“ตึง ตึง ตึง”
ราชครูใช้ไม้ในมือตนเคาะลงไปบนโต๊ะจนเกิดเสียงดังสามที
ไม้แข็งๆ ยามเคาะลงไปบนโต๊ะแข็งๆ ก็เกิดเสียงดังสนั่นขึ้น
เฉินโย่วนั้นพลิกหน้าทีหนึ่ง ก่อนจะนอนหลับต่อ
รู้สึกว่ามีอะไรชื้นๆ อยู่ใต้ใบหน้าตน นางจึงได้ขยับหน้าหนีออกมาเล็กน้อย
ส่วนเสี่ยวอู่นั้นไม่ระคายหูแม้แต่น้อย ยังคงฝันหวานต่อไป
ราชครูโกรธจนเครากระตุกตาถลน ทว่าก็คิดได้ว่ายามนี้เขาไม่มีเครายาวนั่นอีกแล้ว เพื่อจะหนีจากการไล่ล่า เขาได้แต่ตัดใจโกนเคราที่แสนงดงามของตนทิ้งไป
ยามอยู่ในค่ายก็พยายามดูแลให้มันงอกใหม่ ทว่าก็งอกขึ้นมาเพียงนิดเดียว
เคราสั้นแค่นี้อยากจะสะบัดก็สะบัดไม่ขึ้น ถลึงตาไปก็ไม่ช่วยอะไร เ้าเด็กสองคนที่หลับอยู่ไม่ได้สนใจเขาแม้แต่น้อย
ส่วนเ้าเด็กปราบพยัคฆ์นั่น แม้จะไม่ได้หลับ ไม่ได้ก่อกวน แต่ก็ไม่ได้ฟังสิ่งที่เขาพูดแม้แต่นิด เขาเพียงนั่งเรียบร้อยบนเก้าอี้ ท่านั่งก็ราวกับว่าอยู่บนหลังม้า ข้างกายมีตำราวางไว้ เพียงตำรานั้นไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเื่การบริหารแคว้นที่เขากำลังบรรยายอยู่เลยสักนิด
ทว่ายามที่เขาอยากจะถลึงตาใส่เ้าเด็กหนุ่ม เ้าเด็กนั่นก็ราวกับว่ารู้ล่วงหน้า จึงเป็ฝ่ายที่เงยหน้าขึ้นมาก่อนเสมอ แววตาของเ้าเด็กหนุ่มเยือกเย็นนัก ยามมองมาที่ราชครูก็อดตัวสั่นขึ้นมาไม่ได้
ไฉนเขาจึงโดนเ้าเด็กนั่นจ้องจนรู้สึกหวาดกลัวเช่นนี้ได้นะ ราชครูรู้สึกเสียหน้านัก
ชายชรารู้สึกว่าตนเริ่มจะทนไม่ไหว จึงกระแอมขึ้นและะโบอก “พักผ่อนได้”
เพียงพริบตา ทั้งห้องเรียนก็ราวกับกลับมามีชีวิตอีกครั้ง
เฉินโย่วเงยหน้าขึ้น เพียงครู่เดียวดวงตาก็กลับมาสดใสอีกครั้ง ราวกับว่านางไม่เคยหลับมาก่อน
ส่วนเ้าเด็กปราบพยัคฆ์นั้นก็ค่อยๆ ลุกขึ้นจากเก้าอี้ แล้วเริ่มจัดการหนังสือบนโต๊ะ
ทว่าเ้าเด็กอ้วนที่พกลูกเหล็กมาด้วยสองลูกนั้นกลับไม่ลืมตาขึ้นสักครั้ง!!
