“ร้านค้าด้านข้างกำลังจะปล่อยเช่า” หลี่ลั่วเห็นร้านขายผ้าด้านข้างติดประกาศปล่อยเช่า
“บรรยากาศการค้าละแวกนี้ยังถือว่าพอไปได้ แม้ว่าปริมาณผู้คนที่สัญจรไปมาจะสู้ทำเลทองไม่ได้ แต่ยังถือว่าอยู่ในระดับกลางๆ ทว่าเงินที่ทำกำไรได้นั้นไม่มากมายอันใดจริงๆ ดูเหมือนจะทำการค้าให้มั่นคงนั้นทำได้ยากอยู่สักหน่อยขอรับ” พ่อบ้านจี้อธิบาย
“ไม่มีการค้าใดที่ทำขึ้นมาไม่ได้ มีเพียงการค้าที่ทำไม่ถูกต้อง” หลี่ลั่วกล่าว “ร้านอาหารนั้นต้องอยู่ในทำเลทอง อาศัยผู้คนที่เดินทางสัญจรไปมาเพื่อทำการค้า อีกทั้งที่นี่มีโรงเตี๊ยมอยู่ไม่น้อย เชื่อว่าการค้าคงไม่เลวเลยทีเดียว”
จี้ซิ่นรีบเอ่ยว่า “เสี่ยวโหวเหฺยพูดถูกต้องแล้วขอรับ โรงเตี๊ยมที่อยู่ละแวกนี้มีลูกค้าไม่เลวเลย เพราะค่าเช่าไม่ได้แพงอย่างทำเลดีๆ ค่าห้องพักของโรงเตี๊ยมนั้นถูกยิ่ง อีกทั้งจากที่นี่ไปยังทำเลที่เจริญแล้วไม่ไกลนัก ขณะเดียวกันก็เงียบสงบกว่า ดังนั้นลูกค้าที่มาจากที่อื่นจึงชื่นชอบที่นี่อย่างยิ่งขอรับ”
เสี่ยวโหวเหฺยยกนิ้วโป้งชูขึ้นให้เขา “สายตาแหลมคมนัก” ถูกต้อง ที่พักนั้นอยู่ห่างไกลเกินไปนักไม่ดี และคึกคักมากก็ไม่ได้ สถานที่แห่งนี้เป็ตัวเลือกแรกๆ ที่คนนึกถึง
“เสี่ยวโหวเหฺยกล่าวชมเกินไปแล้วขอรับ”
“ไป ไปดูร้านค้าข้างๆ ที่จะปล่อยเช่ากัน” หลี่ลั่วกล่าว
“ลั่วเกอเอ๋อร์สนใจร้านค้าร้านนั้นใช่หรือไม่?” หลี่หยางซื่อประหลาดใจ
หลี่ลั่วพยักหน้า “สนใจอยู่บ้างขอรับ แต่หากว่าเพียงให้เช่านั้นไม่้า หากซื้อเอาไว้ได้จึงจะดี”
“หากซื้อร้านค้าห้องนี้เอาไว้ เ้าตั้งใจจะทำอันใดหรือ?” หลี่หยางซื่อถาม
หลี่ลั่วยกยิ้มมุมปาก “หาเงินขอรับ”
หลี่ลั่วเดินนำ หลี่หยางซื่อและหลี่หงยืนอยู่อีกด้านหนึ่ง เสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวมใส่นั้นชัดเจนยิ่งนักว่าต้องเป็ผู้ที่มาจากครอบครัวสูงส่งฐานะมั่งคั่ง แม้ว่าเนื้อผ้าจะไม่ใช่เป็ที่นิยมแต่เป็เนื้อผ้าราคาแพงที่สุด ถือได้ว่าเป็แบบใหม่และดีที่สุดเช่นกัน ร้านค้าแห่งนี้ทำการค้าเกี่ยวกับพัดและภาพวาด ดูแล้วหรูหราเล็กน้อย เมื่อเสี่ยวเอ้อร์เห็นลูกค้าเข้ามาก็มิได้มีท่าทีกระตือรือร้นสักเท่าใดนัก เพียงแต่กล่าวตามมารยาทว่า “ชอบสิ่งใดก็ดูเองเถิด”
หลี่ลั่วไม่ดู ก้าวเข้าไปหลายก้าวแล้วถามเสี่ยวเอ้อร์ว่า “ร้านนี้จะปล่อยเช่าหรือ?” หากยืนถามที่หน้าประตูนั้นจะดูเป็การเสียมารยาท
หากไม่ใช่เพราะว่าข้างกายหลี่ลั่วยังมีผู้ใหญ่อยู่ด้วย เด็กเล็กตัวน้อยแค่นี้มาถามเสี่ยวเอ้อร์ต้องไม่สนใจเขาแน่ “ปล่อยเช่า เถ้าแก่อยู่ด้านใน กรุณารอสักครู่”
หลี่ลั่วหันกายไปทางหลี่หยางซื่อ “ร้านค้าแห่งนี้ด้านหลังยังมีที่ว่างด้วยหรือ?”
