ตาเฒ่าน่ารังเกียจที่มีประสบการณ์มาอย่างโชกโชนหลายสิบปีนั้น อย่างอื่นทำไม่เป็ แต่ทักษะในการหลอกคนนั้นไม่ต้องพูดถึง กระพริบตาแค่ทีเดียวก็มีน้ำตาไหลนองเต็มเบ้าตา เสแสร้งแสดงท่าทางขอร้องออกมาได้ดูน่าสงสารยิ่ง ดูไร้ที่พึ่งพิง ใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก
ดอกบัวน้อยสีขาวแซ่จิ่งที่เพิ่งออกสู่โลกภายนอกครั้งแรกนั้น เมื่อต้องเผชิญหน้ากับท่าทางขอร้องอย่างน่าสงสารของเฒ่าหลิวน่ารังเกียจ ดวงใจที่เต็มไปด้วยความเมตตานั้นก็กลายเป็ดั่งอรหันต์ทันที ทั้งซื้ออาหารและตั้งใจจะรักษาโรคให้เขา ส่วนเ้าเฒ่าหลิวน่ารังเกียจนี่ก็จ้องอยู่ที่เงินแวววาวในมือของดอกบัวน้อยสีขาวแซ่จิ่ง ดวงตาทั้งคู่ก็ลุกวาวขึ้น เงินมากขนาดนี้เกรงว่าต่อให้ขายเด็กไปสิบกว่าคนก็ยังไม่ได้เท่านี้
ทันใดนั้นเองเขาก็เปลี่ยนใจขึ้นมา เมื่อมีความกล้าไม่ว่าเื่ชั่วร้ายอะไรก็กล้าทำ เทียบกับการขายจิ่งฝานแล้ว ฆ่าคนชิงทรัพย์น่าจะได้มากกว่า เพราะคนที่สามารถเอาเงินออกมาได้มากขนาดนี้เกรงว่าชาติกำเนิดต้องไม่เลวแน่ มีเพียงการฆ่าคนปิดปากและทำลายศพทิ้งเท่านั้นถึงจะขจัดปัญหาที่จะตามมาได้
เมื่อมีเจตนาฆ่าขึ้นมา มุมปากของเฒ่าหลิวน่ารังเกียจก็ขรึมลงหลายส่วน ทำให้ใบหน้าที่มีผื่นแดงเต็มไปหมดนั้นยิ่งดูเกรี้ยวกราดจนน่ากลัว น่าเสียดายที่ตอนนั้นจิ่งฝานในใจคิดแต่จะช่วยรักษาเขาจึงไม่ได้สังเกตสีหน้าคนผู้นั้นแม้แต่น้อย
เมื่อซื้ออาหารต่างๆ เสร็จแล้ว อ๋าวหรานก็ตามเขาไปบนถนนที่ห่างไกลไร้ผู้คน ตามที่เฒ่าหลิวน่ารังเกียจบอกมาก็คือเขายังรับเลี้ยงเด็กเร่ร่อนไว้อีกหลายคน น่าสงสารยิ่ง ทุกวันล้วนกินไม่อิ่มและยังไม่มีเสื้อผ้าอบอุ่นใส่ แต่ละคนล้วนล้มป่วย ทุกวันนี้ได้แต่พึ่งพาเขาที่เป็ขอทานหาอาหารหาเงินมาให้ประทังชีวิตไปวันๆ โรคของเขานั้นจะรักษาได้หรือไม่ก็ไม่สำคัญ ขอแค่ให้เด็กพวกนั้นแข็งแรงขึ้นเขาก็วางใจแล้ว
คนทั้งสองระหว่างทางพูดคุยกันมากมาย จิ่งฝานเองก็ถามคำถามไปหลายข้อ เฒ่าหลิวน่ารังเกียจตอบแบบจริงบ้างเท็จบ้าง ดูไม่มีน้ำหนัก มีแต่ความรู้สึกบรรยายอย่างโศกเศร้า จิ่งฝานเริ่มััได้ถึงช่องโหว่ต่างๆ แต่ตอนนั้นเขายังไร้เดียงสาราวกับกระดาษขาวจึงคิดไปว่าผู้เฒ่าผู้นี้คงมึนงงเล่าไม่ถูกหรือไม่ก็คงมีเหตุผลบางอย่างให้ต้องปิดบัง
