ยายหลิวถือเต้าหู้ไปที่ห้องครัว ขณะใคร่ครวญว่าจะทำอะไรดี จางอวิ๋นบุตรสาวคนโตและจางเช่อบุตรชายคนเล็กของจางซิ่วไฉก็กลับมาจากการออกไปเล่นข้างนอกพอดี
จางซิ่วไฉและหม่าซื่อมีบุตรด้วยกันทั้งสิ้นสามคน บุตรสาวคนโตคือ จางอวิ๋น ปีนี้อายุสิบสองแล้ว มีรูปโฉมงดงามอ่อนช้อย นิสัยค่อนข้างรื่นเริงดูมีชีวิตชีวา บุตรชายคนที่สองคือ จางฉี ปีนี้อายุเจ็ดขวบ เข้าเรียนที่สำนักศึกษาแล้ว ส่วนบุตรชายคนเล็กก็คือ จางเช่อ ปีนี้อายุสี่ขวบ เป็่วัยที่กำลังน่ารักไร้เดียงสา เรียนรู้ตัวอักษรได้วันละหลายตัวแล้ว
ยายหลิวกล่าวยิ้มๆ ว่า “ท่านลุงของพวกท่านมาหา กำลังคุยกับฮูหยินอยู่เลยเ้าค่ะ”
จางเช่อเขย่งเท้ามองไปยังเต้าหู้ที่วางอยู่บนเขียง กล่าวอย่างยินดีว่า “เต้าหู้! ท่านพี่ ที่แท้พวกเราก็มีเต้าหู้ด้วย”
จางอวิ๋นนึกไปถึงสีหน้าลำพองใจของมารดาของเสี่ยวเจวียน กล่าวยิ้มๆ ว่า “เมื่อครู่พวกเราไปที่บ้านเสี่ยวเจวียนมา บ้านของนางซื้อเต้าหู้ชิ้นใหญ่เท่าฝ่ามือมาด้วยชิ้นหนึ่ง กล่าวว่าเป็เต้าหู้ตระกูลหลี่ที่มีหนึ่งไม่มีสองในแผ่นดิน ทั้งยังถามด้วยว่า บ้านเราซื้อมาหรือไม่ ข้ายังคิดว่าบ้านพวกเราไม่ได้ซื้อเสียอีก”
สองพี่น้องมายังห้องโถงเพื่อมาทักทายหม่าซง จางเช่อกล่าวอย่างตื่นเต้นว่า “ท่านแม่ บ้านพวกเราก็มีเต้าหู้ด้วย” มือเล็กๆ ทั้งสองทำท่าคล้าย้าบอกขนาดของเต้าหู้
หม่าซื่อเอ็นดูบุตรชายคนเล็กที่สุด นางกล่าวเสียงอ่อนโยนว่า “เพียงเต้าหู้ชิ้นหนึ่งก็ทำให้เ้าชอบมากแล้วหรือ”
“ท่านแม่ นี่คือเต้าหู้ตระกูลหลี่ที่มีหนึ่งไม่มีสองในแผ่นดิน” จางอวิ๋นนั่งลงก่อนกล่าวเสียงแ่ว่า “ตอนที่พวกเราอยู่ที่บ้านเสี่ยวเจวียนก็ได้เห็นเต้าหู้มาแล้ว มีขนาดใหญ่เท่าฝ่ามือ เล็กกว่าชิ้นที่บ้านเรามีมากนักเชียว”
หม่าซื่อมองไปทางหม่าซง แย้มยิ้มเล็กน้อย “บิดาของเสี่ยวเจวียนก็เป็ซิ่วไฉ ทั้งยังเปิดสำนักศึกษาเช่นเดียวกัน แต่ไม่ได้รับนักเรียนมากเท่ากับสามีของน้องสาวท่าน”
“ข้าว่าเต้าหู้นี้คงเป็เต้าหู้ที่นักศึกษาบ้านหลี่ที่สามีเ้าสอนนำมามอบให้กระมัง” หม่าซงเป็พ่อค้า เดินทางไปเหนือจรดใต้ ไปมามากมายหลายแห่ง ทั้งยังพบเห็นเื่ราวต่างๆ มากมาย ย่อมได้เห็นของกินมามากเป็ธรรมดา แต่เขาไม่เคยเห็นเต้าหู้จริงๆ จึงรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง เขาเอ่ยถามถึงราคาตามความเคยชินของพ่อค้า “ในเมื่อมีหนึ่งไม่มีสองในแผ่นดิน ราคาคงไม่ถูกกระมัง”
