วนพลางส่งสัญญาณกับนางกำนัลที่อยู่ด้านหลังให้ส่งเครื่องประดับศีรษะที่ฝังด้วยอัญมณีสีแดงสองชุด ผ้าไหมสองพับ ปิ่นทองปู้เหยาแกะสลักลายขนนกยูง ฝังด้วยไข่มุกและอัญมณีดูงดงามจับตา เห็นได้ชัดว่ามูลค่าไม่อาจประมาณได้ ของขวัญแบบนี้หากพระราชทานให้พระสนมซึ่งเป็ที่โปรดปรานในวังหลวงจึงจะนับว่าควรค่า แต่สำหรับดรุณีน้อยวัยยังไม่ปักปิ่นสองคนดูจะสูงส่งเกินเอื้อม
ดวงตาที่ทอประกายยิ้มมาโดยตลอดของสวี่เหล่าไท่จวินพลันฉายแววตะลึงพรึงเพริด รีบให้หลานสาวทั้งสองกล่าวขอบคุณในพระมหากรุณาธิคุณด้วยความเกรงใจยิ่ง ราชวงศ์ส่งของขวัญมาให้ ไม่เพียงแต่สูงค่า แต่ยังช่วยเชิดหน้าชูตาอีกด้วย
โม่เสวี่ยถงตามอยู่ด้านหลังลั่วิจูอย่างระมัดระวัง แล้วคุกเข่าก้มศีรษะคารวะอย่างเต็มระเบียบพิธีการ กล่าวขอบคุณในพระมหากรุณาธิคุณที่พระราชทานของรางวัลให้ นางก้มศีรษะอยู่ตลอดเวลา ดูหวาดหวั่นพรั่นพรึงคล้ายหญิงสาวตระกูลต่ำต้อยที่ไม่เคยออกมาพบเห็นโลกภายนอก หลิวกงกงที่จับสังเกตนางอยู่ตลอดเวลาถึงกับส่ายหน้า เกรงว่าพระมเหสีคงจะเข้าพระทัยอะไรผิดไปกระมัง สตรีเช่นนี้ยังเทียบไม่ได้แม้แต่นางกำนัลเล็กๆ ในวังด้วยซ้ำ จะดึงดูดความสนใจจากเซวียนอ๋องได้อย่างไร อย่างมากองค์ชายผู้เย่อหยิ่งพระองค์นั้นก็แค่กำลังอารมณ์ดี จึงยื่นมือเข้าไปเ้ากี้เ้าการธุระของผู้อื่นเท่านั้นเอง
ไหนเลยจะให้ความสำคัญเป็พิเศษ!
หลิวกงกงถึงขั้นคาดเดาไปว่าคุณหนูสกุลโม่ผู้อ่อนแอนางนี้ไปทำสิ่งใดขวางหูขวางตาเซวียนอ๋องเข้าหรือไม่ จึงจงใจหาเื่สร้างความลำบากให้นาง มาคิดๆ ดู ด้วยพระนิสัยขององค์ชายผู้นั้นก็เป็คนอารมณ์แปรปรวน พฤติกรรมเย่อหยิ่งจองหอง ไม่เคยคิดเป็ห่วงผู้ใด สตรีที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ดูโง่งมเหลือทน แม้กระทั่งยามนี้ยังไม่กล้าเงยหน้าขึ้น เกรงว่ารูปโฉมคงจะไม่งดงามพอจึงขาดความมั่นใจ ไม่แน่ว่าสำหรับเซวียนอ๋องที่มีรูปงามล้ำเลิศอาจเห็นแล้วขัดพระเนตรมากกว่า
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ในใจก็ยิ่งเชื่อว่ามีโอกาสเป็ไปได้ หลังจากมองโม่เสวี่ยถงที่คุกเข่าก้มหน้างุดอีกรอบก็มิได้รู้สึกสนใจอะไรอีก กล่าวอำลาเหล่าไท่จวิน แล้วพาคนกลับวังทันทีโดยมิได้แวะไปบ้านสกุลอื่น
ฮองเฮาทรงกังวลสิ่งใด ไฉนเขาจะไม่รู้ รีบกลับไปรายงานสถานการณ์ก่อนจะดีกว่า
ในจวนฝู่กั๋วกง เหล่าไท่จวินให้คนของโม่เสวี่ยถงกับลั่วิจูมานำของขวัญไปเก็บ แต่ยังไม่ให้พวกนางไปไหน ทางหนึ่งก็ส่งคนไปสืบหาเบื้องลึก อีกทางหนึ่งก็สอบถามเกี่ยวกับสถานการณ์ในงานเลี้ยงอย่างละเอียด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับทั้งสองคน
