เวลาของเด็กประถมนั้นเดินเร็วกว่าเวลาของผู้ใหญ่เสมอ เผลอแป๊บเดียว ปิดเทอมหน้าร้อนที่แสนยาวนานก็ผ่านพ้นไป และเมื่อเสียงระฆังโรงเรียนดังขึ้นอีกครั้งในเช้าวันเปิดเทอมเดือนพฤษภาคม... เราก็ไม่ใช่เด็ก ป.5 จอมซนอีกต่อไปแล้ว
เรากลายเป็ “พี่ ป.6” พี่ใหญ่สุดของโรงเรียนอนุบาลลำปางเขลางค์รัตน์อนุสรณ์
เช้าวันเปิดเทอมวันแรก บรรยากาศในโรงเรียนดูคึกคักและแปลกตาไปนิดหน่อย เด็ก ป.1 ร้องไห้กระจองออแงไม่อยากจากอกแม่ ส่วนพวกเราเดินยืดอกอย่างผ่าเผยด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจแปลกๆ ที่ได้เป็รุ่นพี่สูงสุด
ฉันยืนส่องกระจกอยู่ในห้องน้ำหญิง สำรวจความเรียบร้อยของตัวเอง ชุดนักเรียนตัวใหม่ที่แม่ซื้อให้เผื่อโต (มันเลยดูโคร่งๆ นิดหน่อย) ผมเปียสองข้างที่ถักแน่นเปรี๊ยะ และปักชื่อสีน้ำเงินบนอกเสื้อที่เปลี่ยนจากเลข ๕ เป็เลข ๖
“อาวรรณ... ป.6/2” ฉันอ่านชื่อตัวเองแล้วยิ้ม ปีนี้แหละ... จะเป็ปีที่ดีที่สุด
...
เมื่อเดินขึ้นไปบนอาคารเรียนชั้นสอง ห้องเรียนใหม่ของเราอยู่ปีกขวาสุด ติดกับบันได ทันทีที่ก้าวเท้าเข้าไปในห้อง เพื่อนๆ หน้าเดิมจากตอน ป.5 ส่งเสียงทักทายกันเจี๊ยวจ๊าว แต่สายตาของฉันกวาดมองหาคนคนเดียวโดยอัตโนมัติ
และเขาก็มาถึงแล้ว... มอส กำลังยืนเช็ดกระดานดำช่วยครูอยู่หน้าห้อง
วินาทีที่เห็นเขา ฉันชะงักไปเล็กน้อย แค่ปิดเทอมไปไม่กี่เดือน... เขาเปลี่ยนไปขนาดนี้เลยเหรอ?
มอสดูสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ไหล่กว้างขึ้น ผิวคล้ำแดดขึ้น (สงสัยจะเตะบอลตากแดดทั้งปิดเทอมสมคำร่ำลือ) และเสียงของเขาตอนหันมาคุยกับเพื่อนผู้ชายก็เริ่มแตกหนุ่ม ฟังดูทุ้มหูแปลกๆ ไม่ใช่เสียงแหลมเปี๊ยบเหมือนตอนแย่งขนมกันแล้ว
“อ้าว อา! มาแล้วเหรอ” เขาหันมาเห็นฉัน ยิ้มกว้างจนตาหยีเหมือนเดิม รอยยิ้มนั้นแหละ... ที่ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน
“อือ... มาแล้ว” ฉันเดินเข้าไปวางกระเป๋า “สูงขึ้นปะเนี่ย”
“แน่นอนสิ กินนมวันละสองกล่อง” เขายืดอกโชว์ “เธอนั่นแหละ เตี้ยลงรึเปล่า”
“ปากเสีย!” ฉันง้างมือจะตีเขา แต่คราวนี้เขาไม่หลบ... เขายืนนิ่งๆ ยอมให้ฉันตีที่ต้นแขนดัง ปึก! แล้วก็หัวเราะ “มือหนักเหมือนเดิมว่ะ ค่อยยังชั่ว นึกว่าจะเปลี่ยนไปเป็สาวหวานซะแล้ว”
ฉันค้อนขวับ แต่ในใจกลับเต้นตึกตัก ความรู้สึกขัดเขินแบบเด็กๆ ในตอนปลาย ป.5 เริ่มจางหายไป แทนที่ด้วยความ “สนิทใจ” ที่แน่นแฟ้นขึ้น
...