“มีห้องด้านหลังไว้สำหรับพักผ่อน” หลี่หยางซื่อกล่าว
“ผู้ใดจะเช่าร้านค้า?” ชายหนุ่มวัยกลางคนรูปร่างพุงพลุ้ยผู้หนึ่งเดินออกมา ท่าทางดูเลื่อนลอย เดินไม่ค่อยมั่นคงนัก ไม่ค่อยผ่องใสมีชีวิตชีวา สายตาของเขาหยุดอยู่ที่หลี่หยางซื่อครู่หนึ่ง “ฮูหยินท่านนี้้าเช่าร้านค้าใช่หรือไม่?” แค่เห็นหลี่หยางซื่อก็รู้ว่าเป็เ้าบ้านฝ่ายหญิง
หลี่หยางซื่อยิ้มบางๆ “ร้านค้าแห่งนี้ขายหรือไม่?”
ทำเลแถวนี้ไม่ดีและไม่เลว ชายผู้นี้คิดว่าไม่มีคน้าซื้อจึงได้ปล่อยเช่า เมื่อได้ยินว่ามีผู้้าจะซื้อเขาจึงยินอย่างยิ่ง “ขาย ขาย ขาย ร้านค้าในละแวกนี้ราคาตกห้องละหนึ่งพันสองร้อยตำลึงโดยประมาณ ข้าให้ราคาท่านหนึ่งพันตำลึงเป็เช่นไรเล่า? พวกเรานั้นซื้อมาหนึ่งพันตำลึง ยังขาดทุนเล็กน้อย”
“ลั่วเกอเอ๋อร์คิดว่าอย่างไรเล่า?” หลี่หยางซื่อถามหลี่ลั่ว
หลี่ลั่วพยักหน้า “ได้ ทำสัญญาซื้อขายเถิด...เบิกเงินจากเรือนโฉวงจี๋ ร้านค้าแห่งนี้ข้าจะนำไปใช้อย่างอื่น ไม่เป็ของกองกลาง”
หลี่หยางซื่อไม่เข้าใจว่าหลี่ลั่วจะเอาไปทำอันใด แต่ไม่ได้ถามเขาเช่นกัน พูดกับจี้ซิ่นว่า “เ้าไปทำเอกสารสัญญาซื้อขายเสีย อย่าลืมเื่การโอนเล่า”
ชายวัยกลางคนหันไปมองจี้ซิน “หลงจู๊จี้ พวกท่านล้วนรู้จักกันหรือนี่?” ทำการค้าอยู่ข้างๆ กันมานาน ชายวัยกลางคนย่อมเคยพบจี้ซิ่น
จี้ซิ่นหัวเราะ “รู้จัก นี่คือเหล่าฮูหยินจวนโหวของพวกเรา นี่คือเสี่ยวโหวเหฺยจวนโหวของพวกเรา”
“ไอโยว ที่แท้เป็ผู้สูงศักดิ์ ผิดไปแล้วจริงๆ” ชายวัยกลางคนรีบเยินยอ
“จี้ซิ่น เ้าจัดการเื่ที่เหลือ มารดา พวกเราไปดูร้านค้าของพวกเรากันเถิด” หลี่ลั่วหันกายจากไป
“อืม ได้”
จุดประสงค์หลักของหลี่ลั่วคืออยากดูด้านหลังของร้านค้า ด้านหลังร้านค้ายังมีเรือนเล็กๆ อีกหลังหนึ่ง มีพื้นที่ประมาณสามสิบกว่าตารางเมตร หากด้านหลังของร้านค้าทั้งสามห้องสามารถตีทะลุกันได้ ก็จะมีพื้นที่ประมาณหนึ่งร้อยตารางเมตร เรือนด้านหลังนี้มีประโยชน์นัก ในสมองของหลี่ลั่วได้วางแผนการก่อสร้างเรือนด้านหลังเอาไว้แล้ว
หลังจากกลับไปถึงจวนโหว หลี่ลั่วก็ไปออกแบบการก่อสร้างและตกแต่งร้านค้าในห้องหนังสือ