จางอวิ๋นยิ้มพลางตอบว่า “ท่านลุงเ้าคะ ข้าได้ยินมารดาของเสี่ยวเจวียนบอกว่า เต้าหู้ชั่งละสี่ทองแดง”
หม่าซงพยักหน้า “เช่นนั้นไม่นับว่าแพง” ปกติของหายากมักมีราคาแพง เต้าหู้นี้มีขายแค่ที่ตระกูลหลี่ ราคานี้ย่อมไม่แพงแน่นอน
“ตระกูลหลี่มักทำอาหารแปลกใหม่ออกมาเสมอ ทุกครั้งก็จะนำมาให้สามีข้าตลอด” ในน้ำเสียงของหม่าซื่อเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ แม้สามีจะนิ้วขาดจนไม่อาจเข้าร่วมการสอบเคอจวี่ได้อีก ทว่าเขาสอนหนังสือได้ดี มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย ได้ค่าเล่าเรียนมามาก อีกทั้งชื่อเสียงก็ดีงามด้วย
หม่าซื่อเกิดในตระกูลพ่อค้า เป็คนที่รู้จักยอมรับความเป็จริงและค่อนข้างพึงพอใจกับชีวิตในปัจจุบัน
จางซิ่วไฉตั้งใจกลับบ้านเร็วกว่าปกติ เขาทักทายปราศรัยกับหม่าซงครู่หนึ่ง จากนั้นจึงให้ยกอาหารขึ้นโต๊ะ
ยายหลิวทำข้าวผัดถั่วลิสง ไก่ตุ๋น หมูทอด ไข่เจียวต้นหอม ปลานึ่ง ผัดมะเขือ ผัดเต้าหู้ และน้ำแกงเต้าหู้ทะเล
เต้าหู้นุ่มๆ สีขาวนวลทำให้ผู้พบเห็นแปลกตาแปลกใจไม่กล้ากิน แต่เมื่อลองคีบชิ้นหนึ่งเข้าปาก พลันได้รับรู้ถึงรสััอันอ่อนนุ่มและกลิ่นหอมละมุนที่อบอวลอยู่ในปาก กลิ่นคาวของเต้าหู้จึงถูกกลบจนหมด ไม่รู้สึกถึงความคาวใดๆ
ในแต่ละวันของหม่าซงหากไม่เชิญแขกไปหอสุรา ก็ถูกผู้อื่นเชิญไปหอสุรา ในท้องย่อมมีไขมันอยู่มาก อาหารเต็มโต๊ะนี้เขาชอบกินผัดเต้าหู้และน้ำแกงเต้าหู้ทะเลที่สุดแล้ว
ไม่ใช่เพียงหม่าซงเท่านั้น กระทั่งจางซิ่วไฉและครอบครัวก็ชอบกินอาหารจานเต้าหู้ทั้งสองอย่างนี้เช่นกัน
อาหารเต็มโต๊ะ แต่ผัดเต้าหู้และน้ำแกงเต้าหู้ทะเลถูกกินหมดเร็วที่สุด
จางเช่อมองจานอันว่างเปล่า “ท่านแม่ พรุ่งนี้ข้าอยากกินเต้าหู้อีกขอรับ”
จางอวิ๋นยิ้มและพูดว่า “น้องสามยังเล็ก ฟันยังไม่แข็งแรง กินเต้าหู้เหมาะที่สุดแล้ว”
เมื่อทานอาหารเรียบร้อยแล้ว จางซิ่วไฉที่เป็นักชิมตัวยงจึงกล่าวชมเชยเสียงดังว่า “เต้าหู้ตระกูลหลี่ มีหนึ่งไม่มีสองในแผ่นดิน สมชื่อจริงๆ อร่อยมาก”