อาสวินนั้นยังคงตั้งหน้าตั้งตาจดบันทึกต่อ เมื่อครู่ตอนสุดท้ายนั้น อาจารย์พูดเร็วจนเขาจดไม่ทัน
ท่านอาจารย์ยามบรรยายก็เป็กันเองนัก เนื้อหาในการสอนก็ดีมาก ทุกครั้งที่เขาได้ฟังก็รู้สึกราวกับว่าตรงหน้าตนนั้นพลันสว่างขึ้นมา
เพียงแต่หากจะจดตามนั้นช่างไม่ง่ายดายนัก
เฉินโย่วที่นอนเต็มอิ่มแล้วก็รู้สึกหิวน้ำขึ้นมา
มือคู่น้อยของนางจึงล้วงเข้าไปในกระเป๋าหนังงู แล้วหยิบขวดน้ำชาที่น้าหลัวเตรียมไว้ให้นางดื่มขึ้นมา
ยิ่งอากาศร้อนนางก็ยิ่งชอบดื่มชา ด้วยเพราะกินเนื้อมากไปจึงทำให้ร้อนในได้ง่าย
เฉินโย่วเทชาออกมาให้ตัวเองแก้วหนึ่ง แต่คิดขึ้นได้เื่ที่น้าหลัวสอนนางว่านางนั้นต้องเคารพอาจารย์
“ท่านอาจารย์ น้ำให้ท่านดื่มเ้าค่ะ” เฉินโย่วส่งถ้วยขนาดไม่เล็กที่มีน้ำชาอยู่ให้ท่านอาจารย์
ราชครูนั้นกำลังคอแห้งเป็ผงอยู่พอดิบพอดี
ในเส้นทางของเขานั้นให้ความสำคัญกับคำพูดน้อยนัก เน้นการกระทำ ทุกคำพูดล้วนแต่รอบคอบ
เขาไม่รู้ว่านานเท่าใดแล้วที่เขาไม่ได้พูดเสียยืดยาวเช่นนี้ และไม่เคยคิดเลยว่าตนเองจะมีความสามารถในการพูด เขาคนเดียวก็สามารถพูดได้นานถึงเพียงนี้เชียว
แม้เมื่อเห็นสมุดที่เปียกไปแล้วครึ่งหนึ่งของเด็กหญิงจะรู้สึกขัดหูขัดตานัก ทว่าเขาก็ยังยื่นมือไปรับถ้วยชาที่นางส่งมา
ชายชรายกขึ้นดื่มรวดอึกหนึ่ง
ดื่มเข้าไปก็รู้สึกว่าขมนัก ทว่าผ่านไปครู่หนึ่งก็รู้สึกหวานขึ้นมา
เมื่อดื่มหมดแล้วก็รู้สึกสบายคอทีเดียว
อาลู่พลันลุกขึ้น แล้วกล่าวขึ้นด้วยความเคารพ “ท่านอาจารย์ ข้าต้องไปทำงานแล้วขอรับ วันนี้ขอฟังเพียงเท่านี้ ขอบพระคุณท่านอาจารย์มากขอรับ”
กล่าวจบก็ลากเสี่ยวอู่ไปกับตน
ชายชราเมื่อเห็นร่างผอมสูงของเด็กหนุ่มกำลังลากเด็กหนุ่มร่างอ้วนดำไปกับตน ใบหน้าของชายชราจึงพลันขมวดเข้าหากัน
“ไปได้แล้วหรือ” เสี่ยวอู่มองไปในห้องเรียนด้วยใบหน้ามึนงง
อาสวินนั้นยังไม่เงยหน้า ก็โบกมือไปมา
ราชครูมองลูกเล็กหนักสองลูกนั้น ก็พยักหน้าตอบด้วยใบหน้าสั่นเทา
เด็กหนุ่มนั่นก็เรี่ยวแรงมากเกินมนุษย์ เมื่อยกลูกเหล็กข้างกายตนขึ้นมาแล้วก็ออกไปทันที ลูกเหล็กสองลูกกระทบกันก็มีเสียง “ตึงตัง ตึงตัง” ดังขึ้น
ราชครูที่นั่งอยู่ในห้องยังได้ยินเสียงของเด็กหนุ่มหน้าประตูสนทนากันเสียงดัง
“พี่ลู่ เมื่อครู่ท่านอาจารย์สอนอะไรรึ ข้าไม่ได้ฟังเลยสักตัว ยามท่านอาจารย์กล่าวยังราวกับมีพลังประหลาดเชียว แค่ท่านอาจารย์อ้าปาก ข้าก็ง่วงซะแล้ว หนังตาก็หนักจนลืมไม่ขึ้น ก็เลยหลับเสียเลย......”