ลำดับแรกคือเป็การก่อสร้างในรูปแบบง่ายๆ ร้านค้าทั้งสามห้องมีป้ายใหญ่เขียนว่า ‘บ้านการกุศล’ ที่ด้านล่างป้ายใหญ่ยังแบ่งเป็สามป้ายเล็ก ‘ร้านช่วยเหลือการกุศล’ ‘ร้านอาหารการกุศล’ และ ‘ร้านหมอการกุศล’
เห็นชื่อก็รู้แล้วว่าสามร้านนี้ทำอันใด ง่ายดายยิ่ง
เกี่ยวกับร้านช่วยเหลือการกุศล หลี่ลั่ววางแผนไว้เป็จิตบริจาคเงิน บริจาคสิ่งของ ภายในร้านแบ่งเป็สองส่วน ส่วนที่หนึ่งให้คนมาลงทะเบียนบริจาคเงินและสิ่งของ อีกส่วนหนึ่งให้ลงทะเบียนรับเงินและสิ่งของบริจาค
ร้านอาหารการกุศล หลี่ลั่วนำมาหารายได้ ของกินและอาหารว่างในยุคสมัยปัจจุบันนั้นมีมากมายหลากหลาย เมื่อนำมาอยู่ในยุคสมัยโบราณย่อมเป็โอกาสในการหาเงิน และเขายังมีสวนผลไม้ ทั้งหลายเหล่านี้ล้วนเป็โอกาสในการทำการค้าทั้งสิ้น การก่อสร้างและตกแต่งร้านค้านั้นออกแบบตามร้านค้าในยุคปัจจุบัน ช่องหนึ่งวางของว่างชนิดหนึ่ง ข้อดีของช่องเหล่านี้คือใช้พื้นที่น้อยที่สุดและสามารถออกแบบเพื่อวางสิ่งของได้มากที่สุด
ร้านหมอการกุศล หลี่ลั่ววางแผนไว้ว่าร้านค้านี้จะรับผิดชอบเพียงหน้าดูตรวจไข้ ทุกๆ วันที่หนึ่งและวันที่สิบห้าของเดือนจะเป็การรักษาฟรี ในยามปกติหาหมอครั้งละหนึ่งร้อยอีแปะ แต่ไม่รับผิดชอบเื่การจัดยา หาก้าซื้อยาต้องไปร้านยา เื่เกี่ยวกับยานั้นมีเส้นทางและกฎหมาย หากร้านของหลี่ลั่วรับผิดชอบเื่การจ่ายยาด้วย เช่นนั้นย่อมมีความจำเป็ที่จะต้องทำให้ถูกกฎหมายเื่ยา ทำให้ดำเนินต่อไปได้ยากลำบาก
แน่นอนว่าหลี่ลั่วเป็คนฉลาด แม้จะไม่รับผิดชอบเื่การจ่ายยา แต่เขายังสามารถร่วมมือกับร้านยาได้เพื่อผลประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย แต่เื่ร้านยานั้นค่อยๆ เลือกได้ไม่รีบเร่ง
การออกแบบเื่ของร้านยานั้นค่อนข้างง่าย เลือกใช้วิธีการเดียวกับคลินิก โรงหมอ ก่อนอื่นต้องมีเคาน์เตอร์ เตรียมประวัติคนไข้ จากนั้นให้คนไข้ถือประวัติของตนไปพบหมอ ห้องของหมอมีสองห้อง แต่ละห้องมีกำแพงกั้นเอาไว้ เตรียมโต๊ะทำงานหนึ่งตัว เก้าอี้สองตัว ก็เพียงพอแล้ว
สุดท้าย การออกแบบของร้านค้าทั้งสามห้อง กำแพงใช้สีเหลืองนวล พื้นสีดำ สะอาดและเป็ระเบียบ
สุดท้ายคือเรือนด้านหลัง
พื้นที่หนึ่งร้อยตารางเมตรของเรือนด้านหลัง ยาวสิบห้าเมตร กว้างไม่ถึงเจ็ด เมตร เพราะสามห้อง ร้านค้าทุกห้องหน้ากว้างประมาณห้าเมตร กว้างไม่ถึงสี่เมตร ดังนั้นในส่วนของร้านยาที่ติดกำแพงจึงมีเพียงสองห้อง เพราะว่าความกว้างมีจำกัด
