คนร้ายที่จับเหล่าไท่ไท่สูงประมาณเจ็ดฉื่อครึ่ง น้ำเสียงแหบแห้งไม่รื่นหู หากไม่ใช่เสียงโดยกำเนิด ก็คงจงใจปิดบังเสียงที่แท้จริง ดูจากลักษณะลูกกระเดือก สีผิวและรูปร่าง คนผู้นี้น่าจะเป็บุรุษอายุสามสิบปีขึ้นไป
เหอตังกุยสังเกตเห็นประกายแสงสีม่วงในดวงตาสีแดงของเขา บางทีนี่อาจเป็ “เขา” ที่ฉานอีพูดถึง หากไม่มีดวงตาสีม่วงมาแต่เกิด เป็ไปได้สูงว่าอาจเกิดจากการฝึกฝนวรยุทธ์ชั่วร้าย หลังถูกปีศาจเข้าสิงจึงต้องดูดกินเืคนเป็อาหาร ทว่าเหอตังกุยไม่ได้ใส่ใจสิ่งเหล่านี้มากนัก ขณะนี้สิ่งเดียวที่นางอยากรู้มากที่สุดคือ...
“รีบพูดมา เ้าเอาหน้ากากมาจากที่ใด?” เหอตังกุยลุกขึ้นพลันก้าวไปหาผีดูดเืตนนั้นอย่างรวดเร็ว น้ำเสียงของนางแฝงความกังวลไม่น้อย เหตุใดเขาจึงสวมหน้ากากที่ตนแอบซ่อนไว้?
หน้ากากชิ้นนี้ทำจากกระดาษเถาจือ ลักษณะเฉพาะของหน้ากากทำมือคือทุกชิ้นจะแตกต่างไม่เหมือนใคร เหอตังกุยจึงค่อนข้างแน่ใจว่าหน้ากากนี้เป็หน้ากากที่นางซื้อจากเมืองตู้เอ๋อร์ ตอนนั้นเกาเจวี๋ยยืนกรานจะชดใช้ปิ่นไม้ที่เขาทำเสียหาย นางจึงขอเงินจากเขาสิบห้าเหวินเพื่อซื้อหน้ากากหลากสีสันห้าชิ้น นางเก็บสีเหลืองไว้และมอบอีกสี่ชิ้นเป็ของขวัญให้แก่เกาเจวี๋ย หน้ากากสีเหลืองชิ้นนี้แขวนอยู่ในห้องของนางมาตลอด บ่ายวันนี้ก่อนนางออกจากห้องยังเห็นมันแขวนอยู่ เหตุใดตอนนี้ไปอยู่บนหน้าผีดูดเืได้เล่า?
หรือผีดูดเืจะไปที่เรือนเถาเหยา? เขาไปทำอะไร? ฉานอีและไฮว่ฮวายังสบายดีใช่หรือไม่? ชายสวมหน้ากากคงไม่ยอมตอบนางเป็แน่ เหอตังกุยร้อนใจยิ่งนักพลันวิ่งตรงไปกลางห้องโถง แทบอดใจรอถอดหน้ากากของเขาไม่ไหว ก่อนคว้าคอเสื้อของเขาแล้วเอ่ยถามว่าเขาดูดเืคนที่ควรดูดหรือไม่?
