เหล่าลิ่วพยักหน้าสนับสนุนคำถามของหลินฟู่อิน ดวงตาแวววาวตื่นเต้น มองบุรุษชุดดำ “นายท่านผู้เฒ่าหลี่คุยกับฮูหยินผู้เฒ่าตัวดีนั่นอย่างไร?”
หลินฟู่อินเหลือบมองเหล่าลิ่ว เห็นผู้ชายตัวโตๆ ที่ชอบนินทาเสียจนออกนอกหน้าก็อดหัวเราะคิกคักไม่ได้ จากนั้นจึงหันไปมองบุรุษชุดดำด้วยสายตาคาดหวัง
ในความคิดนาง นายท่านผู้เฒ่าหลี่สามารถพาหลี่ซื่อกลับบ้านเดิมได้ ปล่อยให้ทิ้งบุรุษสารเลวนั่นไปเสีย
แต่ความคิดของนางเพ้อฝันเพียงใดก็รู้ตัวดีอยู่ นายท่านผู้เฒ่าหลี่อาจจะไม่ตัดสินใจอะไรน่าตกตะลึง หากนายท่านผู้เฒ่ารักบุตรสาวมากพอก็อาจจะให้ทั้งสองคนตกลงหย่ากัน…
“เรียนนายท่าน เรียนหัวหน้าเหล่าลิ่ว เรียนคุณหนูหลิน” บุรุษชุดดำเรียกชื่อทั้งสามในลมหายใจเดียว จากนั้นกระแอมแล้วตอบ “สุดท้ายฮูหยินผู้เฒ่ากับคุณชายใหญ่สกุลโจวก็เชิญนายท่านผู้เฒ่าหลี่ไปตกลงกันในห้องหนังสือ ผู้น้อยเกรงว่าพวกท่านจะเป็กังวลจึงได้รีบกลับมารายงานก่อนขอรับ”
ได้ยินเช่นนี้หลินฟู่อินก็นิ่วหน้าเล็กน้อย ในดวงตาเผยแววผิดหวังเลือนราง
แม้จะเป็เพียงแวบเดียว ทว่าหวงฝู่จินก็มองเห็น เขายกยิ้มน้อยๆ น้ำเสียงราวกับฤดูใบไม้ผลิอันอบอุ่น “หากเ้าอยากดูเื่สนุก ให้ข้าพาไปดูเป็อย่างไร?”
หลินฟู่อินแต่เดิมผิดหวังอยู่ แต่อย่างไรก็ไม่ใช่เื่ใหญ่ ประเดี๋ยวนายท่านผู้เฒ่าหลี่กับฮูหยินผู้เฒ่าโจวคุยกันเสร็จอย่างไรนางก็ได้รู้อยู่แล้ว แต่พอได้ยินหวงฝู่จินถามก็ถามย้อนกลับไปโดยไม่รู้ตัว “จะพาข้าไปได้หรือ?”
เหล่าลิ่วหัวเราะ ยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวๆ “คุณหนูอย่าถามเลยขอรับ นายท่านอยากพาท่านไปดูเื่สนุกแปลว่าต้องมีวิธีแน่นอน!”
