จ้านอู๋มิ่งทานข้าวมื้อหนึ่งใช้เวลาร่วมหนึ่งชั่วยาม ท่าทางที่ดูสบายๆ นั้นแม้แต่คนที่รอชมเื่สนุกก็รู้สึกว่าไร้ยางอายบ้างแล้ว เวลาหนึ่งชั่วยามนี้สำหรับเถี่ยมู่เหอแล้ว แทบจะเป็หนึ่งชั่วยามที่ผ่านยากที่สุดในชีวิตเลยทีเดียว เดิมมันสามารถหลับตาพักผ่อนรักษาจิตสมาธิไว้ ไม่สนใจเื่ราวรอบข้าง แต่จ้านอู๋มิ่งมักจะโพล่งคำถามออกมาเป็ระยะ “ท่านที่แซ่เถี่ยผู้นั้น จะทานอะไรสักหน่อยก่อนหรือไม่ มิฉะนั้นเดี๋ยวเข่าอ่อนงอเป็กุ้งแล้วจะโทษว่าท้องหิวอีก…” “เถี่ยมู่เถา[1]อะไรนั้นน่ะ รูปแบบที่เ้าจัดนี่ไม่น่าดูนะ เปลี่ยนใหม่อีกอันเถอะ…”
จ้านอู๋มิ่งเหมือนเช่นคนหยาบกร้านพูดวาจาหยาบคาย ทานอาหารพลางพูดจาเยาะเย้ยหัวเราะไปพลาง ไหนเลยจะมีภาพลักษณ์ของยอดฝีมือ เถี่ยมู่เหอกลับถูกฝูงชนบนถนนใหญ่ชี้มือชี้ไม้พูดจาวิพากษ์วิจารณ์ เวลานี้ถ้าเขากลับเข้าไปนั่งรอภายในภัตตาคาร เห็นได้ชัดว่าแสดงความอ่อนแอต่อหน้าผู้อื่น ก็จะสูญเสียสภาวะที่สร้างขึ้น ย่อมมิอาจกลับเข้าไป ได้แต่แสร้งหลับตาลงนั่งอยู่อย่างอยู่สงบ ซึ่งความจริงเพลิงโทสะภายในใจแทบจะแผดเผาพุ่งขึ้นไปถึงสมองแล้ว ยามนี้เองจ้านอู๋มิ่งถึงได้ยอมลุกขึ้นมา ก้าวย่างอย่างสง่างามอกผายไหล่ผึ่งมาทางถนนใหญ่ แต่ยังมิลืมโยนทองคำแท่งใหญ่แท่งหนึ่งบนโต๊ะ พูดอย่างหยิ่งทะนงว่า “เสี่ยวเอ้อร์ มิต้องทอน!”
เถ้าแก่ภัตตาคารมองดูอันธพาลที่ทำท่าทางเหมือนนายท่านที่บุญหนักศักดิ์ใหญ่ ในที่สุดเขาก็ยอมออกไปแล้ว เถ้าแก่ก็ถอนหายใจออกมาคำหนึ่งเช่นกัน เขากลัวจริงๆ ว่าตนเองจะทนมิไหวจับตัวเ้าคนไร้ยางอายโยนออกไปที่ถนนใหญ่ด้วยตัวเอง แต่ว่าผู้อื่นเป็ลูกค้าที่นำเงินทองมาอุดหนุนดื่มกินในร้าน ต่อให้เป็ราชันาก็มิมีเหตุผลที่จะลงมือมิใช่หรือ? ตนเองกลับถูกไอ้หนูเ้าเล่ห์จอมกะล่อนนี่หลอกใช้ประโยชน์ไปเต็มๆ จะขอบคุณสักคำก็ยังไม่มี ผู้อื่นใช้ทองคำแค่หนึ่งแท่ง ทำให้ราชันาระดับสูงกลายเป็องครักษ์ประจำตัวให้เขาฟรีๆ เป็เวลาหนึ่งชั่วยามเต็มๆ
จ้านอู๋มิ่งเดินถึงประตูใหญ่ของภัตตาคาร โบกไม้โบกมืออย่างน่าชังให้กับฝูงชนที่เบียดเสียดล้อมรอบจนเต็มถนนใหญ่ “ผู้ที่มีเงินทองช่วยๆ กันหน่อย คนที่ไม่มีเงินช่วยเป็กำลังใจหน่อยก็แล้วกัน วันนี้พี่เถี่ยมู่เถาการเงินตึงมือนัก ไม่มีเงินทองเข้าไปกินเนื้อดื่มสุรา ดังนั้นจึงท้าต่อสู้กับข้า หวังว่าทุกท่านเวลาชมการต่อสู้คงจะไม่มัธยัสถ์เงินทอง บริจาคเงินสักเล็กน้อยสำหรับเป็ค่าเดินทางให้พี่น้องแซ่เถี่ยผู้นี้ จะได้กลับบ้านไปฉลองปีใหม่…”