ทว่าก่อนนางจะไปถึง แขนก็ถูกรั้งไว้โดยใครบางคน เหอตังกุยหันมองทันทีก่อนพบว่าคนผู้นั้นคือเมิ่งเซวียน นางสะบัดแขนด้วยความโกรธพลันผลักเขาออกจากตัว แต่เมิ่งเซวียนไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย เหอตังกุยกลับรู้สึกว่าร่างกายของนางคล้ายถูกกำแพงอากาศตีกลับก็ไม่ปาน หากอีกฝ่ายไม่จับแขนของนางไว้ บางทีนางอาจกระเด็นหรืออาจถึงขั้นปลิวออกไปก็เป็ได้ ชั่วขณะนั้นเท้าทั้งสองข้างของนางลอยสูงจากพื้น แต่แขนกลับถูกเมิ่งเซวียนจับแน่น ร่างกายนางจึงเปรียบเสมือนว่าวที่ถูก “ชัก” ด้วยเมิ่งเซวียน
เมิ่งเซวียนเผลอเขย่าตัวสาวน้อยจนปลิว ก่อนเขาจะรีบดึงตัวนางกลับเข้ามาในอ้อมกอดด้วยความเคยชิน ทุกการกระทำเกิดขึ้นภายใต้แสงไฟ คนอื่นจึงเห็นคุณชายเมิ่งสวมกอดคุณหนูสาม หากไม่ใช่เพราะเหล่าไท่ไท่ถูกคนร้ายจับเป็ตัวประกันจนตื่นตระหนก เกรงว่านางคงตื่นเต้นไม่น้อยเป็แน่
แต่ขณะนี้แม้คุณชายเซวียนจะกอดคุณหนูฉยง เหล่าไท่ไท่ก็ดีใจไม่ออก...ชายสวมหน้ากากแผ่ไอเ็าและเดือดดาล ทำให้นางกลัวยิ่งนัก...ความกลัวเหล่านี้ยิ่งใหญ่กว่าความตายเสียด้วยซ้ำ
เหล่าไท่ไท่รู้สึกเพียงมือที่กำลำคอของนางนั้นเย็นเยียบราวก้อนน้ำแข็ง ทำให้นางตัวสั่นเทาและหายใจลำบาก เนี่ยชุนคอยปกป้องนางตลอดเวลา แต่ไหนแต่ไรมาจึงไม่เคยเจอเหตุการณ์เลวร้ายเช่นนี้ แต่วันนี้เนี่ยชุนกลับไม่อยู่ ทั้งยังมีชายสวมหน้ากากน่าหวาดกลัวเข้ามาในห้องโถงอีก แม้ชายคนนั้นจะพูดเพียงประโยคเดียว เหล่าไท่ไท่ก็ััได้ว่าเขาเป็นักฆ่าที่โเี้ สามารถสังหารคนได้โดยไม่กะพริบตา ไม่ว่าจุดประสงค์ของการลักพาตัวคืออะไร ทว่าก็ยากจะจินตนาการว่านางจะสามารถหนีรอดจากเงื้อมมือปีศาจได้ เหล่าไท่ไท่ครุ่นคิดด้วยความหดหู่ วันนี้นางจะตายหรือไม่... ไม่ได้ นางยังมีความลับยิ่งใหญ่ที่ต้องบอกแก่ครอบครัวอย่างลับ ๆ มิฉะนั้นนางก็คงไม่มีหน้าไปพบหลัวตู้จ้งในปรโลก แม้ตายก็ตายตาไม่หลับ
เหอตังกุยปลิวออกไปก่อนถูกดึงกลับมาจนสุดท้ายก็โผเข้าอ้อมแขนของเมิ่งเซวียน จมูกซีกหนึ่งของนางพลันเ็ป ความรู้สึกอุ่น ๆ ไหลออกจากจมูก เมื่อมองคอเสื้อปักลายดอกบัวสีเขียวก็พบว่าดอกไม้สีเขียวงามสดใสกลายเป็ดอกไม้สีแดงฉานเสียแล้ว เหอตังกุยได้สติทันที หน้าอกของเด็กสมควรตายผู้นี้ทำให้จมูกของนางเืไหล
“นี่ ปล่อยข้า ปล่อย ข้าบอกว่าปล่อย”