เรือนด้านหลังนั้นหลี่ลั่วนำมาใช้เป็ส่วนของร้านค้ายาวสี่เมตร กว้างสามเมตร ความยาวสิบห้าเมตรสามารถออกแบบได้สองห้อง ห้องหนึ่งทำเป็สำนักงาน อีกห้องหนึ่งทำเป็ห้องเก็บสินค้า ห้องสุดท้ายทำเป็ห้องพักผ่อน
เวลาผ่านไปราวหนึ่งชั่วยาม หลี่ลั่วนำแบบที่วาดเสร็จ เรียกพ่อบ้านจี้ให้นำไปเตรียมการ เพราะรูปแบบเป็แบบที่ง่ายดายยิ่งนัก ค่าวัสดุและค่าแรงคนงานไม่เกินสองร้อยตำลึง ทว่าในส่วนของเรือนด้านหลังอาจจะใช้เวลาอยู่สักหน่อย ด้านหน้านั้นใช้เวลาเพียงสามวันก็น่าจะแล้วเสร็จ
เพียงแต่สิ่งของของหลี่หยางซื่อที่อยู่ในร้าน้าเวลาในการขนย้าย
หลี่หยางซื่อครุ่นคิด ไม่ต้องจัดการใดๆ แล้ว ให้ย้ายไปวางในจวนโหว อย่างไรเสียในทุกฤดูกาลย่อมได้ใช้อยู่แล้ว คิดเสียว่านำผ้าสำหรับตัดเสื้อผ้าสองปีมาเตรียมไว้ล่วงหน้าก็แล้วกัน
เอกสารการซื้อขายที่จี้ซิ่นไปจัดการนั้นรวดเร็วยิ่งนัก เมื่อทั้งสองฝ่ายได้ตกลงกันแล้วก็ตรงไปโอนกรรมสิทธิ์กันที่ศาล เอกสารการโอนกรรมสิทธิ์ต้องไปทำที่จวนว่าการ เนื่องด้วยว่าเป็คนของจวนจงหย่งโหว คนที่ศาลจวนว่าการจึงไม่กล้าถ่วงเวลา การทำเอกสารจึงรวดเร็วยิ่งนัก
ก่อนอาหารเย็น จี้ซิ่นนำเอกสารการซื้อขายมา พ่อบ้านจี้เองก็ได้ติดต่อช่างที่จะมาทำการตกแต่งเรียบร้อยแล้วเช่นกัน
ทรัพย์สินส่วนตัวของหลี่ลั่วลดลงไปอีกหนึ่งพันห้าร้อยตำลึง
ยังคงเป็การหาเงินที่สำคัญกว่า
วันถัดมา รถม้าของจวนฉีอ๋องมารออยู่หน้าประตูจวนจงหย่งโหว เมื่อหลี่ลั่วขึ้นรถม้านั้นคิดจะเรียกร้องให้อุ้ม แต่เมื่อคิดถึงคำพูดของกู้จวิ้นเฉินเมื่อวานนั้น เขาจึงได้แต่ค่อยๆ เหยียบขึ้นแท่นเหยียบและขึ้นไปด้วยตนเอง ประตูรถม้าเปิดรอไว้แล้ว ทันทีที่ขึ้นไปบนรถม้าก็สบเข้ากับดวงตาสีดำทั้งคู่ที่จ้องมองมายังหน้าประตู
เสื้อผ้าอาภรณ์ในยามปกติของกู้จวิ้นเฉินล้วนเป็สีอ่อน ยึดสีขาวและสีเหลืองเป็หลัก ตามปกคอเสื้อและชายแขนเสื้อล้วนมีลวดลายัขดของพระโอรสหรือชินอ๋อง วันนี้เขาสวมเสื้อคลุมสีขาวบริสุทธิ์ แต่ปกคอเสื้อตัวในเป็สีแดง ปกคอเสื้อพลิกออกมา ทำให้ใบหน้าราวกับหยกสลักของหนุ่มน้อยหล่อเหลายิ่งขึ้นไปอีก