“พู่…” เถี่ยมู่เหอในที่สุดก็ทนมิไหวกระอักพ่นเืลมที่ย้อนขึ้นออกมาคำหนึ่ง ไอ้บ้านี่มันกำลังพูดพล่ามอะไรของมัน? มันมิอายผู้คนแต่ข้าเถี่ยมู่เหอเป็ถึงสุดยอดอัจฉริยะแห่งยุค ยอดฝีมือบนป้ายประกาศรายชื่อทอง กลับมาถูกเยาะเย้ยถากถางเช่นนี้ อารมณ์โกรธเมื่อครู่ให้มันแล้วกันไปเถอะ เวลานี้ยังกล้าบังอาจสาดน้ำโคลนสกปรกใส่ร่างข้าผู้มีศักดิ์ฐานะสูงส่งเสียได้ นี่จะให้เขาสามารถทนทานต่อไปอีกได้อย่างไร!
“เฮ้อ พี่น้องแซ่เถี่ย ความจริงาเ็ภายในอยู่ก่อนแล้ว พวกท่านก็เห็นเขากระอักเืแล้ว เพียงแต่เขาไม่มีเงินทองรักษาตัวตลอดมา วันนี้ทุกท่านหลังจากชมการแสดงของพวกเราแล้วจะต้องบริจาคเงินให้มากอีกหน่อย เฮ้อ น่าสงสารเสียจริง เมื่อครู่ข้าเรียกเขาเข้าไปทานอะไรสักหน่อย เขารักษาหน้าตามิยอมทานอาหารที่แจก จะต้องร่วมแสดงกับข้าให้ได้ เพื่อรวบรวมเงินบริจาคผ่านการแสดง…”
“หุบปาก!” ในที่สุดเถี่ยมู่เหอก็คำรามออกมาด้วยความโกรธ
จ้านอู๋มิ่งส่ายหน้าไปมา พูดด้วยใบหน้าที่ไร้เดียงสาว่า “รักษาหน้าตามากจริงๆ ยอมเผชิญกับความทรมาน” พูดพลางยื่นมือออกไปด้านข้าง หลิ่วหว่านอวี๋ก็ให้ความร่วมมืออย่างดียิ่ง หยิบผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งจากแขนเสื้อ
จ้านอู๋มิ่งใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดปาก จากนั้นพับผ้าเช็ดหน้าอย่างประณีตบรรจงเป็สี่เหลี่ยมจัตุรัส แล้วจึงค่อยๆ เก็บไว้ในอกเสื้ออย่างช้าๆ อิริยาบถสง่างาม แลดูสูงส่ง เทียบกับสีหน้าและฝีปากเมื่อครู่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
“วันนี้เ้าตายแน่นอนแล้ว!” เถี่ยมู่เหอไม่มีคำพูดใดสามารถอธิบายสภาพจิตใจอารมณ์ตนแล้ว ได้แต่พูดคำพูดนี้ออกมาอย่างเหี้ยมเกรียม
จ้านอู๋มิ่งโบกไม้โบกมือ ให้หลิ่วหว่านอวี๋และปาจี๋ถอยไปทางด้านหลัง แล้วจึงก้าวช้าๆ ไปข้างหน้าสองก้าว ห่างกับเถี่ยมู่เหอสามวา ถามเสียงเรียบๆ ว่า “ให้ดีที่สุดเ้ากับคนที่อยู่ด้านหลังหลายคนนั้นเข้ามาพร้อมกัน มิฉะนั้นแล้วเ้ามิใช่คู่ต่อสู้ของข้า”
หยิ่งยโส หยิ่งยโสอย่างแท้จริง…
คนที่ชมโดยรอบแต่ละคนปากอ้าตาค้าง พวกเขาเคยเห็นคนหยิ่งยโสมาก่อน แต่ไม่เคยเห็นคนที่หยิ่งยโสมากถึงเพียงนี้ เย่อหยิ่งจองหองสุดเปรียบปาน!