“…” เมิ่งเซวียนไม่ตอบพลางคลายมือออก ส่งผ้าเช็ดหน้าสีขาวปักดอกบัวสีเขียวให้นาง ทว่าเหอตังกุยกลับปิดจมูกไว้โดยไม่ยอมรับผ้าเช็ดหน้าผืนนั้น นาง้าหลีกเลี่ยงอุปสรรคขวางทางและตั้งคำถามกับชายสวมหน้ากากต่อว่าเขาทำร้ายสาวใช้ทั้งสองของนางหรือไม่
เมื่อเมิ่งเซวียนเห็นดังนั้นก็จับคางแหลมของอีกฝ่ายด้วยมือข้างเดียว ก่อนใช้มืออีกข้างหยิบผ้าเช็ดหน้าปิดจมูกของนางพร้อมกดจุดห้ามเื แต่สาวน้อยผู้นี้ไม่เพียงไม่ซาบซึ้ง ซ้ำยังทุบตีหน้าอกของเขาไม่หยุดหย่อน เมิ่งเซวียนไม่รู้ว่านางตั้งใจหรือไม่ เพราะทุกส่วนที่นางตีนั้นคือจุดฝังเข็มฉีเหมินและจุดฝังเข็มจางเหมินซึ่งเป็จุดที่เ็ปที่สุด กำลังที่นางใช้ก็มหาศาล หากไม่มีลมปราณเจินชี่ปกป้องร่างกาย เขาต้องถูกนางตีจนกระอักเืแน่นอน
เผิงเจี้ยนที่มองดูจากด้านข้างขัดหูขัดตายิ่งนัก อยากเข้าไปหยุดมืองามราวหยกของคุณหนูสามที่ทุบตีหน้าอกเ้าเด็กเหม็นเมิ่งเซวียน แต่เผิงสือห้ามไว้พลางกระซิบข้างหูเบา ๆ ก่อนสงบสติอารมณ์ของเผิงเจี้ยนได้สำเร็จ
หลังเมิ่งเซวียนหยุดเืได้สำเร็จ ขณะคิดจะเก็บผ้าเช็ดหน้าเปื้อนเืกลับเข้าอกเสื้อก็พลันชะงัก ก่อนหันกลับไปยัดผ้าเช็ดหน้าใส่อกเสื้อของเหอตังกุย
เหอตังกุยถลึงตามองมือที่ดึงปกเสื้อคลุมของนางพลางยัดผ้าเช็ดหน้าเปื้อนเืโดยไม่มีคำอธิบายใด นางจึงเอ่ยอย่างเดือดดาล “ยัดให้ข้าทำไม?” เมิ่งเซวียนเอ่ยอย่างเป็ธรรมชาติ “เ้าทำมันสกปรก ข้าจึงไม่้ามันแล้ว” เหอตังกุยถลึงตามองก่อนเอ่ย “หากเ้าไม่้าก็โยนมันทิ้งเถอะ” ทว่าอีกฝ่ายกลับตอบอย่างกลัดกลุ้ม “มารดาข้าเป็ผู้ปักดอกบัวสีเขียวบนผ้านั้น ข้าโยนทิ้งไม่ได้” หลังเหอตังกุยได้ยินก็ทั้งโกรธและนึกขำ เ้าเด็กคนนี้เป็ลูกชายกตัญญูแต่การที่เขายัดมันให้นางไม่เท่ากับโยนทิ้งหรือ?
ทันใดนั้นเมิ่งเซวียนก็โน้มใบหน้าหล่อเหลาเข้าใกล้นางช้า ๆ... เมื่อใบหน้ามีเสน่ห์ของเขาเข้าใกล้ เหอตังกุยก็เผลอถอยโดยไม่รู้ตัว ทว่ามือของอีกฝ่ายกลับโอบรัดเอวของนางไว้ เวลาคล้ายจะผ่านไปช้าทว่ากลับเร็วกว่าที่คิด ริมฝีปากบางสีแดงของเขาััแก้มของเหอตังกุย ลมหายใจอุ่นเป่าขนตาของนางเล็กน้อย นางจึงหลับตาลงโดยสัญชาตญาณ...
เมิ่งเซวียนกระซิบข้างหู “ชายในห้องโถงเป็ยอดฝีมือ เขาสามารถปลิดชีพคนได้ในสิบก้าว สตรีเช่นเ้าคงเป็ศพก่อนเข้าใกล้เขาด้วยซ้ำ”
เมื่อเหอตังกุยได้ยินดังนั้นก็ใทันที นางหันหน้ามาหาเขาพลางเอ่ยกระซิบ “เ้ารู้ได้อย่างไรว่าเขามีกำลังภายในมากเพียงใด หรือเ้ารู้ว่าเขาเป็ใคร?”
