เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วร้องไห้ไปพลางด่าทอไปพลางอยู่เช่นนั้น กำเสื้อผ้าชุดใหม่ของเยวี่ยเจาหรานเอาไว้แน่นเป็กระดาษซับน้ำมูก ทั้งน้ำตาน้ำมูกเปียกชุ่มไปหมด ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนถึงร้องไห้จนเหนื่อยแล้วหลับไปในอ้อมแขนของอีกคน เยวี่ยเจาหรานมองนางเป็เช่นนี้อย่างไม่อาจทนได้ เขาเองทั้งรู้สึกปวดใจและปวดเมื่อยไหล่คอที่ถูกพิงอยู่ตลอดเช่นกัน จึงอุ้มเ้าตัวกลับไปบนเตียงในห้องด้วยความเห็นใจ
เยวี่ยเจาหรานประคองเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วซุกเข้าไปในผ้าห่มอย่างเบามือ แล้วจึงถอยออกมาจากห้องอย่างเงียบเชียบ ไปจนถึงด้านนอกสุดของเรือน หลังจากแน่ใจแล้วว่าจะไม่รบกวนไปถึงเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่กำลังหลับสนิทอยู่ในห้อง เขาถึงได้มีเวลาทำความสะอาดน้ำมูกและน้ำตาบนเสื้อผ้าของตนอย่างระมัดระวัง
หลังจากจัดการปัญหาของตัวเองเสร็จ เยวี่ยเจาหรานก็ยังต้องเค้นสมองคิดแก้ไขปัญหาที่เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วทิ้งไว้ เื่ของอาจารย์อวี้เป็เื่ที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ ไม่อาจชักช้าได้อีกแม้เพียงชั่วครู่ ไม่เช่นนั้นตอนที่ไม่มีใครคาดคิดเดี๋ยวอาจารย์อวี้ก็ได้ส่งฎีการ้องเรียนไปให้เบื้องบน สร้างความลำบากให้จวนเยี่ยนไม่ได้อยู่อย่างสงบสุขอีกครั้ง
ความจริงแล้วเพื่อให้ตนและเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วสะดวกในการจัดการความสัมพันธ์กับอาจารย์อวี้อย่างเหมาะสม เยวี่ยเจาหรานจึงทำการบ้านมาไม่น้อย ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่รู้ว่าอาจารย์อวี้แพ้ถั่วลิสงเช่นนี้หรอก และก็คงไม่มีโอกาสได้เล่นตุกติกกับเื่นี้ จนทำให้สวี่ชิวเยวี่ยเงียบปากไปได้อย่างว่าง่ายอีกด้วย
และในข้อมูลมากมายเกี่ยวกับอาจารย์อวี้นั้น งานอดิเรกที่ชัดเจนที่สุดอย่างหนึ่งของเขา นั่นคือสะสมภาพเขียน ท่ามกลางภาพเขียนเ่าั้ ที่อาจารย์อวี้ชื่นชมมากที่สุดก็คือผลงานของถังหยิน [1] ไม่เพียงมีภาพอักษรวิจิตรหลายภาพเป็ของสะสมสุดรักสุดหวงอยู่ที่บ้านเท่านั้น เขายังไม่อาจอดใจกับสินค้าปลอมเหมือนจริงที่แพร่หลายไปทั่วอีกด้วย...
เยวี่ยเจาหรานนั่งลงที่โต๊ะ ตรึกตรองอยู่นานแต่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ถึงได้เห็นชุ่ยเชี่ยวสาวใช้กำลังย่องเข้ามาในเรือนท่าทางลับๆ ล่อๆ และเดินเข้ามาหา
“คุณชาย...” เสียงของชุ่ยเชี่ยวนั้นกดลงจนเบามาก ดูจากอารมณ์บนใบหน้าก็รู้ได้ว่านางไม่ค่อยได้ทำเื่ไม่ดีเช่นนี้สักเท่าไร จนแทบอยากจะเขียนคำว่า ‘ข้าคือหัวขโมย’ ไว้บนใบหน้าที่มืดมนของตนให้รู้แล้วรู้รอดไป
เยวี่ยเจาหรานเก็บความขัดใจของตนเอาไว้ หลังจากถอนหายใจอย่างเงียบๆ ถึงเอ่ยถาม “ได้มาแล้วหรือไม่?”