เป้าหมายของเฒ่าหลิวน่ารังเกียจชัดเจนมากคือฆ่าคนชิงทรัพย์ แต่เขาเองก็ไม่โง่งม เพราะเห็นที่ข้างเอวของจิ่งฝานพกกระบี่ไว้ อีกทั้งน้ำหนักเท้ายังมั่นคงยิ่ง มีความเป็ไปได้แปดส่วนว่าจะมีวรยุทธ์ป้องกันตัว เขาคนเดียวเกรงว่าคงจัดการได้ยาก ให้ดีที่สุดต้องหาพวกสักคนสองคน หากเกิดเื่อะไรขึ้นมาก็มีคนช่วยเหลือ คิดแล้วเฒ่าหลิวน่ารังเกียจก็พาจิ่งฝานไปที่รังใหญ่ของพวกเขา เป็เรือนเก่าผุรกร้างเหมือนกับที่เขาเคยบอกจิ่งฝานไปว่าตัวเองจนยิ่งไม่มีผิด
น่าเสียดายที่คนที่อยู่ด้านในนั้นไม่ใช่เด็กน่าสงสารที่ไม่มีที่ไปจำนวนนับไม่ถ้วน แต่กลับเป็พวกโจรลักขโมยที่ทำแต่เื่ชั่วช้ามารวมกลุ่มกันอยู่
เฒ่าหลิวน่ารังเกียจพาจิ่งฝานมากะทันหัน แต่คนพวกนี้ทำเื่พวกนี้จนชินแล้ว เมื่อเห็นเงาคนมาแต่ไกลก็รู้ว่าหลอก ‘ง้วนป้อ’1 มาได้อีกคนแล้ว ถึงแม้จะค่อนข้างโตไปหน่อย แต่เสื้อผ้าที่สวมใส่ล้วนไม่ธรรมดา หน้าตาขาวสะอาดดูมีน้ำมีนวล ท่าทางเหมือนคุณชายตระกูลผู้ร่ำรวยเยี่ยงนี้นั้น...แน่นอนว่าต้องขายได้ราคาดีแน่
ผู้มีประสบการณ์พวกนี้มีปฏิกิริยารวดเร็วมาก จึงให้แค่คนที่อายุยังน้อยคนหนึ่งออกไปรับที่หน้าประตู แล้วก็ลองเลียบเคียงถาม ส่วนคนที่เหลือก็แอบอยู่ในห้องรอดูการเปลี่ยนแปลง
เด็กคนนั้นวิ่งออกมา กำลังจะอ้าปากพูดอะไร แต่เฒ่าหลิวกลับกลัวว่าเขาจะเผยพิรุธอะไรออกมา ไม่รอให้เขาพูดก็ชิงพูดก่อนด้วยสีหน้าร้อนรน “อาฉือ น้องชายน้องสาววันนี้ยังสบายดีหรือไม่? ข้าไม่กลับมาวันหนึ่ง พวกเขากินข้าวกันหรือยัง? อาการป่วยดีขึ้นบ้างหรือไม่?”
อาฉือผู้นี้เองก็ไม่ใช่ตะเกียงที่ประหยัดน้ำมัน กะพริบตาทีหนึ่งแล้วก็รีบแสร้งแสดงท่าทางไร้เดียงสาน่าสงสาร เดินเข้าไปหาอย่างเกรงกลัว “ท่านพ่อ ก็ยังดีอยู่ แต่ว่าน้องสาวยังไข้ขึ้นอยู่เลย”
พูดจบแล้วก็มองจิ่งฝานอย่างสงสัย สายตาฉายแววไร้เดียงสาและพิษภัย
เฒ่าหลิวน่ารังเกียจยิ้มในใจแล้วชมอาฉือว่าฉลาดยิ่ง ไม่เสียทีที่อยู่กับพวกเขามานาน “วันนี้พ่อเอาของอร่อยๆ มาให้พวกเ้าเพียบเลย” พูดจบก็ชูถุงอาหารและขนมในมือแล้วยิ้มอย่างมีเมตตา
อาฉือมองด้วยสีหน้าประหลาดใจ จ้องนิ่งตาไม่ขยับ