เมิ่งเซวียนส่ายหัวก่อนเอ่ย “ข้าััจากลมหายใจของเขาเท่านั้น เขาคือชายที่ซ่อนตัวบนหลังคา เมื่อพิจารณาจากแววตาและไอสังหาร ทักษะของเขาต้องอยู่ในประเภทที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้เป็แน่ เป็ไปได้สูงที่เขาจะฝึกฝนวิชาเหมียวชื่อ” เมื่อเห็นสาวน้อยจะเอ่ยถามบางอย่าง เขาก็คาดว่านางจะถามอะไรจึงพูดต่อ “แม้ข้าจะอธิบายอย่างไร เ้าก็คงไม่เข้าใจวิชาเหมียวชื่อ มันเป็วิชาชั่วร้ายที่หาได้ยากในใต้หล้า เมื่อฝึกฝนก็จำเป็ต้องดูดเืสด โดยเืสด ๆ ของมนุษย์นั้นถือว่าดีที่สุด หลังฝึกฝนจนแข็งแกร่ง กำลังภายในจะเพิ่มเป็สองเท่า สามารถข้ามไปถึงจุดที่คนทั่วหล้าต้องตกตะลึง คนผู้นั้นจะสามารถแยกหินและเหล็กได้ด้วยฝ่ามือเดียวเท่านั้น แล้วนับประสาอะไรกับสมองของเ้า” แท้จริงแล้วเมิ่งเซวียนจงใจพูดเกินจริงไปหลายส่วน เขา้าให้สาวน้อยผู้นี้หวาดกลัวและเข้าใจว่าเขาเป็ผู้ช่วยชีวิตนาง อาจทำให้นางเกรงใจและไม่ใช้มือน้อย ๆ กระชากคอเสื้อผู้มีพระคุณเช่นนี้แน่
แต่เหอตังกุยกลับไม่หวาดกลัว นางคิดว่าไม่ใช่เื่ผิดปกติอันใดหากจะดึงคอเสื้อเด็กหนุ่มวัยสิบกว่าปี เหอตังกุยครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนกระซิบ “แปดวันก่อนมีอีกาจำนวนมากเสียชีวิตในตระกูลหลัว พวกมันถูกฆ่าโดยการฉีกเป็ชิ้น ๆ วันรุ่งขึ้นก็มีผู้คุ้มกันถูกดูดเืจนหมดร่างแล้วโยนทิ้งในสวนดอกไม้ เนี่ยชุนไปตรวจสอบเื่นี้ทว่าั้แ่นั้นก็ยังไม่เห็นเขากลับมา ผีดูดเืตนนี้ต้องอาศัยในจวนตระกูลหลัวเป็เวลาสักพักแล้วแน่นอน แต่เหตุใดเขาต้องจับเหล่าไท่ไท่? หาก้าดูดเืก็มีคนมากมายในสวนดอกไม้ หาก้าสมบัติ ด้วยวิชาตัวเบาของเขาคงไม่มีอะไรที่จะขโมยไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ฐานะของเหล่าไท่ไท่ก็ไม่ธรรมดา สี่องครักษ์ตระกูลหลัวก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน”
“เื่นี้ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน” ขณะเมิ่งเซวียนส่ายศีรษะ ริมฝีปากพลันััใบหูงดงามราวหยกของเหอตังกุยโดยบังเอิญ ทั้งสองนิ่งงันชั่วขณะ ต่างฝ่ายต่างปลอบใจตัวเองว่าไม่เป็ไร เขา (นาง) เป็เพียงเด็กตัวเล็ก ๆ เท่านั้น หลังปลอบใจตัวเองเสร็จสิ้น เมิ่งเซวียนก็เอ่ยเสียงเบา “ข้าเดาว่ามันเกี่ยวข้องกับทหารและขุนนางนอกจวนตระกูลหลัว”
“เ้าหมายถึงขุนนางและทหารเ่าั้มาที่นี่เพื่อจับกุมชายคนนี้หรือ?” เหอตังกุยคิดไม่ถึงว่าเด็กผู้นี้จะคิดเช่นเดียวกับนาง
ริมฝีปากบางของเมิ่งเซวียนยกขึ้นเล็กน้อย ยังไม่ทันจะเอ่ยกลับรู้สึกว่าคอเสื้อด้านหลังถูกใครบางคนจับไว้ก่อนกระชากออก ใบหน้าของเหอตังกุยพลันค่อย ๆ เล็กลง ทว่าใบหน้าของเผิงเจี้ยนกลับปรากฏแทนที่ ก่อนตวาดกร้าวอย่างดุร้าย “เ้าเด็กสมควรตาย เ้าไม่อยากมีชีวิตแล้วใช่หรือไม่?”