ชุ่ยเชี่ยวพยักหน้าอย่างรวดเร็ว พลางเอ่ยเสียงเบา “ได้มาแล้วอยู่หรอกเ้าค่ะ แต่ว่าคุณชาย นี่ไม่ใช่ของปลอมหรอกหรือเ้าคะ?” สีหน้าอันจริงใจอย่างไม่รู้เหนือรู้ใต้ของชุ่ยเชี่ยว ทำเอาเยวี่ยเจาหรานมันเขี้ยวขึ้นมา เขายกมือขึ้นแล้วยีหัวชุ่ยเชี่ยวจนกระเซอะกระเซิง
“พูดอะไรไร้สาระ ก็ต้องเป็ของปลอมอยู่แล้ว ถ้าไม่มีของปลอมแล้วจะสับเปลี่ยนของจริงมาได้อย่างไรเล่า? เ้าจะให้ข้าเอาหนังหน้าตัวเองไปติดไว้ที่ห้องหนังสือของท่านพ่อข้าแทนหรืออย่างไร?!”
เยวี่ยเจาหรานตำหนิเสียงเบาและทำให้ชุ่ยเชี่ยวเข้าใจแผนของนายน้อยของตนในที่สุด เขาคิดจะใช้ “ภาพวิจิตรขุนเขา” ที่เลียนแบบได้ไม่เลวภาพนี้ใช้ความประมาทในความเคยชินของเ้าของไปขโมยขื่อเปลี่ยนเสา [2] สับเปลี่ยนกับของจริงสุดหวงของบิดาภาพนั้นที่อยู่ในบ้านของตนมา...
สำหรับสับเปลี่ยนมาทำอะไรนั้น? แน่นอนว่าเพื่อให้เ้าตัวการจอมจุ้นเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่กำลังนอนหลับอุตุเอาไปพูดโน้มน้าว เกลี้ยกล่อมให้อาจารย์อวี้อย่าได้กลั่นแกล้งกัน สุมไฟความเบาะแว้งของทั้งสองให้มากไปกว่านี้เลย!
นายบ่าวสองคนแอบย่องออกจากจวนเยี่ยน และเข้าไปในจวนเยวี่ยอย่างลับๆ ดำเนินการตามแผน ในที่สุดก็ขโมย “ภาพวิจิตรขุนเขา” ของแท้ที่เยวี่ยเจาหรานเล็งไว้ออกมาได้ ระหว่างทางที่นั่งรถม้ากลับจวนเยี่ยน ชุ่ยเชี่ยวก็ยังไม่อาจอดกลั้นความสงสัยไว้ได้ จึงชะโงกตัวเข้าไปถามโดยไม่ทันได้สังเกต “คุณชาย ท่านคิดว่า นายท่านจะมองออกหรือไม่ว่าภาพนั้นเป็ของจริงหรือปลอม?”
กาไหนน้ำไม่เดือดหยิบกานั้น [3] เป็ฉันใด ชุ่ยเชี่ยวผู้นี้ก็เป็ไปตามสำนวนฉันนั้น! เยวี่ยเจาหรานย่อมรู้ดีว่าไม่อาจปิดปกไว้ได้นานนัก ขอแค่ยืดเวลาไปได้วันต่อวันก็พอแล้ว หากถูกมหาบัณฑิตเยวี่ยพบว่าภาพนั้นเป็ของปลอม จะต้องพลิกแผ่นดินหาทั้งจวนเยวี่ยแน่นอน!