ปาจี๋มองจ้านอู๋มิ่งอย่างใ นี่แทบจะกลายเป็เทพเ้าที่แท้จริงเพียงองค์เดียวในโลกหล้าไปแล้ว——ไร้ยางอายจริงๆ! เทพเ้าเอย! ปาจี๋เข้าใจเถี่ยมู่เหออย่างยิ่ง เขาจะไม่ร่วมมือกับผู้อื่นเล่นงานจ้านอู๋มิ่งอย่างเด็ดขาด อีกทั้งก่อนหน้านี้จ้านอู๋มิ่งได้แสดงออกอย่างสูงส่ง โบกมือให้เขาและหลิ่วหว่านอวี๋ถอยออกมา เถี่ยมู่เหอยิ่งมิอาจร่วมมือกับผู้อื่นเล่นงานจ้านอู๋มิ่งคนเดียว แต่ว่าจ้านอู๋มิ่งมองจุดนี้ออกแล้วชัดๆ ยังกล่าววาจาเช่นนี้ออกมา ช่างไร้ยางอายจริงๆ เทพเ้าเอย!
เถี่ยมู่เหอรู้สึกร้อนวูบตรงจมูก ยื่นมือเช็ดคราหนึ่ง เขากลับหลั่งโลหิตแล้ว เพลิงโทสะรุนแรงเกินไปแล้ว เพลิงโทสะนี้ล้วนเป็เพราะคนบ้าตรงหน้าที่สีหน้าไร้เดียงสาแต่ไร้ยางอายอย่างที่สุด มันพบว่าอารมณ์ของตนเองชั่วขณะที่เผชิญหน้าก็ถูกควบคุมแล้ว เขาบันดาลโทสะสุดขีดจนหัวเราะออกมา ความทระนงของตนในสายตาอีกฝ่ายเหมือนอุจจาระกองหนึ่ง ถ้าเช่นนั้นก็มิจำเป็ต้องเผชิญหน้าอย่างภาคภูมิกับอีกฝ่ายแล้ว
ถนนสายยาวเงียบสงัด เสียงของจ้านอู๋มิ่งสะกดข่มเสียงอื่นๆ ลง หลายวันนี้ผู้ที่มาเมืองหนานเจาล้วนเป็ดั่งเทพบุตรแห่ง์อันน่าภาคภูมิทั้งสิ้น ในสายตาพวกเขาสำหรับยอดฝีมือบนป้ายประกาศรายชื่อทองนั้น พวกเขาทำได้แค่แหงนหน้าขึ้นมองเท่านั้น ไอ้หนูไร้ชื่อเสียงตรงหน้าคนนี้กลับกระทืบเท้าแรงๆ บนป้ายประกาศรายชื่อทองครั้งหนึ่ง คำพูดที่สุดหยิ่งยโสของมันคำนั้น ต่อให้เป็หนานกงฉู่ที่อยู่ในอันดับหนึ่งบนป้ายประกาศรายชื่อทองก็เกรงว่าจะมิกล้าหยิ่งยโสโอหังถึงเพียงนี้
บนถนนสายยาว วายุและเมฆาพลุ่งพล่านพลิ้วไหว เถี่ยมู่เหอบันดาลโทสะแล้ว อารมณ์โกรธเกรี้ยว รังสีการฆ่าฟัน พลังจิติญญาแห่งการต่อสู้ก่อเกิดเป็เขตแดนมหึมา ภายในเขตแดนนั้น ทุกคนล้วนััได้ถึงสำนึกเย็นะเืเสียดแทงใจสายหนึ่ง กลิ่นอายสังหารอันรุนแรง ความเงียบสงัด ความโหดร้ายไร้ปรานี…สภาวะพลังของเถี่ยมู่เหอ ดุจดั่งเมฆฝนมืดครึ้มเป็ชั้นๆ กดทับลงมา สะกดข่มกดทับอากาศทุกตารางนิ้ว
นี่ก็คือยอดฝีมืออัจฉริยะบนป้ายประกาศรายชื่อทอง ยังมิทันลงมือก็ก่อเกิดสภาวะพลังกดดันที่ทำให้ผู้คนหนาวเหน็บขวัญสะท้าน ดังนั้นฝูงชนบนถนนสายยาวแตกฮืออีกครั้ง ผู้คนจำนวนมากมิอาจทนทานพลังกดดันของเถี่ยมู่เหอ และมีบางคนมิ้าได้รับผลกระทบจากการสัประยุทธ์ของทั้งสอง