เมิ่งเซวียนแค่นเสียงเ็าขึ้นจมูกก่อนเอ่ยตอบ “เ้าเห็นว่าข้ากอดคุณหนูสามไม่ปล่อยได้อย่างไร?” กล่าวจบก็ชี้คอเสื้อของตนที่ถูกสาวน้อยผู้นั้นจับไม่ยอมปล่อย
ขณะทั้งสองโต้เถียงกัน เหอตังกุยจึงถือโอกาสเดินอ้อมพวกเขาพลางก้าวไปข้างหน้า มองตรงไปยังชายสวมหน้ากาก ก่อนพยายามต่อรอง “ท่านจอมยุทธ์ หากท่านบอกข้าว่าท่านได้หน้ากากนี้มาจากที่ใด ข้าก็จะบอกว่าท่านจะออกจากจวนตระกูลหลัวอย่างปลอดภัยได้อย่างไร”
เกิ่งปิ่งซิ่วมองปราดเดียวก็จำสาวน้อยตัวเล็กได้ นางไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็คุณหนูเหอผู้ฟื้นคืนชีพที่เขาเคยพบในวัดสุ่ยซังเมื่อต้นเดือน แม้ตอนนี้ใบหน้าของนางจะซีดเล็กน้อย ไม่งดงามและโดดเด่นเหมือนก่อน แต่เขาจำแววตามีเสน่ห์คู่นั้นได้ แม้จะไม่รู้จักนางอย่างละเอียด แต่สัญชาตญาณและประสบการณ์ที่เขาสั่งสมมาตลอดหลายปีก็สามารถบอกได้ว่าสาวน้อยผู้นี้แปลกประหลาดนัก นางไม่เหมือนคนธรรมดาทั่วไป หลายครั้งที่เขาหวาดกลัวนางอย่างบอกไม่ถูก
แท้จริงแล้วการที่เขามายังเมืองหยางโจวอีกครั้งก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับสาวน้อยผู้นี้อยู่บ้าง
่ต้นเดือนเขานำลูกน้องแปดนาย รวมถึงยอดฝีมือสามร้อยคนจากหน่วยทหารก่วงเว่ยไปยังหยางโจวเพื่อตามหาไป๋หยางไป่ผู้ที่ฮ่องเต้้าดึงเป็พวกมากที่สุด ตามที่สายข่าวรายงาน พวกเขาจึงค้นหาในเมืองตู้เอ๋อร์มาโดยตลอด ครั้งนั้นพวกเขาได้พบซู่เซียวเซียวนักโทษหลบหนี “คดีหูเว่ยหยง” เมื่อสิบปีก่อน ดังนั้นพวกเขาจึงวางกำลังอย่างแ่าเพื่อจับกุมสตรีผู้นี้ เมื่อใกล้จะสำเร็จ เด็กชายสวมหน้ากากสีเงินก็โผล่มาช่วยซู่เซียวเซียว ทำให้พวกเขาล้มเหลวในที่สุด โชคดีที่ก่อนอีกฝ่ายจะหลบหนี เจี่ยงอี้ใช้เข็มพิษจินม่ายแทงไหล่ซ้ายของเด็กชายคนนั้น โดยยาแก้พิษเข็มจินม่ายนั้นมีเพียงเจี่ยงอี้ที่