หม่าซื่อยิ้ม “ตระกูลหลี่จริงใจต่อท่านจริงๆ เต้าหู้ชั่งละสี่ทองแดงยังนำมาให้ตั้งหลายชั่ง”
“พวกเขามีสี่คน นำมามอบให้คนละชั่ง เท่านี้ก็หลายชั่งแล้วไม่ใช่หรือ” แม้ว่าจางซิ่วไฉจะกล่าวเช่นนี้ แต่ในใจกลับรู้สึกดีต่อเด็กชายตระกูลหลี่มากขึ้น ในอนาคตเมื่อได้สอนพี่น้องทั้งสี่ก็ยิ่งใส่ใจ แต่นี่เป็เื่ในภายหลัง
วันต่อมา หม่าซงให้ยายหลิวไปซื้อเต้าหู้ตระกูลหลี่มาสี่สิบชั่ง มอบให้บ้านจางซิ่วไฉเอาไว้กินห้าชั่ง ส่วนที่เหลือนำไปทางเหนือด้วย
หม่าซงทำกิจการค้าแทบทุกอย่าง ่ฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนขายใบชาและผ้าไหม ่ฤดูหนาวและฤดูใบไม้ร่วงขายขนสัตว์และสมุนไพร เขานำใบชาและผ้าไหมจากทางใต้มาขายทางเหนือ และนำขนสัตว์และสมุนไพรจากทางเหนือมาขายทางใต้
เขานำเต้าหู้สามสิบห้าชั่งไปทางภาคเหนือด้วย ระหว่างทางก็นำเต้าหู้ ใบชา และผ้าไหม รวมทั้งเครื่องประดับไปมอบให้แก่สหายพ่อค้าที่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันอีกหลายคน
ยิ่งขึ้นเหนืออากาศก็ยิ่งหนาว เต้าหู้จึงเก็บไว้ได้นาน สี่วันต่อมา เขาก็นำไปเป็ของขวัญของฝากจนหมด เมื่อได้ฟังคำพูดแฝงความหมายของเหล่าสหาย ก็พบว่าพวกเขาล้วนชอบเต้าหู้ที่สุดแล้ว
เต้าหู้ได้รับความนิยมเพียงนี้ นับว่าเหนือความคาดหมายจริงๆ
เขาใคร่ครวญว่า ถึงอย่างไรก็ต้องนำเกวียนเปล่าไปรับสินค้าจากทางเหนืออยู่แล้ว อย่างไรก็พอจะมีที่ว่าง เช่นนั้นครั้งต่อไปก็ซื้อเต้าหู้ตระกูลหลี่ไปหลายพันชั่งเสียเลยแล้วกัน เพื่อนำไปขายระหว่างเมืองและอำเภอต่างๆ ที่เป็ทางผ่าน
เมื่อถึงฤดูหนาวทางเหนือจะหนาวจนแทบเอาชีวิตไม่รอด ต่อให้เป็คนมีเงินก็ไม่ได้กินอาหารสดๆ เต้าหู้เป็อาหารที่มีรสชาติอร่อย ย่อมต้องมีคนซื้อแน่นอน ถึงตอนนั้นเขาจะขึ้นราคาเต้าหู้ให้สูงขึ้น จะต้องหาเงินได้มากเป็แน่
เต้าฮวยตระกูลหลี่ก็ว่าขายได้มากแล้ว แต่ยอดขายเต้าหู้นั้นยิ่งขายได้มากกว่า
กิจการขายเต้าหู้ดีกว่ากิจการขายแป้งย่างต้นหอม ขนมแป้งทอดรสหวาน และขนมไหว้พระจันทร์รสหวานอยู่มาก ในเวลาไม่กี่วันคนเมืองเยี่ยนก็มาซื้อเต้าหู้ถึงตลาดหน้าประตูอำเภอฉางผิง
ถูกต้องแล้ว เดินทางไปกลับหลายสิบลี้เพื่อมาซื้อเต้าหู้
“ท่านย่าฟันไม่ดีจึงไม่กินอย่างอื่น กินได้แต่เต้าหู้นี่”