เขาไม่เคยเห็นกู้จวิ้นเฉินสวมอาภรณ์สีสดมาก่อน คนผู้นี้ช่างเหมาะแก่การสวมอาภรณ์สีแดงยิ่งนัก
กู้จวิ้นเฉินเลิกคิ้ว “เป็อันใดไปเล่า?” ในดวงตาของเด็กน้อยทอประกายยินดีอย่างชัดเจน ต่อให้กู้จวิ้นเฉินจะแกล้งทำเป็มองไม่เห็นก็ไม่ได้
“ท่านพี่ฉีอ๋องในวันที่แต่งงานสวมอาภรณ์สีแดงจะต้องน่ามองมากเป็แน่ขอรับ” หลี่ลั่วกล่าว มีเพียงวันแต่งงานเท่านั้นที่จะสวมอาภรณ์สีแดงทั้งชุด
“เ้ารอไม่ไหวแล้วหรือไร?” กู้จวิ้นเฉินถาม “หากเ้ายินยอม พวกเราสามารถแต่งงานกันเร็วหน่อยก็ได้ แต่เื่เข้าหอ...ยังต้องรอให้เ้าอายุเต็มสิบห้าปีเสียก่อน เร็วเกินไปจะทำร้ายสุขภาพเอาได้”
เข้าหอมารดาท่านน่ะสิ หลี่ลั่วอยากด่าคนยิ่งนัก “ข้าเพียงแต่คิดว่าท่านพี่ฉีอ๋องน่ามอง หาได้คิดเื่แต่งงานที่ไหนกันเล่า? ข้ายังเด็กอยุ่นะขอรับ” หลี่ลั่วแกล้งย้อนกลับแบบเด็กๆ ทั้งที่ปวดใจนัก เมื่อก่อนไม่เคยรู้สึก เดี๋ยวนี้รู้สึกแล้วว่าสมองของกู้จวิ้นเฉินนั้นไม่เหมือนผู้อื่น
กู้จวิ้นเฉินตวัดสายตามองเขาแวบหนึ่ง มีความดูถูกอยู่หลายส่วน ชัดเจนยิ่งนักว่าไม่เชื่อคำพูดของเขา
หลี่ลั่วนั่งกึ่งๆ เอนหลัง หรี่ตามองเขา
ในรถม้าเงียบลงแล้ว หลี่ลั่วเพิ่งจะกลับมาถึงเมืองหลวงก็ไปที่นาพระราชทาน ตกแต่งร้านค้า ที่จริงแล้วเขาเหนื่อยมาก หลับตาลงเพียงครู่เดียวเขาก็หลับไป อาจจะเป็เพราะกลิ่นน้ำหอมภายในรถม้าช่วยให้เขาเข้าสู่นิทราได้ง่ายขึ้น กู้จวิ้นเฉินมองเด็กน้อยที่นอนหลับแล้วจึงอุ้มเขามาวางบนขาของตน ให้ศีรษะของเขาหนุนขาของตน ยื่นปลายนิ้วออกไปลูบไล้คิ้วและดวงตาของหลี่ลั่วด้วยกิริยาอ่อนโยนนัก ที่จริงเลี้ยงเด็กน้อยคนหนึ่งก็เป็เื่น่าสนใจดี ฆ่าเวลาได้ดีอย่างยิ่ง
กู้จวิ้นเฉินค่อยๆ ก้มหัวลงไปประทับจุมพิตบางเบาลงบนหน้าผากของหลี่ลั่ว “ขอบคุณเ้า” เขาพูดเสียงเบา “ขอบคุณเ้าที่ช่วยข้าหายาถอนพิษ” ชีวิตหนึ่ง ไม่ใช่เงินค่ารักษาเพียงสองหมื่นตำลึงก็เพียงพอแล้ว
หลี่ลั่วอาจจะฝันว่าตนกำลังกินของสิ่งใดอยู่ ปากจึงขยับขึ้นครั้งหนึ่ง ริมฝีปากอ้าออกเล็กน้อย