หลินฟู่อินก้มหน้าครุ่นคิด รู้สึกว่าหวงฝู่จินมาถึงชิงเหลียนก็น่าจะมีธุระของตนเองอยู่แล้ว นางไม่อยากให้เขามาเสียเวลากับตนมากเกินไป จึงส่ายหน้าไปมา
“ไม่จำเป็ อีกไม่นานข้าก็ได้รู้อยู่แล้ว รอฟังข่าวในเรือนหลี่ซือก็ได้เ้าค่ะ” หลินฟู่อินเงยหน้ามองหวงฝู่จิน “ขอบคุณคุณชายที่เป็ห่วงข้า แต่ท่านเองก็มีธุระต้องไปทำ อย่าเสียเวลาอยู่ที่นี่นักเลยเ้าค่ะ ไปทำธุระท่านให้เสร็จโดยเร็วเถิด”
หวงฝู่จินจับน้ำเสียงเป็กังวลในถ้อยคำของนางได้ ในใจก็อบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย เขายกยิ้มมองนาง “เื่ข้าก็เหมือนเดิมตลอด ไม่ค่อยพบสิ่งน่าสนใจนัก ตามเ้าไปดูเื่สนุกสักครั้งก็ดีเหมือนกัน”
หมายความว่าจะอยู่กับหลินฟู่อินที่จวนสกุลโจว
หลินฟู่อินนิ่วหน้าพูดเสียงเบา “แต่ข้ายังต้องอยู่ที่จวนสกุลโจวรอน้องสามีของหลี่ฮูหยินคลอดลูกก่อนจึงจะกลับออกมาได้”
“หลี่ซื่อผู้นั้นไม่แน่ว่าจะได้อยู่ในจวนสกุลโจวจนถึงวันคลอด” หวงฝู่จินกลับคิดเห็นเป็อีกอย่างต่างจากหลินฟู่อิน
เขาหัวเราะในใจ แค่ดูจากนิสัยชั่วช้าของฮูหยินผู้เฒ่าโจว เมื่อทราบว่าไม่อาจรับมือนายท่านผู้เฒ่าหลี่ได้ย่อมต้องคิดว่าคนสกุลหลี่คิดทำลายคนสกุลโจวแน่นอน
เมื่อหลินฟู่อินได้ยินคำพูดเขาก็ััได้ว่าที่แท้คนผู้นี้แม้ในใจจะไม่ค่อยชอบผู้คนนัก แต่สุดท้ายก็ยังมีความหวังในตัวมนุษย์อยู่บ้าง
“ไปกันเถอะ” หวงฝู่จินเดินไม่กี่ก้าวก็ถึงตัวเด็กสาว ก่อนจะจับแขนนาง รวบร่างเล็กเข้าสู่อ้อมอก “หลับตาเสีย อีกประเดี๋ยวก็ถึงแล้ว”
แม้จะสงสัย แต่หลินฟู่อินก็ยังหลับตาลงอย่างเชื่อฟัง เวลาผ่านไปครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงชายหนุ่มกล่าวว่า “ลืมตาได้”
เมื่อลืมตาขึ้นตามคำพูด นางก็พบว่ายามนี้กำลังยืนอยู่บนหลังคาของเรือนหลังหนึ่งใจจวนสกุลโจวเสียแล้ว “นี่มัน…” เด็กสาวนิ่งอึ้ง ตอนแรกคิดว่าหวงฝู่จินจะพานางไปแอบฟังที่ห้องใกล้ๆ ห้องหนังสือเสียอีก มิคาดกลับปีนหลังคาบ้านผู้อื่นเสียได้…
“ตอนมาที่นี่ข้าตรวจสอบดูแล้ว ห้องหนังสือสกุลโจวทางสะดวก ยืนอยู่บนหลังคาเช่นนี้ไม่มีใครเห็นแน่” หวงฝู่จินกล่าวปลอบใจ
แต่อีกเื่ที่ไม่ได้พูดคือต่อให้มีคนในสกุลโจวพบตัวขึ้นมา คนของเขาก็กำจัดคนผู้นั้นได้ั้แ่ก่อนจะส่งเสียงเอะอะเสียอีก