แต่เยวี่ยเจาหรานยังมีหนทางอื่นอีกหรือ? หากเื่นี้ไม่สามารถช่วยเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วแก้ไขปัญหาได้ด้วยดี ต่อให้พลิกผืนดินทั้งจวนเยวี่ยก็แก้ไขไม่ได้
ตอนนี้เื่น่ายินดีสักหน่อยเพียงอย่างเดียวก็คือ แม้มหาบัณฑิตเยวี่ยจะยกถังหยินให้อยู่ในดวงใจของตน แต่ผู้ที่เขาชื่นชอบมากที่สุดในดวงใจนั้นคือผู้ที่เป็หนึ่งในสี่ยอดกวีแห่งเจียงหนานเช่นเดียวกัน [4] เหวินเจิ้งิต่างหาก นอกจากนี้ “ภาพวิจิตรขุนเขา” ก็ไม่นับว่าเป็ผลงานที่มหาบัณฑิตเยวี่ยนำออกมาดูบ่อยนัก แขวนไว้บนผนังจนฝุ่นเกาะเต็มไปหมด
ดังนั้น เยวี่ยเจาหรานจึงเลือกมาภาพนี้มาอย่างรอบคอบ และในตอนที่ขโมยภาพออกมาได้แล้วก็ยังไม่ลืมแขวนภาพปลอมชิ้นนั้นขึ้นไปใหม่พร้อมโปรยขี้เถ้าลงไป้าไม่น้อยเพื่อความสมจริง...
สำหรับคำถามของชุ่ยเชี่ยวนั้น ที่เยวี่ยเจาหรานสามารถทำได้ก็คือการปิดปากเงียบ แกล้งตายไม่ได้ยิน อย่างไรเสียก็มีแต่ต้องทำเช่นนี้ เขาถึงจะฝืนอดกลั้นความเสียใจที่คับอยู่ในอกของตนได้ เพื่อให้มั่นใจว่าตนจะไม่วิ่งกลับไปที่จวนเยี่ยนเอาภาพจริงภาพปลอมสลับกลับมาอีกครั้ง
เมื่อชุ่ยเชี่ยวเห็นคุณชายของตนเมินเฉย ก็ไม่กล้าถามมาก ทำได้เพียงปิดปากเงียบอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว แล้วเลิกม่านหน้าต่างมองทิวทัศน์ที่ผ่านไปเรื่อยๆ นอกรถม้า
กลับมาที่จวนเยี่ยน เยวี่ยเจาหรานจัดการอย่างง่ายๆ แล้วรีบไปยังห้องของอาจารย์อวี้ หลังจากลังเลอยู่ที่ประตูพักใหญ่ ในที่สุดก็กำมือที่ถือ “ภาพวิจิตรขุนเขา” เอาไว้แน่น แล้วเคาะประตูไม้แกะสลักเบาๆ จากนั้นจึงรอคอยเสียงเชิญจากข้างในอย่างสงบนิ่ง
เมื่อเสียงของอาจารย์อวี้ดังเข้ามาในหูของเยวี่ยเจาหราน แผ่นหลังของเขาก็ผุดเหงื่อเย็นออกมาแล้วไม่น้อย นั่นก็บ่งบอกความน่ากลัวของอาจารย์อวี้กับความหวั่นวิตกและกังวลในเื่นี้ของเยวี่ยเจาหรานได้อย่างชัดเจน อย่างไรเสียหากไม่สำเร็จก็มีแต่จบเห่ ในเื่การติดสินบน ทำดีเฟื่องฟูเพียงชั่วพริบตา แต่หากทำไม่ดีก็เหมือนหันมีดเข้าตัว...