“ฆ่าเ้า ข้าคนเดียวก็เพียงพอแล้ว!” เสียงของเถี่ยมู่เหอเย็นเยือกดุจน้ำแข็ง ชัดเจนเย็นเยียบเข้าไปถึงจิตใจ
จ้านอู๋มิ่งยักๆ ไหล่ คล้ายดั่งไม่ได้ััรับรู้ถึงสภาวะพลังกดดันใดๆ จากเถี่ยมู่เหอ การแสดงออกคล้ายกำลังพูดว่า “มิเป็ไร อีกอย่างสิ่งที่ข้าควรพูดล้วนพูดแล้ว เป็เ้าเองที่ไม่เชื่อฟัง ถึงเวลาพ่ายแพ้แล้วอย่ามาโทษข้าก็แล้วกัน…”
เถี่ยมู่เหออดทนไม่ไหวแล้วจริงๆ ดังนั้นมันชิงลงมือก่อนแล้ว
เถี่ยมู่เหอลงมือ มีเพียงประกายดาบสายหนึ่ง ที่ดุจดั่งตัดผ่านนภากาศและกาลเวลา ยามที่ปรากฏอีกครั้งก็มายืนอยู่ตรงหน้าจ้านอู๋มิ่งแล้ว ไม่มีการโหมโรง ไม่มีสรรพเสียงตามหลัง เป็ดาบรวบรัดง่ายดายดาบหนึ่ง ว่องไวรวดเร็วจนมิอาจต้านทานมิอาจขัดขวาง
ดวงตาจ้านอู๋มิ่งฉายแววประหลาดใจวูบหนึ่ง ศิลปะการต่อสู้ของตระกูลเถี่ยมีเอกลักษณ์ของตนเองจริงๆ ดาบนี้เปรียบเทียบกับการลอบจู่โจมใดๆ ล้วนน่ากลัวกว่า เถี่ยมู่เหอต้องไม่ได้มีเพียงกระบวนท่านี้เพียงกระบวนท่าเดียวแน่นอน คนผู้นี้สามารถมีชื่อติดอยู่ในยอดฝีมือบนป้ายประกาศรายชื่อทอง จะต้องมิใช่เื่บังเอิญแน่นอน
“ฉับ…” ประกายดาบสับทะลุผ่านร่างที่เป็เงามายาของจ้านอู๋มิ่ง ทิ้งรอยมีดยาวร่วมวา ลึกร่วมฟุตสายหนึ่งบนแผ่นหินของพื้นถนนสายหลัก ฝูงชนผู้ชมมิมีผู้ใดไม่อุทานชื่นชม มิเพียงชื่นชมดาบนี้ที่แปลกและรุนแรงร้ายกาจของเถี่ยมู่เหอ ขณะเดียวกันก็ชื่นชมความว่องไวในการหลบหลีกของจ้านอู๋มิ่งด้วย
พลังจิติญญาแห่งการต่อสู้ของเถี่ยมู่เหอดุจดั่งมีประกายแสงนับพันนับหมื่นสายครอบคลุมร่าง ทุกครั้งที่โบกมือก็มีประกายดาบแปลกประหลาดสายหนึ่งทะลุขีดจำกัดนภากาศ ปรากฏเบื้องหน้าจ้านอู๋มิ่งอย่างคาดไม่ถึง มิว่าจ้านอู๋มิ่งจะหลบหลีกรวดเร็วเพียงใด หลายกระบวนท่าผ่านไปทุกคนล้วนพบเื่ที่ทำให้ประหลาดใจยิ่งนักเื่หนึ่ง พวกเขาไม่พบพลังจิติญญาแห่งการต่อสู้ใดๆ บนร่างจ้านอู๋มิ่ง แต่ว่าทุกครั้งจ้านอู๋มิ่งคล้ายดั่งมีการหยั่งรู้ล่วงหน้าก็ปาน สามารถหลบพ้นประกายดาบของเถี่ยมู่เหอได้