หลินฟู่อินกำลังจะพยักหน้าก็เห็นเหล่าลิ่วแงะกระเบื้องสีน้ำเงินด้วยความตื่นเต้น ทำให้ได้ยินเสียงหนึ่งสตรีและสองผู้าุโกำลังโต้เถียงกัน
ความสนใจของนางโดนเสียงนั้นดึงไปอย่างรวดเร็ว เหล่าลิ่วแงะกระเบื้องออกอีกหลายแผ่น ทำให้เสียงโต้เถียงในห้องหนังสือยิ่งดังขึ้นกว่าเดิม
“ไอหยา ผู้เฒ่าหลี่เป็คนมีมารยาทยิ่งนัก ทว่าตอนนี้กลับเสียอาการเพราะบุตรสาวกับยายเฒ่าโจวเสียแล้ว… ช่างเป็บิดาที่น่าสงสารยิ่งนัก” เหล่าลิ่วเห็นผู้เฒ่าหลี่ที่อยู่เบื้องล่างยามนี้หน้าแดงด้วยความโมโหเช่นนี้ก็อดทอดถอนใจเบาๆ ไม่ได้
“ใครจะไม่เป็เช่นนั้นบ้างเล่าเ้าคะ” หลินฟู่อินพยักหน้าหงึกหงัก
ตำแหน่งกระเบื้องที่เหล่าลิ่วแงะเริ่มเยอะขึ้นทุกที หวงฝู่จินประคองเด็กสาวให้ค่อยๆ หมอบลงเพื่อดูสถานการณ์ในห้องหนังสือ
ตอนนี้ในห้องหนังสือมีอยู่สามคน คือนายท่านผู้เฒ่าหลี่ คุณชายใหญ่โจว และฮูหยินผู้เฒ่าโจว ทั้งสามยืนจ้องหน้ากันและกัน
ฮูหยินผู้เฒ่ามองหน้านายท่านผู้เฒ่าหลี่ด้วยสายตาดุจปลายดาบ ดูท่าทีไม่เป็กังวลแม้แต่น้อย ถามกลับเสียงเย็น “ท่านผู้เฒ่าหลี่ เื่เช่นนี้เกิดกับลูกสี่ของข้า คิดว่าต้องโทษเขาจริงๆ หรือ?”
นายท่านผู้เฒ่าหลี่หัวเราะกลับ “น่าขัน คนออกไปมีอนุอยู่นอกบ้านจนคลอดลูกออกมาสองคน เป็ข้าผู้ชราบังคับให้มันทำหรืออย่างไร?”
ทันใดนั้นฮูหยินผู้เฒ่าก็ตบโต๊ะ เอ่ยขึ้นเสียงแหลม “ท่านนั่นแหละเป็คนบังคับ! เป็ท่านไม่ใช่หรือ พอลูกสาวตัวดีของท่านแท้งลูกคนแรกก็มาบังคับให้ลูกข้า ‘ข่มกลั้น’ ตัวเองไว้เป็ปี? ท่านเป็คนห้ามไม่ให้เขารับอนุไม่ใช่หรือ? ตอนลูกสาวท่านตั้งท้องลูกคนที่สอง ท่านก็เป็คนเรียกร้องเื่สุขภาพไม่ใช่หรือ? ลูกสี่ล้วนถูกตาแก่หัวโบราณเช่นท่านบังคับทั้งสิ้น!”
ได้ยินคำพูดของฮูหยินผู้เฒ่าโจว นายท่านผู้เฒ่าหลี่ก็โมโหจนหัวเราะออกมา
หลินฟู่อินก็รู้สึกว่าฮูหยินผู้เฒ่านี่น่าขยะแขยงสิ้นดี หลี่ซื่อตอนเพิ่งแท้งร่างกายย่อมต้องเหน็ดเหนื่อย จะเตือนเช่นนั้นก็ไม่แปลกอะไร
และอันที่จริงก็ไม่ได้แปลว่าต้องงดกิจกรรมบนเตียงด้วย แค่เว้นออกไปสักหน่อย อย่าให้มากเกินไป อย่างไรเสียการแท้งเป็อันตรายต่อร่างกายยิ่งกว่าการคลอดปกติ หากร่างกายไม่ดีก็ส่งผลกระทบต่อการตั้งท้องครั้งถัดไป