“แต่ว่าพวกนี้ล้วนไม่ใช่พ่อที่เป็คนซื้อหามา เป็คุณชายท่านนี้ต่างหากที่ซื้อ แถมเขายังเป็วิชาแพทย์อีกด้วย ไม่เพียงจะช่วยรักษาพ่อเท่านั้น ตอนนี้แม้แต่อาการป่วยของพวกน้องชายน้องสาวก็มีทางรักษาแล้ว เฒ่าชราเช่นข้านี้อยู่มายาวนานเกินครึ่งชีวิตยังไม่เคยพบคุณชายผู้มั่งมีที่มีจิตใจเมตตาถึงเพียงนี้เลย”
ถ้าจะให้เขาสรุปก็คือ...คุณชายมั่งมีสำหรับเขานั้นก็คือคนโง่งมที่มีเงินมากต่างหาก
อาฉือมองจิ่งฝานอย่างดีใจแล้วเรียกอย่างเกรงกลัวว่า “พี่...พี่ชาย สวัสดีครับ”
พูดแล้วก็ส่งสายตาไปเหลือบมองห่อข้าวในมือจิ่งฝานที่มีกลิ่นเนื้อไก่หอมหวน ลอยออกมา พวกเขาสิบกว่าคนขายเด็กสักคนก็แค่พอแลกเงินมาได้เล็กน้อยเท่านั้น แล้วก็ถูกพวกคนที่โตกว่าเอาไปลงกับการพนันและสุราหมดแล้ว พวกคนตัวเล็กๆ เช่นเขานี้ไม่ได้รับส่วนแบ่งอะไรสักเท่าไร อาฉือจึงไม่ได้กลิ่นเนื้อมานานแล้ว
มองดูอาฉือที่จ้องตาไม่กะพริบ เฒ่าหลิวน่ารังเกียจแทบอยากจะเตะเขาสักทีหนึ่ง แต่จิ่งฝานกลับยิ้มอย่างเป็มิตร คิ้วและดวงตาสีหมึกอ่อนโยนดุจสายน้ำ แล้วยื่นของในมือส่งให้อาฉือ “ค่อยๆ กินเถิด หากไม่พอ ข้าจะไปซื้อมาให้อีก”
อาฉือถูกรอยยิ้มของเขาทำให้อึ้งไป เขายังไม่เคยเจอผู้ใดที่ทั้งงดงามและอ่อนโยนถึงเพียงนี้มาก่อน เฒ่าหลิวน่ารังเกียจเห็นท่าทางของเขาเช่นนี้ก็ยิ่งโกรธจนไม่รู้จะทำเช่นไรดี เมื่อกี้ยังชมอยู่ว่าเ้าเด็กนี่ฉลาด แต่ตอนนี้กลับมีสีหน้าเหมือนคนโง่งมที่ไม่เคยเห็นโลก!
โชคดีที่อาฉือมีปฏิกิริยาตอบกลับเร็ว ในอกกอดเนื้อไก่ห่อใบบัวไว้แล้วมองจิ่งฝานตาละห้อย “พอ...พอแล้ว จะใช้เงินของพี่ชายไม่ได้ ไม่อย่างนั้นอาจใช้จนหมดได้”
ตอนนั้นจิ่งฝานคิดแค่ว่าช่างเขาบริสุทธิ์ไร้เดียงสาจึงยิ้มแล้วโบกถุงเงินในมือไปมาตรงหน้าเขา พูดอย่างปลอบใจว่า “ไม่เป็ไร อยากกินอะไร พี่ชายจะซื้อให้เ้าทั้งหมด พี่ชายมีเงินมากพอให้เ้าใช้”
หารู้ไม่ว่าพวกเขาก็กำลังรอประโยคนี้ของตนอยู่ แค่อยากจะถามดูเพื่อให้รู้ว่าเขามีเงินมากแค่ไหนเท่านั้น
เมื่อมองถุงเงินที่สั่นไหวส่งเสียง หนึ่งแก่หนึ่งเด็กก็ล้วนแอบใจเต้นโครมคราม
อาฉือทำใจเย็นลงแล้วยังพูดด้วยความกังวลอีกว่า “วันหน้าพี่ชายอย่าได้เอาถุงเงินออกมา จะมีคนชั่วจ้องเอาได้”
จิ่งฝานลูบหัวเขา ยิ้มแล้วพูดว่า “วางใจเถิด พี่ชายเก่งมาก คนธรรมดาทั่วไปล้วนสู้ข้าไม่ได้”
อาฉือยิ้มแข็งๆ แล้วถามอย่างลังเลว่า “เก่งมากเลยหรือ? เก่งกาจขนาดไหน?”