ใบหน้าน้อยของเฉินโย่วนั้นมองไปนอกหน้าต่างอย่างใจจดใจจ่อ นางอยากลงเขาไปกับเหล่าพี่ชายมาก
ราชครูที่เดิมทีกำลังโกรธอยู่นั้น เมื่อเห็นใบหน้าและดวงตาละห้อยด้วยความอิจฉาของเด็กหญิง เขาก็พลันรู้สึกสบายใจอย่างไม่มีสาเหตุ
อีกทั้งยามที่เ้าเด็กสองคนนั้นไม่อยู่ เพียงไม่นานเขาก็พลันรู้สึกปลอดโปร่งขึ้นมา เมื่อกลับมาห้องเรียน ก็เหมือนกับว่าความกดดันนั้นก็ไม่ได้สูงเช่นตอนแรก
ได้พักไปอีกครู่หนึ่ง ราชครูก็เริ่มสอนต่อ
ในคาบนี้ เนื้อหาโดยส่วนใหญ่ก็กล่าวขึ้นเพื่อสอนเฉินโย่วเป็หลัก
ราชครูนั้นสอนให้รู้จักตัวอักษรต่างๆ
เดิมทีคิดว่าเ้าเด็กปีศาจนั้นดีแต่เล่นซน คงสอนสั่งได้ไม่ง่าย ไม่คาดคิดเลยว่านางจะไม่เป็เช่นนั้นแม้แต่น้อย
เขาสอนตัวอักษรพวกนั้นไปแค่ครั้งเดียว เ้าเด็กนั่นมองทีเดียวก็จำได้หมดทุกตัว
ยามให้นางอ่าน ก็อ่านไม่ผิดแม้แต่ตัวเดียว
เห็นเช่นนั้นราชครูยิ่งสอนก็ยิ่งมีแรง
ทว่าในขณะเดียวก็เริ่มโกรธขึ้นมา
เ้าเด็กปีศาจนี่ ขณะเรียนอยู่ยังหาเวลาว่างมากินของว่าง ดื่มน้ำชาได้ซะนี่ ซ้ำยังหันไปป้อนพี่ชายให้กินด้วยกัน นางช่างเป็ตัวก่อกวนโดยแท้
แต่ก็ยังเป็เช่นเดิม ไม่ว่าเขาสอนอะไรไป นางก็ล้วนจำได้ไม่ตกหล่น
ราชครูนั้นทั้งนึกโกรธและรักนางขึ้นมา
เคราะห์ดีที่เขาไม่มีเคราแล้ว มิเช่นนั้นคงได้ดึงจนหลุดติดมือมาเป็แน่
“เ้าไปคัดอักษรที่ข้าเพิ่งสอนเมื่อครูมาห้าครั้ง” น้ำเสียงแฝงโทสะของราชครูดังขึ้น
เฉินโย่วนั้นก็ว่าง่าย เพียงนั่งลงแล้วเริ่มลงมือคัดทันที
ราชครูเหลือบมองนางหลายครา ก็เห็นว่านางนั้นกำลังเขียนอักษรอยู่จริงๆ ซ้ำนางยังไม่ได้กระดุกกระดิกตัวสร้างความวุ่นวาย เห็นเช่นนั้นชายชราก็รู้สึกไม่ชินเท่าใดนัก
ยามเ้าเด็กปีศาจนี่สงบเสงี่ยม จริงๆ แล้วก็น่ามองไม่เบา สองแก้มอ้วนๆ ขนตางอนยาว บนศีรษะมีผมที่ชี้โด่ชี้เด่ราวกับแปรง
ท่าทางการจับพู่กัน เขาสอนนางไปเพียงครั้งเดียว นางก็จำได้แล้ว ยิ่งกว่านั้นยังเขียนได้อย่างถูกต้อง
ทุกขีดทุกเส้นนางก็เขียนด้วยความตั้งใจ
ทว่าเมื่อครู่นางเริ่มฝึกเขียนนั้น มือไม้ก็ยังไม่อาจควบคุมน้ำหนักการลงพู่กันได้ เพียงจรดลงไปขีดแรก หมึกดำก็ย้อมกระดาษเป็วงเสียแล้ว
บัดนั้นจึงเห็นแต่ศีรษะยุ่งๆ ของนางขยับไปมาด้วยความร้อนใจ
ราชครูตั้งใจยืนจ้องเด็กหญิงอยู่ด้านข้าง
คิดในใจว่าเ้าเด็กปีศาจนี่นิสัยกระโดกกระเดกถึงเพียงนี้ ย่อมจะต้องเขียนอักษรได้ไม่เรียบร้อยเป็แน่
ไม่คาดคิดว่านางยิ่งเขียนก็ยิ่งตั้งใจ
ศีรษะราวกับลูกนกของนางก็ไม่ได้สะบัดไปมาแล้ว
ฝีพู่กันยิ่งดูก็ยิ่งงดงามขึ้น
ราชครูจึงเอาลายมือตัวอักษรของตนเองให้นางคัดลอกตาม