ในมุมมองของหลินฟู่อิน คนแท้งต้องดูแลให้ดีกว่าคนเพิ่งคลอดเสียอีก เพราะไม่ว่าจะเป็การแท้งโดยบังเอิญก็ดี หรือโดยตั้งใจก็ดี ล้วนแต่เป็การทำลายครรภ์ซึ่งสร้างความเสียหายให้กับระบบการทำงานของร่างกาย
การฟื้นสภาพร่างกายก็เป็ปัญหามากกว่า หากเป็การคลอด คนเป็มารดาส่วนมากแค่กินอาหารให้ดีและดูแลความสะอาดให้ถูกสุขลักษณะ เมื่อน้ำคาวปลาแห้งไป ที่เหลือก็ไม่มีปัญหาแล้ว
แต่หากแท้งแล้วบำรุงไม่ดี ไม่เพียงจะส่งผลต่อการตั้งครรภ์ในอนาคต แต่ยังกระทบต่ออวัยวะในร่างกาย การมีอะไรกันบ่อยเกินไปใน่ที่เพิ่งแท้งครั้งแรกหรือครั้งที่สองยิ่งส่งผลกระทบมากเป็พิเศษ
ดังนั้นในตอนที่นางยังเป็พยาบาลอยู่ในยุคปัจจุบัน ภาพที่สิ้นหวังที่สุดคือเด็กสาวที่ไม่รู้จักป้องกันตัวจนต้องเข้าโรงพยาบาลมาทำแท้งเพราะท้องก่อนแต่ง
เด็กสาวทำเช่นนี้เรียกว่าเป็การไม่รับผิดชอบต่อร่างกายตัวเองเป็ที่สุด! ทั้งคนที่ท้องไม่พร้อมส่วนใหญ่มักจะเด็กเกินกว่าจะทราบว่าปัญหานี้ร้ายแรงเพียงใด แถมยังไม่กล้าบอกพ่อแม่ กลายเป็เื่ที่ชวนให้ใจสลายและน่าโมโหที่สุด
แต่ว่าถ้าจำเป็ก็ควรไปทำแท้งที่โรงพยาบาลใหญ่เพื่อดำเนินการหรือรับยา เพราะเด็กผู้หญิงส่วนมากยังอยู่ในวัยเรียน สถานะทางการเงินไม่ดี ถึงต้องไปสถานรักษาพยาบาลเถื่อนไร้ใบอนุญาตที่ดำเนินการโดยหมอเถื่อนไร้ใบอนุญาต อุปกรณ์ศัลยกรรมผ่าตัดที่ไม่ได้มาตรฐาน ขั้นตอนการทำแท้งที่ไม่ได้มาตรฐาน เหล่านี้ล้วนแต่ทำลายชีวิตของเด็กผู้หญิงที่ไปทำแท้งเถื่อนทั้งนั้น
“ฟู่อิน คิดอะไรอยู่หรือ?” หวงฝู่จินััได้ว่าเด็กสาวเหม่อลอยจึงได้ถามเสียงเบา
“อ้อ” หลินฟู่อินรู้สึกตัวก็หันไปมองหวงฝู่จินแล้วตอบเสียงค่อย “ข้าศึกษาด้านการแพทย์จึงได้ทราบความจริง การแท้งส่งผลเสียต่อร่างกายกว่าการคลอดลูก ข้าคิดว่านายท่านผู้เฒ่าหลี่คงเป็ห่วงอันตรายเื่นี้ จะขอให้งดกิจกรรมอย่างว่าก็ไม่มากเกินไป จะเอาเื่นี้มาเป็ข้ออ้างไปเลี้ยงอนุนอกบ้านไม่ได้ จึงคิดว่าฮูหยินผู้เฒ่าโจวช่างหน้าด้านดีจริงๆ”
หวงฝู่จินคิดตามที่หลินฟู่อินเล่าก่อน ได้ยินนางบอกว่าการแท้งส่งผลต่อร่างกายเช่นนี้ก็จดจำเอาไว้แล้วจึงพยักหน้า “ใช่ ไร้ยางอาย ชั่วร้ายยิ่งนัก!”