จิ่งฝานกลัวจะทำให้เขาตกตะลึงจึงตอบอย่างปิดบังว่า “ก็สู้กับคนธรรมดาทั่วไปสักสิบกว่าคนได้ไม่เป็ปัญหา”
ตอนนี้ไม่เพียงอาฉือที่ริมฝีปากแข็งค้าง พวกคนในห้องต่างก็ทำสีหน้าโง่งมแล้ว ส่วนเฒ่าหลิวน่ารังเกียจนั่นก็ถึงกับสั่นสะท้าน พูดติดๆ ขัดๆ ว่า “คุณ...คุณชายน้อยร้ายกาจถึงเพียงนี้เลยหรือ?”
จิ่งฝานแย้มยิ้ม “ข้าเรียนวรยุทธ์มาแต่เล็ก นับว่าร้ายกาจอยู่บ้าง”
พูดจบก็คิดว่าอาจทำให้อาฉือตกตะลึงจึงรีบพูดเสียงอ่อนลงอย่างอ่อนโยนว่า “วางใจเถิด พี่ชายเป็คนดี ตีแต่พวกคนชั่วเท่านั้น ไม่รังแกเ้าหรอก”
จิ่งฝานแค่อยากจะปลอบเด็กน้อยจึงมองไม่เห็นริมฝีปากที่แข็งค้างของเขา แล้วยังพูดอย่างจริงใจอีกว่า “ขอข้าเข้าไปดูเด็กคนอื่นที่ป่วยอยู่หน่อยเถอะ รีบรักษาจะได้เสี่ยงอันตรายน้อยลง”
พวกเขารู้สึกร้อนรนขึ้นมาในทันใด หากเข้าไปก็หมดกัน หากเป็ดังที่จิ่งฝานพูดจริง พวกเขาล้วนสู้ไม่ได้แน่ อาฉือกลอกตาไปมารอบหนึ่ง ไม่รอให้เฒ่าหลิวน่ารังเกียจพูดก็พูดขึ้นก่อนว่า “พี่ชาย อย่าเพิ่งรีบเข้ามา ในห้องรกไม่เป็ระเบียบ ข้าขอเข้าไปเก็บของเสียหน่อย!”
พูดจบก็วิ่งกลับเข้าไปในเรือนอย่างรีบร้อน
จิ่งฝานคิดจะเอ่ยปากรั้งเขาไว้ ถึงแม้เขาจะเติบโตมาอย่างมั่งคั่งร่ำรวย แต่ก็ไม่เคยดูถูกหรือรังเกียจบรรดาคนจน ชีวิตคนนั้นหลายครั้งยากจะควบคุมได้ด้วยสองมือของตน มีบางคนพยายามแล้ว แต่กลับไม่เคยได้เห็นผลลัพธ์ แต่บางคนที่ไม่ต้องทำอะไรเลย แต่กลับได้ในสิ่งที่ผู้อื่นพยายามไปชั่วชีวิตก็ไม่มีวันได้ไปอย่างง่ายดาย เขารู้ดีว่าโลกนี้มันไม่ยุติธรรมเท่าใดนัก แต่เขาก็ยังคงเต็มไปด้วยความอ่อนโยนใจกว้าง สิ่งที่เขามีเขาย่อมยินดีแบ่งปันให้ผู้อื่น ส่วนสิ่งที่เขาไม่มีเขาก็รับได้อย่างผ่าเผย ไม่มีใจริษยาอยากได้
แน่นอนว่านี่คือจิ่งฝานในสมัยก่อน ส่วนจิ่งฝานในตอนนี้ก็ยังคงคิดว่า์ไม่ยุติธรรมเช่นเดิม แล้วจะอย่างไร หากไม่ใช่ของตนชิงมาเสียก็สิ้นเื่ คนที่ตนไม่ชอบฆ่าทิ้งไปก็ใช้ได้แล้ว ในเมื่อไม่มีกฎเกณฑ์ที่ยุติธรรม เช่นนั้นก็เอาความพอใจของตัวเองเป็เกณฑ์เลยแล้วกัน