ตัวอักษรของราชครูนั้นมีค่าดั่งทอง
เหล่าปัญญาชนแคว้นเชินที่สะสมต้นฉบับที่เป็ลายมือของเขานั้น ล้วนแต่หวงแหนไม่เอาออกมาให้ใครดูโดยง่าย
อีกทั้งยังมีบัณฑิตอีกไม่น้อยที่พยายามจะเลียนแบบลายมือของเขา
เ้าเด็กตรงหน้าเขายิ่งเขียนยิ่งคล่องก็ว่าไปเถอะ ทว่าบัดนี้นางยิ่งเขียนลายมือก็ยิ่งคล้ายกับเขาเข้าไปทุกที เด็กหญิงตัวเล็กๆ ตรงหน้านี้ หากว่าเขาไม่เห็นด้วยตาตนเอง เขาย่อมไม่มีทางเชื่อว่านางนั้นเพิ่งจะเริ่มเรียนการเขียนอักษรในวันนี้ บัดนี้นางนั้นเขียนได้คล้ายกับลายมือของตนถึงเจ็ดแปดส่วนแล้ว
ราชครูยืนมองอยู่พักใหญ่ เ้าเด็กปีศาจก็ยังคงตั้งใจเขียนอยู่เช่นเดิม
เขายืนจนล้าแล้ว
เมื่อเดินไปด้านหลัง ก็เห็นว่าเด็กหนุ่มกำลังทำบางอย่างอยู่
อาสวินนั้นไม่สนใจจะเรียนเื่ตัวอักษรแล้ว เขามีงานอีกท่วมหัว ด้วยบัญชีทั้งหมดในค่ายนั้นก็ล้วนเป็หน้าที่ของเขาที่ต้องจัดการ
ดังนั้นยามที่น้องสาวเรียนเื่อักษรอยู่ เขาจึงนั่งจัดการบัญชีอยู่ด้านหลังนาง
ราชครูมองดูตัวเลขที่มากจนตาลาย เขานึกสงสัยจึงพลิกดูทีหนึ่ง ก็พบว่าในค่ายนั้นไม่ว่าใครจะไปจะมา ใครจะออกเดินทาง หรือกระทั่งกินข้าวก็ล้วนอยู่ในบันทึกของเด็กหนุ่ม การคำนวณของเด็กหนุ่มนั้นนับว่ายอดเยี่ยม เหมือนว่าแทบจะไม่ต้องหยุดคิด เขาก็คำนวณผลลัพธ์ได้เสียแล้ว ดูแล้วราวกับกำลังคัดลอกอยู่ก็ไม่ปาน
จำนวนเช่นนี้ คาดว่าหากเป็คนอื่นคงต้องใช้เวลาสักครึ่งชั่วยามจึงจะคำนวณออกมาได้ ทว่าเขานั้นกลับเขียนออกมาได้ทันที
ราชครูพลันใจสั่นระรัว สำหรับตระกูลจ้งของเขานั้นศาสตร์แขนงที่สำคัญที่สุดก็คือศาสตร์ตัวเลข
จริงอยู่ที่ว่ามีคนที่มีพร์ด้านการคำนวณมาแต่กำเนิด ทว่าก็มีอยู่บางคนที่ก็พอมีความรู้ด้านนี้ เพียงแต่อาจจะไม่เข้าใจมันเลยก็ได้เช่นกัน
อดีตยามที่เขาคัดเลือกศิษย์นั้น ก็ใช้ศาสตร์การคำนวณในการคัดเลือก
“ในค่ายมีคนทำงานเจ็ดสิบสองคน ได้เงินรวมเก้าตำลึงเงิน หากนำมารวมดูแล้วทุกคนจะได้คนละเท่าใด” ราชครูทันใดนั้นก็ออกปากถาม
อาสวินบัดนี้กำลังก้มหน้าทำบัญชีอยู่ ้าสมาธิในการจดจ่อตัวเลข จึงไม่ได้เงยหน้าขึ้นตอบ “หากเป็เงินทางการ ทุกคนจะได้หกสิบสองอีแปะครึ่ง หากเป็เงินส่วนตัวก็ได้คนละห้าสิบอีแปะ”
ราชครูนั่งลงบนโต๊ะแล้วใช้มือคำนวณอยู่ครู่หนึ่งจึงจะคำนวณผลลัพธ์ออกมาได้ พบว่าเด็กหนุ่มคำนวณได้ไม่เลว
แสงแดดที่ลอดผ่านหน้าต่างมาสาดไปจนถึงนอกห้องเรียน
เด็กหนุ่มยังคงจดจ่อกับบัญชีของตนต่อ แผ่นหลังผอมบาง ทว่าใบหูกลับโตนัก
ด้านหน้าเด็กหนุ่ม ยังมีเด็กหญิงผมชี้โด่ชี้เด่ราวกับดอกไม้ที่กำลังผลิบาน
ราชครูพลันรู้สึกสงบนัก