แต่แผนเช่นนี้ก็มีโอกาสสำเร็จสูงยิ่งนัก หากเด็กคนนี้ไม่ก้าวเข้ามาก่อเื่ขัดขวางเสียก่อน สิ่งที่สกุลโจวทุ่มเททำมาก็คงสัมฤทธิ์ผลแล้ว
หลินฟู่อินพยักหน้ารับแล้วหันไปฟังการทุ่มเถียงกันระหว่างคนทั้งสองที่อายุปาเข้าไปครึ่งศตวรรษต่อ
นายท่านผู้เฒ่าหลี่กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่าในฐานะหมอ การรักษาของเขาที่มีต่อสตรีหลังแท้งบุตรถือว่าถูกต้องแล้ว ไม่ว่าจะเอาหมอมากฝีมือมาจากที่ใดมาแทน ทุกคนก็ล้วนแต่แนะนำเช่นเดียวกันทั้งสิ้น
แต่ฮูหยินผู้เฒ่าโจวยืนกรานว่านายท่านผู้เฒ่าหลี่จงใจทำให้สกุลโจวขายหน้า ทำให้คุณชายสี่ไร้สตรีเป็เวลานาน ได้พบกับสตรีภายนอกที่ใส่ใจด้วยความจริงใจเช่นนี้ดีใจจึงจะถูก
ไม่ต้องพูดถึงว่านายท่านผู้เฒ่าหลี่จะปวดใจเพียงใดเมื่อได้ยิน กระทั่งหลินฟู่อินก็ยังให้รางวัลนางได้แค่คำเดียวว่า ‘บัดซบ!’
ในใจนางก็นับถือวาทศิลป์ของฮูหยินผู้เฒ่าโจวเสียเหลือเกิน พูดกลับดำเป็ขาว ขาวเป็ดำได้หน้าตาเฉย
เื่วาทศิลป์นี้มีผลไม่น้อย นายท่านผู้เฒ่าหลี่เป็หมอนับถือขงจื๊อ ย่อมไม่ใช่คู่ปรับฝีปากของฮูหยินผู้เฒ่าโจวที่มือถือสากปากถือศีล เพียงไม่กี่คำคนก็กลับมาเป็ฝ่ายเหนือกว่าแล้ว
ฮูหยินผู้เฒ่าโจวมองนายท่านผู้เฒ่าหลี่สายตาเย็นะเื แค่นเสียงเย้ยหยัน “นายท่านผู้เฒ่าหลี่ ความจริงก็เป็เช่นนี้ท่านต้องยอมรับ”
ชะงักไปครู่ก็มีสีหน้ายิ่งยโสดูิ่ “เมื่อก่อนข้ายังจดจำมิตรภาพและความสัมพันธ์ระหว่างเครือญาติได้ สกุลหลี่เองก็ดี มักสุภาพเปิดเผย ข้าย่อมวางแผนเื่นี้เพื่อสะใภ้สี่ ให้นางกับเ้าสี่ได้มีชีวิตดีๆ ร่วมกัน แต่ยามนี้พวกท่านสกุลหลี่ยกพวกมาเป็สิบเหยียบย่ำประตูจวนสกุลโจวเรา ช่างน่ารังเกียจนัก ข้าผู้เฒ่าทนคนสกุลหลี่ไม่ไหวอีกต่อไป วันนี้จะเป็ตัวแทนลูกสี่ของข้า เขียนจดหมายหย่านาง ให้พวกเ้าพาเด็กนั่นกลับบ้านไปด้วยกันเลย!”
ได้ยินเช่นนี้หลินฟู่อินก็โมโหจนแทบจะะโจากหลังคาไปข่วนหน้าฮูหยินผู้เฒ่าโจว ยายแก่บ้านี่หน้าหนาพอๆ กับป้าของนางเลย
แต่พอคิดดีๆ แล้ว เอาป้าจ้าวซื่อของนางไปเทียบกับยายแก่นี่ก็ยังรู้สึกสงสารป้าใหญ่ขึ้นมา ยายเฒ่านี่จะร้ายกาจไปถึงไหนกัน?
จากนั้นก็ได้ยินเสียงชายชราะโลั่น “พวกเ้าสกุลโจวกล้าหรือ? คิดว่าข้าไม่รู้ความคิดสกปรกของพวกเ้าหรืออย่างไร? อยากจะไต่เต้าเสนาบดีเฝิงไม่ใช่หรืออย่างไร?”