เฒ่าหลิวน่ารังเกียจรั้งจิ่งฝานที่คิดจะห้ามอาฉือเอาไว้ ถอนหายใจแล้วพูดว่า “เด็กคนนี้ก็ช่างรู้ความ คิดมากกว่าผู้อื่น แล้วยังรู้จักดูแลคน พวกน้องสาวน้องชายล้วนเป็เขาที่ดูแล ท่าทางคุณชายไม่ธรรมดา เสื้อผ้าที่สวมใส่สะอาดสะอ้านเป็ระเบียบ ในห้องล้วนมีแต่บรรยากาศขี้โรคของเด็กๆ แล้วยังรกรุงรังยิ่ง อาฉือคงอับอายที่จะให้ท่านต้องไปัักับฝุ่นพวกนั้น”
การที่เฒ่าหลิวน่ารังเกียจสามารถพูดคำสุภาพน่าฟังเช่นนี้ออกมาได้นั้นไม่ใช่เื่ง่ายเลย แต่ก็ทำให้จิ่งฝานรู้สึกซาบซึ้งยิ่งนักจึงรีบบอกว่าตนหาได้สนใจไม่ แต่ก็ยังคงคิดถึงใจของเด็กน้อยอยู่
โชคดีที่อาฉือไม่ได้เข้าไปด้านในนานนักก็มุดหัวออกมาจากประตู แล้วพูดอย่างเกรงกลัวว่า “พี่ชาย เข้ามาเถิด”
ในใจของเฒ่าหลิวน่ารังเกียจก็รู้สึกกังวลอยู่เช่นกัน แต่จิ่งฝานก็เดินขึ้นหน้าไปแล้ว
เมื่อจิ่งฝานเล่ามาถึงตรงนี้ อ๋าวหรานก็หรี่ตามองเขาอย่างดูถูก “เ้าโง่งมเกินไปแล้ว กับดักที่ชัดเจนถึงเพียงนี้ยังดูไม่ออกอีกหรือ?”
่นี้เ้าเด็กนี่ยิ่งกล้าหาญไร้กฎระเบียบขึ้นเรื่อยๆ แล้วถึงได้พูดอย่างสบายๆ เป็ที่สุด จิ่งฝานถลึงตามองเขาไปทีหนึ่ง ท่าทางราวกับบอกว่าไม่อยากพูดอะไรอีก อ๋าวหรานจึงทำได้เพียงปล่อยผ่านไป “เ้าเล่าต่อๆ”
ในบันทึกการเดินทางของจิ่งฝานนั้นเขียนอย่างเรียบง่ายมาก ไม่มีโอดครวญหรือแค้นเคืองอันใด รายละเอียดหลายอย่างก็ไม่ได้เล่าละเอียดนัก มักเน้นหนักไปที่อาการของโรคเพียงอย่างเดียว แต่ถึงแม้จะมีแค่นี้อ๋าวหรานก็ยังโกรธเคืองไม่หยุดหลังจากที่ฟังเขาเล่าอีกทีอย่างละเอียดก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกว่าจิ่งฝานเมื่อก่อนนั้นเป็พวกมีเงินแต่โง่งม เป็เพียงนักบุญผู้ยิ่งใหญ่
จิ่งฝานที่เพิ่งก้าวเท้าเข้าไปในห้องก็ถูกคนสาดผงสีน้ำตาลใส่เข้าเต็มหน้า แค่ดมกลิ่นจิ่งฝานก็รู้ว่ามันคือ ‘หญ้าลู่กาน’ เมื่อสูดดมเข้าไปจะทำให้การรับรู้ไม่ชัดเจน ศีรษะมึนงง ถึงแม้ฤทธิ์จะคงอยู่ได้ไม่นาน แต่ก็ยาวนานถึงหนึ่งถ้วยชาเย็นเลยทีเดียว เป็ของที่พวกอันธพาลและโจรสลัดที่ชอบลักขโมยต่างๆ ชอบใช้กัน ถือเป็สองหญ้าทำร้ายคนอันดับต้นๆ เคียงคู่มากับหญ้าค้งที่อ๋าวหรานเคยโดนเลยทีเดียว
ถึงแม้จิ่งฝานจะมีปฏิกิริยารวดเร็ว แต่เพราะไม่ได้ระวังป้องกันไว้เลย อีกทั้งประสบการณ์ก็มีไม่มากพอจึงสูดเข้าไปเต็มๆ หญ้าชนิดนี้เห็นผลเร็ว แค่ครู่เดียวการรับรู้ของจิ่งฝานก็ไม่ชัดเจนแล้ว
ง้วนป้อ1 (元宝)เงินตำลึงจีน