แต่ก็ถามไม่ได้ความอะไรมาก รู้แต่ว่าเซวียนอ๋องช่วยโม่เสวี่ยถงเอาไว้ ด้วยการจับตัวผู้ที่ปรักปรำว่านางเร่งรถชนคน โม่เสวี่ยถงย่อมไม่กล้าบอกว่านางเคยรู้จักกับเซวียนอ๋องมาก่อน บอกไปเพียงว่าพบกันเป็ครั้งแรก นางก็รู้สึกประหลาดใจว่าเพราะเหตุใดเขาถึงช่วยตนเอง
“ท่านย่า ท่านย่า เพราะเหตุใดฮองเฮาจึงทรงพระราชทานของล้ำค่าให้พวกเราเช่นนี้ล่ะเ้าคะ” ลั่วิจูเกิดมาในสกุลสูงย่อมรู้ว่าปิ่นปู้เหยาชิ้นนั้นไม่ใช่ของที่หาได้ทั่วไป นางรู้สึกว่าในคืนนั้นตนเองก็ไม่ได้โดดเด่น แม้ว่าจะดีดพิณเป็คนสุดท้าย แต่ก็ถูกโม่เสวี่ยิ่บดบังรัศมีไปหมดแล้ว แต่เหตุไฉนฮองเฮาจึงให้คนนำของรางวัลมาประทานให้เป็พิเศษ ส่วนของรางวัลที่ควรเป็ของโม่เสวี่ยิ่กลับมาพระราชทานให้น้องหญิงของนาง แม้ว่าลั่วิจูจะเป็คนไม่ละเอียดรอบคอบ แต่ยามนี้ก็ยังรู้สึกถึงความผิดปรกติ
“ถงเอ๋อร์ นอกจากท่านอ๋องสองพระองค์แล้ว เ้ายังพบบุคคลพิเศษคนอื่นๆ อีกหรือไม่” เหล่าไท่จวินคิดมาถึงจุดนี้ก็เอ่ยถามพลางมุ่นคิ้วขมวด
ยังมีคนพิเศษหรือเื่พิเศษอื่นๆ อีกหรือ จะใช่เื่ฮองเฮากับพระขนิษฐาหรือเปล่านะ? โม่เสวี่ยถงกัดริมฝีปากกล่าวอย่างลำบากใจ “งานเลี้ยงวันนั้นฮองเฮาทรงเรียกให้หลานไปเข้าเฝ้า แต่บังเอิญพบกับพระขนิษฐาโดยบังเอิญ ทรงรั้งหลานไว้พูดคุย ท่านยาย องค์หญิงทรงสนิทสนมกับท่านแม่มาั้แ่เล็กหรือเ้าคะ”
“พระขนิษฐาทรงพบเ้าแล้วหรือ” แม้ใบหน้าของเหล่าไท่จวินจะยิ้มแย้ม แต่มือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อกลับแข็งเกร็งโดยไม่รู้ตัว
“เ้าค่ะ องค์หญิงยังทรงถามถึงท่านแม่ว่าใช้ชีวิตอย่างไรที่เมืองอวิ๋นเฉิงด้วยเ้าค่ะ” โม่เสวี่ยถงรู้สึกได้ว่าภายใต้แววตาของเหล่าไท่จวินมีความว้าวุ่นและตื่นตะลึง แต่ยังคงยิ้มกล่าวอย่างใสซื่อ
“แล้วเ้าเล่าไปว่าอย่างไร” เหล่าไท่จวินถามจี้อย่างร้อนใจ
“ก็ไม่มีอันใดเ้าค่ะ ข้าแค่บอกว่าท่านแม่อยู่ดีมีสุขที่เมืองอวิ๋นเฉิง เพียงแต่สุขภาพไม่ค่อยดี ต่อมาจึง...” สีหน้าของโม่เสวี่ยถงอาบไปด้วยความหม่นเศร้า ขบริมฝีปาก ชั่วขณะนั้นดวงตาใสกระจ่างคลุมด้วยม่านหมอก
“ไม่เป็ไรนะ เด็กดี ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้ว หากท่านแม่ของเ้ายังอยู่ คงไม่ปรารถนาเห็นเ้าเศร้าเสียใจเยี่ยงนี้ อย่าคิดมากเลยนะ” เหล่าไท่จวินเอื้อมมือเข้ามาโอบกอดโม่เสวี่ยถง มืออุ่นลูบไล้บนใบหน้าของนางอย่างอ่อนโยน กล่าวปลอบประโลม “พระขนิษฐาทรงครองตัวเป็ม่าย ต่อไปไม่พบเจอกันเป็ดีที่สุด หากบังเอิญไปเจอกันที่อื่น ก็ควรเลี่ยงอยู่ห่างๆ ไว้”
นี่คือการบอกเป็นัยให้นางรักษาระยะห่างกับองค์หญิงหรือ?