ได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยชื่อเสนาบดีเฝิง เสนาบดีกระทรวงขุนนางออกจากปาก ฮูหยินผู้เฒ่าโจวก็ตัวแข็งทื่อ ก่อนจะมองคู่สนทนาด้วยหางตาแล้วแค่นเสียง “นายท่านผู้เฒ่าหลี่ ข้ารู้ว่าท่านรู้จักคนมากมาย แต่อย่าได้พูดถึงขุนนางทั้งหลายในเมืองหลวงนั่นต่อหน้ายายเฒ่าเช่นข้า ต่อให้ท่านรู้ ข้าก็ไม่รู้”
นายท่านผู้เฒ่าหลี่เห็นคนยังไม่ยอมรับก็คิดไปอีกเื่ แล้วอดพูดกระแทกเสียงเย็นไม่ได้ “ข้าจะบอกความจริงให้ ข้ารู้จักสตรีที่เป็อนุภรรยาของลูกชายเ้าที่คลอดแฝดนั่นออกมาได้ นางเป็บุตรสาวคนที่สามจากอนุภรรยาเสนาบดีเฝิง”
เมื่อทราบว่าอีกฝ่ายรู้จักสตรีผู้นั้น สีหน้าฮูหยินผู้เฒ่าก็อดเปลี่ยนไปไม่ได้ สีหน้านางแปลกประหลาด บางทีคงคาดเดาได้แล้วว่าไม่ใช่เื่ดี
นายท่านผู้เฒ่าหลี่ส่งเสียงเฮอะเ็า “ข้าไม่กลัวหากต้องเล่าให้เ้าฟัง ในตอนที่ครอบครัวข้ายังอยู่ในเมืองหลวงก็ยังได้เข้าจวนใต้เท้าเฝิงไปรักษาโรคอยู่หลายครั้ง ในบรรดานั้นได้รักษาคุณหนูสามสกุลเฝิงหลายครั้ง ทราบหรือไม่ว่าเหตุใดนางจึงต้องมายังสถานที่ห่างไกลเช่นเมืองชิงเหลียน?
“เหตุใด” ฮูหยินผู้เฒ่าถามกลับทันทีโดยไม่เสียเวลาคิด
สายตาชายชรากลายเป็เย้ยหยัน “คุณหนูสามสกุลเฝิงตอนอายุเพียงสิบสองสิบสามปีก็ลงมือยั่วยวนคุณชายใหญ่ครอบครัวเสนาบดีฝ่ายซ้าย แต่คุณชายใหญ่เป็คนระมัดระวัง ไม่ตกหลุมพรางนาง…”
ยิ่งนายท่านผู้เฒ่าหลี่พูดยาวเท่าใด สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าโจวก็ยิ่งมืดครึ้มขึ้นทุกที
ที่แท้คุณหนูสามสกุลเฝิงผู้นี้ก็ใช้ลูกไม้ไร้ยางอายมาั้แ่เยาว์วัย คนเสียอกเสียใจที่ยั่วยวนคุณชายใหญ่บุตรเสนาบดีฝ่ายซ้ายไม่สำเร็จ
พออาการดีขึ้น คนก็จัดแจงวางแผนด้วยตัวเอง ะโลงบ่อน้ำในงานชมดอกไม้ ก่อนจะได้บุรุษผู้หนึ่งที่รู้วิธีว่ายน้ำช่วยเหลือเอาไว้
เื่นี้กลายเป็หัวข้อร้อนแรงในเมืองหลวง ใต้เท้าเฝิงเสนาบดีกระทรวงขุนนางเสียหน้าครั้งใหญ่ย่อมไม่อาจทนนางได้ ทั้งยังไม่อาจทุบตีบุตรสาวแท้ๆ ของตนให้ตายได้เช่นกัน เพราะจะกลายเป็จุดด่างพร้อยในชื่อเสียงตนเอง