หนึ่งดาบ สองดาบ สามดาบ…เถี่ยมู่เหอฟันออกติดต่อกันสิบแปดดาบ พลันพบว่าเวลานี้จ้านอู๋มิ่งอยู่ห่างจากเถี่ยมู่เหอเพียงราวหนึ่งวาเท่านั้นแล้ว
ประกายดาบที่รวดเร็วสุดเปรียบปาน การโจมตีที่สุดรุนแรงแสนร้ายกาจ กลับไม่สามารถหยุดร่างที่เดินหน้าเข้ามาของจ้านอู๋มิ่ง ทุกครั้งที่หลบพ้นหนึ่งดาบก็เดินหน้าราวหนึ่งฟุต ถึงแม้ไม่มาก แต่หลังจากสิบกว่าดาบแล้ว เถี่ยมู่เหอก็มิสามารถเปล่งประกายดาบแปลกพิสดารออกอีกต่อไปแล้ว เพราะระยะห่างของทั้งสองไม่เอื้ออำนวยแล้ว
ดวงตาของเถี่ยมู่เหอฉายแววเหลือเชื่อออกมาวูบหนึ่ง ดาบทลายนภากาศของตระกูลเถี่ยใกล้เคียงกับทักษะการต่อสู้ขอบเขตระดับฟ้า ยามเผชิญศัตรูมันใช้กระบวนท่าสังหารชุดใหญ่นี้น้อยยิ่ง เนื่องเพราะภายใต้ขอบเขตพลังระดับเดียวกันมิมีผู้ใดคู่ควรให้มันใช้ดาบ ครั้งนี้เริ่มแรกเขาคิดจะเก็บกระบวนท่าสังหารชุดนี้ไว้ใช้ตอนคัดเลือกใหญ่ เพื่อสร้างความสำเร็จอันยอดเยี่ยมในครั้งเดียว แต่ว่าเ้าคนไร้ยางอายตรงหน้าทำให้ตนมิ้าเห็นหน้าอีก ต่อให้เพียงครั้งเดียวก็ตาม ดังนั้นพอลงมือก็ใช้ท่าสังหาร คิดจะฆ่ามันในกระบวนท่าเดียว มันคิดไม่ถึงว่ากระบวนท่าสังหารของตนไม่สามารถส่งผลคุกคามใดๆ ต่ออีกฝ่าย ฝ่ายตรงข้ามดุจกำลังเต้นรำก็มิปาน เล็ดลอดผ่านช่องว่างประกายดาบเข้าใกล้ตนทีละก้าว เถี่ยมู่เหอเห็นแววตาหยอกล้อในสายตาจ้านอู๋มิ่ง เกิดความเดือดดาลขึ้นมาอีกครั้ง
“ดาบทลายนภากาศ…” เถี่ยมู่เหอคำรามเสียงต่ำคราหนึ่ง พริบตาเดียว ประกายดาบนับไม่ถ้วนรอบตัวมันก็ะเิเหมือนดั่งฝนตั๊กแตนเต็มท้องฟ้าก็มิปาน นภากาศเบื้องหน้าจ้านอู๋มิ่งทุกตารางนิ้วล้วนถูกปิดผนึกไว้ เฉกเช่นถูกตาข่ายดาบขนาดใหญ่ผืนหนึ่งครอบคลุมไว้
ฝูงชนที่ชมล้วนอุทานขึ้นพร้อมกับก้าวถอยหลัง ห่าฝนประกายดาบถึงแม้มิได้มุ่งไปที่พวกเขา แต่ก็คล้ายดั่งมีสภาวะแบ่งแยกฉีกกระชากิญญาชนิดหนึ่งก็ปาน ทำให้ทุกคนล้วนรู้สึกเหมือนมีคมดาบโจมตีใส่ตนเอง อดที่จะใจนถอยหลังมิได้
ปาจี๋และหลิ่วหว่านอวี๋อุทานขึ้นอย่างใ ยามนี้จ้านอู๋มิ่งห่างจากเถี่ยมู่เหอราวหนึ่งวาเท่านั้น จึงอยู่ในใจกลางตาข่ายดาบพอดี หากมีประกายดาบเพียงสายเดียว จ้านอู๋มิ่งบางทีอาจหลบพ้นอย่างง่ายดาย แต่ว่าตอนนี้แทบจะทุกตารางนิ้วล้วนมีประกายดาบ แล้วจะหลบพ้นอย่างไร?