ใบหน้าเล็กขาวซีดเงยขึ้น หยิบผ้าแพรมาซับน้ำตา ก่อนเอ่ยถามด้วยความไม่เข้าใจ “ทำไมล่ะเ้าคะท่านยาย องค์หญิงก็ทรงเป็ผู้มีจิตใจดีงามคนหนึ่งนี่นา”
“สมาชิกของราชวงศ์ เื่ของราชวงศ์ เป็เื่ห่างไกลเกินไปสำหรับพวกเรา ถงเอ๋อร์ ยายกลัวว่าเ้าจะไม่ระวังหลวมตัวตกหลุมพราง ตอนนี้ฮองเฮาทรงจับตามองเ้าแล้ว หากองค์หญิงก็ทรงสนพระทัยเ้าอีกคน เกรงว่านี่คงไม่ใช่วาสนาแล้ว” สวี่เหล่าไท่จวินถอนหายลึกยาว นิ้วมือไล้ไปบนเรือนผมยาวสลวยของโม่เสวี่ยถง แต่ดวงตากลับมิได้จับอยู่ที่ตัวนาง ริมฝีปากเผยความขมขื่นที่ยากจะปิดบังมิด
สวี่เหล่าไท่จวินเรียกได้ว่าเป็สตรีใจเด็ดผู้หนึ่งที่ใครๆ ต้องยกนิ้วให้ การแสดงออกเช่นนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ทำให้คนนึกแคลงใจ แต่สตรีาุโผู้นี้ก็ไม่พูดถึงหัวข้อนี้ต่อ บอกหลานสาวเพียงว่านี่ไม่ใช่เื่ที่สตรีเช่นพวกนางควรสนใจ อีกประเดี๋ยวคนที่ไปสืบข่าวก็จะกลับมารายงานให้ฟัง หลังจากนั้นก็บอกให้พวกนางกลับไปเรือนของตน
โม่เสวี่ยถงกลับไปถึงเรือน นอนลงบนเตียง พลิกไปพลิกมาอย่างไรก็นอนไม่หลับ รู้สึกว่าคำพูดของท่านยายวันนี้ช่างประหลาดนัก ฟังดูไม่เหมือนจะเป็คำพูดของท่านยายได้เลย
นอนกลิ้งอยู่ครู่ใหญ่ก็ผุดลุกขึ้นนั่ง พาโม่เยี่ยและโม่หลันออกไปเดินเล่นภายในจวน สีหน้าดูมีความกังวลใจ รู้สึกเหมือนว่าตนเองลืมเลือนบางอย่างไป วันนี้ท่านยายดูตึงเครียดผิดสังเกต ทั้งยังให้นางอยู่ห่างๆ จากพระขนิษฐา พระองค์ทรงเป็ม่ายก็มิใช่ความผิดเสียหน่อย มารดาของนางก็จากไปนานแล้ว ก็ไม่อาจนับว่ามีวาสนาต่อกันอีก แล้วมีเหตุผลใดต้องหลบเลี่ยง พระขนิษฐาก็เป็องค์หญิงพระองค์หนึ่ง ไม่มีทั้งโอรสธิดา แล้วจะดึงตนเองเข้าไปเกี่ยวข้องกับราชวงศ์ได้อย่างไร
ท่านยายกังวลสิ่งใดกันแน่ เพราะเหตุใดจึงไม่ให้นางใกล้ชิดกับพระขนิษฐา คิดหาเหตุผลนับร้อยก็ไม่อาจเข้าใจได้
เนื่องจากมีเื่กังวลในใจ จึงเดินตามทางเดินรอบจวนไปเรื่อยๆ ตลอดเส้นทางเห็นคนไม่มาก สาวใช้สองสามคนเดินผ่านไปอย่างรีบร้อน เมื่อพบนางก็หยุดคารวะแล้วถอยออกไป บ่าวในจวนได้รับแจ้งนานแล้วว่าคุณหนูซึ่งเป็หลานนอกของเหล่าไท่จวินจะมาที่จวน เมื่อเห็นสง่าราศีของนาง ย่อมรู้ได้ว่านี่คือหลานสาวสุดที่รักผู้นั้นของนายหญิงผู้เฒ่า ไหนเลยจะกล้าเมินเฉย