ดังนั้นเขาจึงเชื่อคำของเฝิงฮูหยินซึ่งเป็บ้านใหญ่ ส่งคุณหนูสามสกุลเฝิงมาที่นี่ ตั้งใจให้นางอยู่และตายที่นี่ อยู่ชิงเหลียนไปตลอดชีวิต
“เหอะๆ ไม่รู้เ้าคิดอย่างไร เื่นี้ข้าไม่ได้ทำอะไร สกุลโจวยิ่งไม่รับรู้” แม้ในใจจะแช่งชักหักกระดูกคุณหนูเฝิงผู้นั้น แต่ความคิดนางเื่นี้ยังชัดเจน
แน่นอนว่านายท่านผู้เฒ่าหลี่ก็คาดว่านางไม่ยอมรับแน่ จึงได้หัวเราะเสียงเย็น “ฮึ เ้าไม่ทราบหรือ หากเ้าไม่ทราบ ตาเฒ่าเช่นข้าย่อมไม่จำเป็ต้องเสียเวลาโต้เถียงกันเื่อนุของลูกชายสี่เ้าเป็ครึ่งค่อนวัน แต่ข้าเพียงอยากบอกเอาไว้ ในเมื่อพวกเ้าสกุลโจวคิดอยากรับลูกอนุของสกุลเฝิงที่ไปล่วงเกินขุนนางเข้าก็เป็เื่ของพวกเ้า พวกเราสกุลหลี่ไม่ยุ่งเกี่ยวด้วย แต่เื่หนึ่ง ข้า้าให้พวกเ้าสกุลโจวเขียนสัญญาตกลงหย่าออกมา มิใช่ให้พวกเ้าสกุลโจวออกจดหมายขอหย่าไล่กันฝ่ายเดียว!”
“เป็ไปไม่ได้” ฮูหยินผู้เฒ่าโจวปฏิเสธเสียงแข็ง
อย่างไรนายท่านผู้เฒ่าหลี่ก็มีความรู้มากกว่าฮูหยินผู้เฒ่าโจว หญิงชราอยู่แต่เรือนหลังตลอดปี ได้ยินเช่นนี้เขาก็กล่าวเสียงเข้ม “แล้วแต่เ้า! หากคิดอยากบังคับพวกเราสกุลหลี่ เช่นนั้นข้าก็ไม่คุยกับเ้าแล้ว ตาเฒ่าผู้นี้จะเข้าเมืองไปขอให้ใต้เท้าเฝิงออกหน้า!”
“ท่านกล้าดีอย่างไร!” ฮูหยินผู้เฒ่าโจวโมโหจัดเสียจนอกกระเพื่อม แทบจะวิ่งเข้าไปกัดเนื้อของชายชราเบื้องหน้าให้รู้แล้วรู้รอดไป
“เหตุใดจะไม่กล้า? หากไปหาใต้เท้าเฝิงโดยตรงไม่ได้ผล ตาแก่นี่ก็จะไปหาผู้ตรวจการ แม้จะเป็สตรีก็คงเคยได้ยินพี่โจวพูดเื่ผู้ตรวจการกระมัง?”
นายท่านผู้เฒ่าหลี่สวนกลับ ฮูหยินผู้เฒ่าโจวปรบมือด้วยความโมโห ปลายนิ้วแทบจะจิกเข้าฝ่ามือตัวเอง
เหตุใดนางจะไม่รู้จักผู้ตรวจการเล่า?
ตาเฒ่าเ่าั้คอยจับจ้องเื่หลังบ้านของขุนนางขั้นสูงในเมืองหลวงไม่ใช่หรือ? หากเฝิงซื่อคนนั้นไม่ใช่ตัวดีอะไรมาั้แ่เด็กจริงๆ ยามนี้ถูกส่งมาอยู่ที่หมู่บ้านแถบชายแดนแล้วยังมาพัวพันกับบุตรชายสกุลโจวจนคลอดลูกออกมาจริงๆ ใต้เท้าเฝิงย่อมไม่ปล่อยเอาไว้แน่!
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสกุลโจว!