“ท่านอาจารย์อวี้...” เยวี่ยเจาหรานเปิดประตูออกด้วยความเคารพ ยังไม่ทันเดินไปถึงเบื้องหน้าของอาจารย์อวี้ ก็โค้งตัวลงและหดม้วนภาพในมือเก็บแนบไปข้างหลัง ราวกับอยากจะสร้าง ‘ความประหลาดใจ’ ให้กับอาจารย์อวี้
เมื่ออาจารย์อวี้ที่กำลังนั่งเขียนอะไรบางอย่างอยู่ที่โต๊ะเห็นว่า ‘เยวี่ยเยียนหราน’ มาก็ขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าค่อนข้างงุนงง แต่เพียงชั่วครู่เขาก็จัดการกับสีหน้าได้ ไม่รู้ว่าเป็เพราะรู้สึกตัวแล้ว หรือว่าแกล้งทำเป็รู้กันแน่
เยวี่ยเจาหรานไม่กล้าเคลื่อนไหวโดยพลการ แต่สายตากลับเหลือบมองกระดาษที่วางอยู่บนโต๊ะของอาจารย์โดยไม่ได้ตั้งใจ เห็นคำว่าเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเคารพครูบาอาจารย์อะไรสักอย่างอยู่รางๆ ในใจก็เริ่มคาดคะเน อย่างไรก็ตาม อาจารย์ที่โดนลูกศิษย์ยั่วโมโหจนเดินแขนเสื้อสะบัดไปนั้นคงไม่ตั้งใจเขียนจดหมายชมเชยว่าเขาเป็คนเคารพครูบาอาจารย์ส่งขึ้นไปหรอกกระมัง?
พูดเช่นนั้นออกไป แม้แต่เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเองก็ยังไม่อยากจะเชื่อ...
อาจเป็เพราะสังเกตได้ถึงความเคลื่อนไหวของเยวี่ยเจาหราน อาจารย์อวี้จึงปิดกระดาษที่ตนเขียนอย่างสงบเยือกเย็น แล้วเอ่ยถามอย่างสุขุม “ฮูหยินน้อยเยี่ยน มาคราวนี้มีธุระอะไรหรือ?”
เยวี่ยเจาหรานเองก็ได้สติกลับมาด้วยพูดนั้นเอง เขารีบโค้งคำนับอาจารย์อวี้ แล้วเอ่ยตอบอย่างสุภาพนอบน้อม “ที่ข้ามาครานี้แท้จริงแล้วมีเื่อยากจะขอร้องท่านอาจารย์อวี้ และหวังว่าท่านอาจารย์อวี้จะเห็นแก่มหาบัณฑิตเยวี่ยบิดาข้า ไว้หน้าหญิงสาวผู้นี้...”
อาจารย์อวี้เพียงแค่นเสียงฮึออกมาแล้วจึงลุกขึ้น เดินอ้อมเยวี่ยเจาหรานไปด้านข้าง ย่างก้าวสุขุมเยือกเย็น แต่น้ำเสียงกลับค่อนข้างดูแคลนอย่างเห็นได้ชัดทีเดียว “แม่นางที่ข้าไม่รู้ว่าควรจะเรียกว่าฮูหยินน้อยเยี่ยนหรือคุณหนูใหญ่เยวี่ยผู้นี้ เ้า… กำลังขุ่มขู่ข้าเช่นนั้นหรือ?”
เชิงอรรถ
[1] ถังหยิน (唐寅) คือนักอักษรวิจิตรและกวีแห่งราชวงศ์ิ เป็หนึ่งในผู้ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของศิลปะจีน
[2] ขโมยขื่อเปลี่ยนเสา (偷梁换柱) หมายถึงการใช้กลอุบายนำของเทียมไปสับเปลี่ยนกับของจริง
[3] กาไหนน้ำไม่เดือด หยิบกานั้น (哪壶不开提哪壶) หมายถึงการทำเื่ที่ไม่ควรทำ หรือพูดเื่ที่ไม่ควรพูด
[4] สี่ยอดกวีแห่งเจียงหนาน (江南四大才子) เป็จิตรกรและนักกวีมากฝีมือที่อาศัยอยู่ในเจียงหนาน (แถบซูโจว มณฑลเจียงซูในปัจจุบัน) และมีชื่อเสียงอย่างมากในราชวงศ์ิ ทั้ง 4 คนได้แก่ ถังหยิน (ถังป๋อหู่) 唐寅 (唐伯虎) / จู้อวิ่นิ (จู้จือซาน) 祝允明 (祝枝山) / เหวินเจิ้งิ 文征明 และสวี่เจิงชิง 徐祯卿