การจัดที่นั่งในวันเปิดเทอมเป็วาระแห่งชาติของนักเรียนเสมอ ครูประจำชั้นคนใหม่ (ครูสมศรี จอมเฮี้ยบ) เดินเข้ามาพร้อมไม้เรียวคู่ใจ “เอ้า... เข้าที่นั่ง เลือกที่กันเองก่อน เดี๋ยวครูค่อยมาจัดใหม่ถ้าคุยกันเสียงดัง”
ประโยคนั้นเหมือนเสียง์ ปกติแล้ว เด็กผู้ชายจะจับกลุ่มนั่งหลังห้อง เด็กผู้หญิงจะนั่งหน้าห้อง แต่สำหรับฉันกับมอส... เรามองตากันแวบเดียว ก็รู้คำตอบ
ฉันหยิบกระเป๋าเดินตรงไปที่แถวริมหน้าต่าง แถวรองสุดท้าย มอสหยิบกระเป๋าเดินตามมาติดๆ ฉันนั่งลงที่เก้าอี้ตัวใน เขานั่งลงที่เก้าอี้ตัวนอก... ข้างๆ ฉัน
ไม่มีใครทักท้วง ไม่มีเพื่อนคนไหนแซวว่า “ฮั่นแน่ นั่งด้วยกันอีกแล้ว” เพราะทุกคนในห้อง ป.6/2 ชินเสียแล้วกับการเห็น “อาวรรณกับมอส” เป็แพ็กเกจคู่ ที่ไหนมีอา ที่นั่นมีมอส ที่ไหนมีมอส ที่นั่นมีอา
“ปีนี้ฝากลอกการบ้านด้วยนะหัวหน้า” มอสกระซิบ “ฝันไปเหอะ” ฉันกระซิบตอบ “ปีนี้จะขึ้น ม.1 แล้ว ต้องตั้งใจเรียน เข้าใจไหม” “ครับๆ คุณแม่คนที่สอง”
เรานั่งหัวเราะคิกคักกันเบาๆ ท่ามกลางเสียงจอแจของเพื่อนๆ แสงแดดยามสายส่องผ่านหน้าต่างบานเกล็ด เข้ามาตกกระทบโต๊ะเรียนของเราสองคน โต๊ะไม้ที่มีรอยขีดเขียนจากรุ่นพี่ปีก่อนๆ แต่ปีนี้... เราจะเขียนเื่ราวของเราลงไปใหม่
...
ตลอดเทอมแรกของชั้น ป.6 ความสัมพันธ์ของเราพัฒนาไปในรูปแบบที่เรียกว่า “Comfort Zone” หรือพื้นที่ปลอดภัยของกันและกัน
เราไม่ได้หวานแหววเหมือนแฟน (เพราะเรายังไม่เรียกกันว่าแฟน) แต่เราดูแลกันในแบบที่ละเอียดอ่อนกว่าเพื่อน
เวลาพักเที่ยง เราไม่จำเป็ต้องวิ่งแข่งกันไปจองโต๊ะอีกแล้ว เพราะมอสจะอาสาลงไปจองโต๊ะประจำใต้ต้นหูกวางไว้ให้เสมอ ในขณะที่ฉันจะไปต่อแถวซื้อน้ำแดงสองถุงเตรียมไว้ให้เขา
เวลาเรียนพละ แล้วฉันวิ่งไม่ทันเพื่อน หรือะโตบไม่ได้จังหวะ แทนที่จะหัวเราะเยาะเหมือนเมื่อก่อน มอสกลับวิ่งเหยาะๆ มาข้างๆ “หายใจลึกๆ อา... อย่าเกร็ง ขาอย่าตาย” เขาคอยประคอง คอยเชียร์อยู่ข้างสนาม จนฉันสอบผ่าน
เวลาเขาโดนครูฝ่ายปกครองดุเื่ผมยาวเกินระเบียบ หรือเสื้อหลุดลุ่ย ฉันก็จะคอยบ่นงุ้งงิ้งๆ “บอกแล้วให้ตัดผม... บอกแล้วให้ยัดเสื้อ” เขาก็จะทำหน้ามึนๆ “บ่นจังวะ... แต่ก็ยอมทำตามนะ” แล้วเขาก็ยัดชายเสื้อเข้ากางเกงต่อหน้าฉัน
ความใกล้ชิดของเรามันแทรกซึมอยู่ในทุกอณูของชีวิตประจำวัน การยืมปากกา การแบ่งหนังสือเรียนดูกันคนละครึ่ง การแอบหลับในคาบพระพุทธศาสนาโดยให้คนข้างๆ ช่วยดูต้นทาง