เช่นนี้ต่างจากพวกนางสกุลโจวรอให้หลี่ซื่อกับลูกที่ยังไม่คลอดตายก่อน แล้วค่อยแต่งเฝิงซื่อเข้ามาภายหลัง
ดวงตาฮูหยินผู้เฒ่าลุกโชน คิดวางแผนในใจว่าให้เฝิงซื่อกลายเป็คนสกุลโจวจริงๆ ก่อน จากนั้นเมื่อบุตรชายบุตรสาวสกุลโจวสอบได้อันดับโดดเด่นในการสอบขุนนาง เช่นนี้ย่อมกลายเป็เป้าหมายให้ใต้เท้าเฝิงฟูมฟัก จากนั้นค่อยหาโอกาสเปิดเผยว่าพวกนางสกุลโจวมีสะใภ้เป็บุตรสาวใต้เท้าเฝิง
ส่วนเด็กสองคน ถึงตอนนั้นค่อยโกหกออกไป บอกว่าเฝิงซื่อป่วยจำอะไรไม่ได้ สกุลโจวช่วยนางเอาไว้แล้วให้นางแต่งเข้ามา บุตรชายสองคนนั้นก็แจ้งอายุให้ช้าไปสองปี เช่นนี้ก็ไม่มีอันตรายแล้ว ใครเล่าจะมาสืบเื่ราวเช่นนี้ถึงเมืองชิงเหลียน?
แต่ยามนี้ผู้เฒ่าหลี่ยังมีชีวิต ทั้งยังข่มขู่ว่าจะเอาไปแจ้งผู้ตรวจการในเมืองหลวง…
ความคิดของฮูหยินผู้เฒ่าหมุนเร็วรี่ว่าจะจัดการอย่างไรดี
อีกทางหนึ่ง เมื่อคุณชายใหญ่โจวได้ยินนายท่านผู้เฒ่าหลี่ขู่ว่าจะไปหาผู้ตรวจการ ใบหน้าก็ซีดเผือดด้วยความหวาดกลัว
เขาเป็บัณฑิตที่เคร่งครัด แม้จะสอบไม่ผ่านแต่ก็เป็บุตรชายที่น่าภาคภูมิใจ ได้รับการยอมรับเป็บัณฑิตั้แ่อายุสิบห้า ปีนี้เขาจะเข้าสอบ หากสอบติดแต่ผู้ตรวจการฝ่ายบัณฑิตในเมืองหลวงรู้ว่าเขาเป็พี่น้องกับเ้าสี่ เช่นนั้น…
คุณชายใหญ่โจวรู้สึกไม่ดีขึ้นมาทันควัน แย่เสียจนค้อมศีรษะเต็มพิธีการให้แก่นายท่านผู้เฒ่าหลี่ เอ่ยเสียงแ่
ในนั้นเปี่ยมด้วยความอ้อนวอนเกลี้ยกล่อม “ท่านลุงหลี่ขอรับ พวกเราตระกูลโจวและตระกูลหลี่เป็สหายกันมาหลายรุ่น จะให้มีเื่ราวเช่นนั้นได้อย่างไร?”
“เฮอะ เพราะพวกเ้าสกุลโจวผิดต่อพวกข้าสกุลหลี่ก่อน!” ได้ยินคุณชายใหญ่กล่าวเช่นนี้ ชายชราอาจยังมีร่องรอยความหวนนึกถึงวันเก่าอยู่ก็จริง ทว่าเมื่อคิดถึงสิ่งที่คนสกุลโจวทำกับบุตรสาวที่เขารักทะนุถนอมดุจไข่มุกในอุ้งมือ ความหลังและมิตรภาพทั้งหลายก็หายวับไปสิ้น
คุณชายใหญ่โจวรู้สึกสิ้นหวังอยู่บ้างเมื่อเห็นว่าไม่อาจระงับเื่ราวได้แล้ว
ทว่าก็ยังคงเกลี้ยกล่อมต่อไป “สุดท้ายแม้น้องสี่อาจจะสับสนทำผิดต่อน้องสะใภ้ ทว่านับแต่โบราณก็นับเป็เื่ธรรมดาที่บุรุษมากความสามารถจะมีอนุภรรยา เหตุใดท่านไม่ลองหลับตาให้ทั้งคู่อยู่ร่วมกันอย่างสงบในตอนที่น้องสะใภ้ยังตั้งครรภ์อยู่เล่าขอรับ?”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้