โม่เสวี่ยถงเติบโตที่เมืองอวิ๋นเฉิง แต่ตอนที่นางยังเล็กมารดาเคยพานางกลับมาเมืองหลวงสองครั้ง และรั้งอยู่เพียง่เวลาสั้นๆ ดังนั้นจึงไม่คุ้นเคยกับภายในจวนฝู่กั๋วกง เวลานี้มีเื่มากมายอัดแน่นอยู่เต็มอก ถนนสายนี้ยิ่งเดินก็ยิ่งวังเวงขึ้นเรื่อยๆ
“คุณหนู นั่นคือที่ไหนหรือเ้าคะ ดูคล้ายกับเรือนของฮูหยินเลย แม้แต่ต้นเซียงจาง[1] ก็ยังอยู่ที่หน้าประตูเหมือนกันอีกด้วย” โม่หลันหยุดยืนมอง ชี้ไปที่กำแพงสูงอีกด้านหนึ่ง แล้วเอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจ
กำแพงสูงแห่งหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ด้านหน้า ประตูเรือนบานใหญ่ถูกปิดไว้แ่า ด้านหลังประตูมีต้นเซียงจางโผล่ออกมาให้เห็น เหมือนกับเรือนเก่าที่เมืองอวิ๋นเฉิงทุกอย่าง หรือนี่คือที่พักของมารดา?
จำได้รางๆ ว่าตอนเล็กๆ ยามที่มาจวนฝู่กั๋วกงก็เคยมาที่นี่ แต่ไม่รู้ว่ากลายเป็เรือนร้างเช่นนี้ั้แ่เมื่อไร
ประตูที่ปิดสนิทจับเป็คราบเหลือง แม้ว่าภายนอกจะมีการทำความสะอาด แต่ภายในกลับมีแต่กอวัชพืชขึ้นรกเรื้อเต็มไปหมด แค่มองก็รู้แล้วว่าไม่มีผู้ใดเข้ามาทำความสะอาดนานแล้ว ชั้นดินและเศษใบไม้ทับถมกันเป็กองใหญ่ที่มุมกำแพง เถาวัลย์ยาวเฟื้อยสองสามเถาพาดผ่านจากด้านในออกมาด้านนอก ยิ่งทำให้เรือนแห่งนี้รกร้าง เงียบเหงาวังเวง รอบด้านไม่มีเสียงคนอยู่เลย
หัวใจของนางคะนองลั่นอย่างบ้าคลั่งและเต็มไปด้วยความสับสน นิ้วมือสั่นระริกทาบไล้ไปบนเถาไม้เลื้อยสีเขียวบนกำแพง
นางคิดออกแล้ว ที่นี่คือที่อยู่ของมารดา หรือกล่าวได้ว่าเมื่อสิบปีก่อนมารดาเคยพักอาศัยอยู่ที่นี่มาโดยตลอด ต่อมาจึงย้ายไปอยู่ที่อื่น เมื่อย้อนความทรงจำไปในอดีต มารดาเคยพูดอะไรบางอย่างกับนาง... แต่ตอนนั้นนางยังเล็กมาก หรือกล่าวได้ว่ายังไม่รู้เื่จึงมิได้ใส่ใจ ยามนี้ไม่เพียงแต่นึกไม่ออก แม้แต่เรือนเดิมหลังนี้ก็ลืมไปแล้ว
จะต้องมีอะไรแน่นอน ทั้งท่าทีของพระขนิษฐา ท่าทีของท่านยาย สาเหตุการเสียชีวิตที่ไม่อาจอธิบายได้ของมารดา ล้วนบ่งชี้ว่ามีความลับบางอย่างเกี่ยวกับมารดาที่ตนเองไม่รู้...
“โม่เยี่ย ไปเปิดประตู” เสียงดังวิ้งๆ เย็นะเืดังก้องอยู่ในหัวของนาง
..........................................................................................................
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] ต้นเซียงจาง คือต้นการบูร เป็ไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ มีกลิ่นหอม
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้