จากการวิเคราะห์ เด็กชายหน้ากากเงินผู้นี้น่าจะเกี่ยวข้องกับ “คดีหูเว่ยหยง” ตอนนี้เขาถูกวางยาพิษ แน่นอนว่าเขาต้องกลับมาขโมยยาแก้พิษ พวกเขาจึงต้องหว่านแหฟ้าตาข่ายดิน[1]จับกุมตัวนักโทษผู้นี้อีกครั้ง คิดไม่ถึงว่าวันรุ่งขึ้นพวกเขาทั้งเก้าจะถูกเด็กชายสวมหน้ากากเงินเล่นงานเหมือนหุ่นเชิด พวกเขาไม่เพียงตกหลุมพรางเท่านั้น ซ้ำยังสูญเสียยาแก้พิษทั้งหมดให้อีกฝ่าย ขณะพวกเขาต่อสู้กับเด็กชายหน้ากากเงิน ด้วยจำนวนที่มากกว่าจึงสามารถเอาชนะเด็กชายหน้ากากเงินได้ เด็กผู้นั้นต้องหนีเอาตัวรอดไปยังูเาแห้งแล้งนอกเมืองด้วยอาการาเ็สาหัส พวกเขาจึงขึ้นูเาเพื่อค้นหา แต่เพื่อปกปิดร่องรอยจึงต้องอาศัยในวัดสุ่ยซัง จากนั้นก็ได้พบหญิงสาวแปลกประหลาดผู้นั้น
ลู่เจียงเป่ยบอกว่าสตรีเด็กคนนั้นพบหลักฐานคดีของแม่ชีไท่เฉิน เขาจึงเริ่มสนใจในตัวนาง วันรุ่งขึ้นต้วนเสี่ยวโหลวบอกว่าเขา้าช่วยสตรีเด็กผู้นั้นตามหาจี้ทอง เกิ่งปิ่งซิ่วแอบฟังแผนการของพวกเขาจึงรู้ว่าพวกเขาวางแผนจุดไฟในห้องครัวและล่อเสือออกจากถ้ำ...โดยสาวน้อยผู้นั้นเป็ผู้เสนอแผนการนี้...เขาซ่อนตัวในตรอกหลังห้องครัวก่อนเวลาเพื่อแอบดูขั้นตอนการตามหาจี้ทองของนาง
เมื่อเห็นท่าทีนิ่งสงบขณะจัดการเื่ราวต่าง ๆ อีกทั้งการตัดสินใจที่แน่วแน่และท่าทางสูงส่งของนาง เขาไม่เชื่อว่านางเป็เด็กหญิงอายุสิบขวบ แม้แต่สตรีอายุสามสิบกว่าปีที่เขาเคยเห็นเช่นสนมจ้าวและสนมเจิ้ง ทั้งคู่ต่างเคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับแผนการในวังหลวงก่อนที่พวกนางจะเปี่ยมไปด้วยสง่าราศีเช่นในปัจจุบัน แทบไม่สามารถจินตนาการได้ว่ามีสาวน้อยผู้ผ่านโลกมากมายเกิดมาพร้อมความสง่างามและเปี่ยมความสามารถเช่นนี้
สิ่งที่เขากลัวที่สุดคือสายตาที่นางมองแม่ชีไท่ซั่น ขณะตรอกหลังห้องครัววัดสุ่ยซังเกิดเพลิงไหม้ ภายใต้แสงไฟและแสงจันทร์ เขาเห็นดวงตาสดใสและเ็ามองตรงไปยังแม่ชีไท่ซั่น ยากจะบอกว่านางมีความสุขหรือเศร้า แววตาคู่นั้นเสมือนาาสัตว์ผู้สูงส่งจ้องมองเหยื่อจากที่สูง ราวเทพธิดาผู้สูงศักดิ์จ้องมองกากเดนบนโลกมนุษย์ประหนึ่ง...ผีจากขุมนรกเฝ้ามองศัตรูตลอดชีวิต
ชั่วขณะนั้นเขาใแววตาของนางจริง ๆ
---------------------------------------------
[1] หว่านแหฟ้าตาข่ายดิน เปรียบถึงการล้อมศัตรูหรือผู้หลบหนีอย่างหนาแน่น
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้