ทุกคนล้วนคิดว่าจ้านอู๋มิ่งมิอาจหนีพ้นจุดจบจากดาบนับพันนับหมื่นเล่ม นี่ก็คือไม้ตายของเถี่ยมู่เหอ มีไม้ตายเช่นนี้ มิมีผู้ใดสงสัยว่าเถี่ยมู่เหอมีคุณสมบัติในการมีชื่อติดอยู่บนป้ายประกาศรายชื่อทองการคัดเลือกใหญ่
“กระบวนท่าดาบทลายนภากาศอันประเสริฐ!” จ้านอู๋มิ่งเองก็อดที่จะชื่นชมไม่ได้ ปรมาจารย์นักยุทธ์แปดดาวผู้หนึ่งมิเพียงพอที่จะใช้พลังสูงสุดของเคล็ดวิชานี้ หากเปลี่ยนเป็ตนเองในชาติภพก่อนหน้านี้ เพียงแค่ดาบเดียวเท่านั้นก็จะตัดนภากาศออกเป็ชิ้นๆ นับไม่ถ้วน จึงสามารถมีพลังทลายนภากาศแตกสลาย จะเห็นได้ว่าฝีมือการต่อสู้นี้ถึงระดับฟ้าแล้วจริงๆ สามารถสร้างกระบวนดาบเช่นนี้ได้ ต้องเป็บุคคลที่จะสะท้านใต้หล้าอย่างแน่นอน เขาจึงนึกถึงใครบางคนขึ้นมา ทอดถอนใจเล็กน้อยแล้วเขาก็ออกหมัด
จ้านอู๋มิ่งออกหมัดแล้ว เพียงแค่หมัดเดียว เรียบง่ายและซื่อตรง ไม่มีการเคลื่อนไหวใดที่เกินจำเป็ แต่ชั่วขณะที่เขาชกหมัดเคลื่อนออกไป กลับเหมือนัั์โผล่ออกมาจากท้องฟ้าตัวหนึ่ง หนึ่งหมัด ดูคล้ายดั่งเชื่องช้ายิ่งและก็คล้ายรวดเร็วจนน่าใ เนื่องเพราะหลายคนได้เห็นกระแสปราณก่อตัวขึ้นตรงเบื้องหน้าหมัด ดุจดั่งอุกกาบาตตกลงจากฟากฟ้า รวดเร็วจนบรรยากาศลุกเป็ไฟ
หมัดของจ้านอู๋มิ่งก็คือดาวหางดวงนั้น รอบหมัดเป็ชั้นของกระแสปราณที่เผาไหม้ด้วยความเร็วสูง
ถนนสายยาวเงียบกริบ ฝูงชนที่ดูได้ยินเสียงหมัด ร่างกายจ้านอู๋มิ่งได้รับผลกระทบจากหมัดนั้น เหมือนลูกข่างที่หมุนติ้ว กระแสปราณที่ลุกโชติ่สร้างเกราะป้องกันรูประฆังรอบๆ ตัวจ้านอู๋มิ่ง หมัดจ้านอู๋มิ่งรวดเร็วพอจะทะลุชั้นเสียง ขยับเคลื่อนไปทั้งร่างกายพุ่งเข้าปะทะกับดาบนับพันนับหมื่นเล่ม
“ตูมมม…” ร่างของจ้านอู๋มิ่งปะทะกับประกายดาบ ประดุจดอกไม้ไฟนับพันนับหมื่นสาดกระเซ็น เหมือนดาวหางพุ่งชนฝนดาวตก เกิดประกายพร่างพราวในดวงตา
ทุกคนล้วนใแล้ว พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อน ร่างกายคนผู้หนึ่งสามารถออกกระบวนท่าด้วยพลังอันน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ได้จริงๆ พลังของหมัดหนึ่งถึงกับสามารถทะลุทะลวงเจาะผ่านอากาศ พวกเขาคิดว่าพลังจิติญญาแห่งการต่อสู้เป็วิธีการโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดที่สามารถดึงพลังแห่งฟ้าดิน วันนี้พวกเขาพลันพบว่าการฝึกฌานบ่มเพาะพลังของจ้านอู๋มิ่งแตกต่างจากแนวทางการบ่มเพาะของพวกเขาโดยสิ้นเชิง พลังกายเนื้อของเขาสามารถทะลุทะลวงพลังฟ้าดิน แม้แต่ดาบทลายนภากาศที่ดูเหมือนสามารถทำลายทุกสิ่งก็ยังถูกทุบทำลายแตกสลายลงด้วยหมัดนี้เพียงหมัดเดียว
“ตูมมม…” เถี่ยมู่เหอยังมิสามารถออกท่าได้อีกดาบหนึ่ง หมัดของจ้านอู๋มิ่งก็กระแทกใส่หน้าอกมัน ถึงแม้จะเป็เพียงพลังหมัดที่หลงเหลือจากทำลายตาข่ายประกายดาบ ยังคงทำให้เถี่ยมู่เหอกระอักพ่นโลหิตออกมาพร้อมร่างกระเด็นออกไป
[1] เป็การเล่นคำ มู่เถาแปลได้ว่าตอไม้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้