“เต้าหู้อร่อยจริงๆ อีกทั้งยังราคาไม่แพงด้วย หนึ่งชั่งนำไปผัดได้หนึ่งจาน กินได้ทั้งครอบครัว”
“อากาศเช่นนี้เก็บเต้าหู้ไว้ได้หลายวันโดยไม่เสีย ต่อให้นำไปแช่แข็งก็ยังกินได้ รสชาติก็อร่อยเช่นเดิม”
คนที่มาจากเมืองเยี่ยนกล่าวชมเต้าหู้กับคนข้างๆ ระหว่างที่ต่อแถวซื้อเต้าหู้ ทั้งยังแฝงความนัยว่าพวกเขาไม่ใช่คนโง่
ตอนนี้เต้าหู้ตระกูลหลี่ขายได้วันละเจ็ดร้อยชั่ง ปริมาณมากกว่าเดิมเท่าตัว ย่อมได้เงินมากขึ้นเป็เท่าตัวทีเดียว
กำไรสุทธิในหนึ่งวันได้มากถึงสามตำลึง หลี่หรูอี้จะให้เงินหลี่ซานวันละสองร้อยทองแดง และให้จ้าวซื่อวันละสี่ร้อยทองแดง
หลี่ซานได้เงินมากจนยิ้มหน้าบานแม้ในความฝัน จ้าวซื่อก็รู้สึกมั่นคงขึ้นเรื่อยๆ ทางด้านหลี่สือใครพบเขาขณะเดินอยู่บนถนนในหมู่บ้านก็ยิ้มให้อย่างต้อนรับ
ขณะที่หลี่หรูอี้นั่งตากแดดอยู่ที่ลานบ้านกับจ้าวซื่อ ก็พูดขึ้นว่า “ ท่านแม่ เช้านี้ข้าเห็นน้ำที่แม่น้ำเริ่มแข็งแล้ว ประเดี๋ยวข้าจะให้ท่านอารองไปนำหญ้าแห้งและผ้าขาดๆ มาหุ้มบ่อน้ำบ้านเราไว้ เพื่อไม่ให้น้ำกลายเป็น้ำแข็งนะเ้าคะ”
“หากเ้าไม่พูดข้ากับพ่อเ้าคงลืมเื่นี้ไปแล้ว ดีๆ” ทุกวันนี้จ้าวซื่อรู้สึกว่าการมีลูกสาวคนนี้คือความพึงพอใจทุกสิ่งทุกอย่างของตน
เมื่อหลี่ซานขับเกวียนกลับมาถึงบ้านก็ะโลงจากรถด้วยท่าทางดีอกดีใจ ยกตะกร้าไผ่สานใบใหญ่ลงจากรถ “หรูอี้ ข้าซื้อซี่โครงหมูมาแล้ว เย็นนี้เ้าก็ทำซี่โครงหมูนึ่งแป้งเถิด” ซี่โครงหมูนึ่งแป้งที่ทำกินคราวก่อนอร่อยจนกินหมดแทบไม่รู้ตัว
“บิดาเ้าพูดกับข้าหลายรอบแล้วว่า ซี่โครงหมูนึ่งแป้งของเ้าอร่อยมาก” จ้าวซื่อได้รับผลกระทบจากทารกในครรภ์จึงมีความอยากอาหารมากกว่าเมื่อก่อน นางอดกลืนน้ำลายไม่ได้ “หรูอี้ เหตุใดเ้าจึงนำซี่โครงหมูไปทำอาหารได้อร่อยเช่นนั้นเล่า อร่อยกว่าเนื้อหมูเสียอีก”
“แป้งที่ข้านำไปคลุกกับซี่โครงหมูนึ่ง แป้งนั้นมีส่วนผสมของเครื่องปรุงหลายชนิดที่ไม่ใช่ผงเครื่องปรุงธรรมดาเ้าค่ะ” หลี่หรูอี้คิดในใจว่า หากผงเครื่องปรุงเป็ผงปรุงรสหมูจะยิ่งอร่อยมากขึ้น
หลี่ซานมองไปนอกรั้ว เมื่อเห็นว่าไม่มีคนอื่นอยู่ จึงกล่าวขึ้นว่า “หรูอี้ วันนี้ข้าได้รับข้อเสนอการค้ามาจากตำบลอย่างหนึ่ง”
.............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้