ฉันในวัย 35 ปี นั่งนึกย้อนถึง่เวลานี้แล้วน้ำตาก็พาลจะไหล มันคือ่เวลาที่ “บริสุทธิ์” ที่สุดในชีวิต ไม่มีความกังวลเื่อนาคต ไม่มีความกลัวเื่การจากลา มีแค่ “วันนี้” ที่เรามีกันและกัน
มีเหตุการณ์หนึ่งที่ฉันจำได้แม่นยำยิ่งกว่าข้อสอบ O-NET
วันนั้นฝนตกหนักตอนเลิกเรียน ฝนหลงฤดูที่เทลงมาแบบไม่ลืมหูลืมตา เพื่อนๆ ทยอยกลับบ้านกันหมดแล้ว พ่อแม่มารับบ้าง วิ่งฝ่าฝนกลับบ้าง เหลือแค่ฉันกับมอส ยืนติดฝนอยู่ที่ระเบียงหน้าตึก
“แม่มารับปะ” เขาถาม “เปล่า แม่ขายของอยู่ร้าน นัดกันไว้ว่าถ้าฝนตกให้รอที่โรงเรียนจนกว่าจะหยุด” “งั้นเรารอเป็เพื่อน”
“นายกลับก่อนก็ได้นะ มีร่มนี่” ฉันชี้ไปที่ร่มคันใหญ่ในมือเขา “บ้าดิ ทิ้งผู้หญิงไว้คนเดียวได้ไง โรงเรียนเงียบจะตาย ผีหลอกนะเว้ย”
ฉันตีแขนเขา “ปากเสีย!”
เรายืนดูฝนตกด้วยกันเงียบๆ ละอองฝนสาดเข้ามาโดนแขนฉัน มอสขยับตัวมายืนบังลมให้โดยไม่พูดอะไร ไหล่ของเราชนกันเบาๆ ไออุ่นจากตัวเขาแผ่ซ่านมาถึงตัวฉัน
“อา...” “หือ” “จบ ป.6 แล้ว... จะไปต่อไหน”
คำถามนั้นเป็เหมือนสัญญาณเตือนภัยล่วงหน้าครั้งแรก ฉันชะงัก “ก็... คงสอบเข้าโรงเรียนประจำจังหวัดมั้ง แม่ให้อ่านหนังสือแล้ว”
“อ๋อ... โรงเรียนเก่งนี่หว่า” เสียงเขาแ่ลงนิดนึง “เราคงไม่ไหวว่ะ หัวสมองขี้เลื่อยแบบนี้ คงต่อโรงเรียนวัดแถวบ้านมั้ง”
ฉันหันไปมองหน้าเขา เห็นแววตาไหววูบในดวงตาคู่นั้น ความกลัวเริ่มก่อตัวขึ้นในใจฉัน... ความกลัวว่าจะต้องแยกจากกัน
“ไม่หรอก...” ฉันพูดให้กำลังใจ “นายก็เก่งจะตาย วิชาพละเต็มตลอด ศิลปะก็สวย” “มันใช้สอบเข้าไม่ได้นี่หว่า” เขาหัวเราะขื่นๆ
แล้วเขาก็หันมาสบตาฉัน ท่ามกลางเสียงฝนตกเปาะแปะ “แต่ไม่ว่าจะไปไหน... สัญญาได้ปะ ว่าจะไม่ลืมกัน”
วินาทีนั้น ฉันไม่ได้ตอบอะไรออกไป ฉันแค่ยิ้มบางๆ แล้วพยักหน้า เพราะฉันคิดว่า ‘ยังเหลือเวลาอีกตั้งเทอมนึง ยังไงเราก็ยังอยู่ด้วยกัน’
ฉันประมาทเกินไป ฉันไม่รู้เลยว่า “เวลา” ของความสุข มักจะผ่านไปเร็วกว่าที่เราคิดเสมอ และคำสัญญาปากเปล่าในวันฝนตกวันนั้น... มันอาจจะไม่แข็งแรงพอที่จะต้านทานกระแสแห่งการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
พร้อมๆ กับตุ๊กตาเ้าบ่าวเ้าสาวคู่นั้น... ที่กำลังเดินทางมาถึงมือฉันในไม่ช้า.