กู้จวิ้นเฉินเกรงว่าเขาจะตื่นขึ้นมาจึงรีบกลับมานั่งอย่างเรียบร้อย แต่ผ่านไปครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าหลี่ลั่วยังไม่มีท่าทีจะตื่นขึ้นมา เขาก็เคลื่อนย้ายสายตามาหยุดอยู่บนใบหน้าหลี่ลั่วอีกครั้ง จากนั้นค่อยๆ ก้มหน้าลงไปมองดูขนตายาวเฟื้อยของหลี่ลั่ว กู้จวิ้นเฉินใช้มือเล่นขนตาของหลี่ลั่วอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นนิ้วมือของเขาก็ไถลเลื่อนลงไปเชยคางของหลี่ลั่วขึ้น
ริมฝีปากสีชมพู อวบอิ่ม ผิวพรรณของเด็กน้อยดียิ่งนัก ความรู้สึกยามลูบไล้ราวกับได้ัักับแป้งอย่างไรอย่างนั้น กู้จวิ้นเฉินคิดถึงความรู้สึกที่หลี่ลั่วจุมพิตเขา ทั้งอ่อนหวาน และอบอุ่น ความรู้สึกชนิดนั้นยากจะบรรยายได้ ราวกับถูกขนนกััเพียงเบาๆ ไม่ค่อยรู้สึกอะไร แต่เมื่อย้อนคิดถึง หัวใจนั้นกลับพลันคันยุบยิบ เขารู้สึกอยากจะกลับไปััความรู้สึกเช่นนั้นอีกครั้งหนึ่ง
กู้จวิ้นเฉินไม่ได้ลังเลแม้แต่น้อย ริมฝีปากกดทับลงไปบนริมฝีปากของหลี่ลั่ว เขากะพริบตาปริบๆ ทำเพียงแต่ประทับััลงไปเช่นนี้ จากนั้นก็ทำเสมือนกินปูนร้อนท้อง รีบกลับท่ามานั่งให้เรียบร้อยทันที
สีหน้าเป็การเป็งาน ดูเข้มงวดเล็กน้อย
ใกล้จะถึงคฤหาสน์ของกรมวังในชานเมืองตะวันออกแล้ว กู้จวิ้นเฉินตบๆ ใบหน้าของหลี่ลั่ว “ตื่น ถึงแล้ว”
หลี่ลั่วหลับสนิท ไฉนเลยจะเรียกเขาตื่นขึ้นมาได้อย่างง่ายดายเล่า? ดังนั้นกู้จวิ้นเฉินจึงบีบจมูกของหลี่ลั่ว หลี่ลั่วหายใจไม่สะดวก ไม่ลืมตาไม่ได้ “ท่านทำอันใดน่ะ?” เขาตบมือของกู้จวิ้นเฉินออก
“ถึงแล้ว” กู้จวิ้นเฉินเอ่ยเตือน จากนั้นจึงชี้ไปที่ขาของตัวเอง “ขาชาแล้ว”
หลี่ลั่วถลึงตาใส่กู้จวิ้นเฉินครั้งหนึ่ง “เมื่อตอนที่ข้านอนนั้นข้าแน่ใจว่าข้าไม่ได้นอนตรงนี้ หรือว่าข้าขึ้นไปนอนบนขาของท่านกัน?” เขาไม่กล้าพูดว่ากิริยาการนอนของเขานั้นดียิ่ง แต่คงไม่ถึงขั้นกลิ้งไปนอนบนขาของกู้จวิ้นเฉินหรอกกระมัง?
“อืม” กู้จวิ้นเฉินพยักหน้าอย่างจริงจัง “เ้ามานอนบนขาของข้า”
หลี่ลั่วรู้สึกว่าคนผู้นี้มีความสามารถในการโกหกตาใสๆ อยู่ในขั้นเทพ
“จริงๆ” กู้จวิ้นเฉินกล่าวย้ำอีกครั้ง
หลี่ลั่วหน้าสลดหดหู่ “เช่นนั้นท่าน้าทำอย่างไรเล่า?”
กู้จวิ้นเฉินชี้ไปที่ขาของตน “ชาแล้ว”
้าให้ตนนวดขาให้เขาเช่นนั้นหรือ? หลี่ลั่วคิด รู้เช่นนี้ไม่ให้เขามาด้วยหรอก ยุ่งยากนัก ได้แต่ยื่นมือออกไปนวดให้เขาอย่างไม่ยินยอมพร้อมใจ
แต่...มือของเขากลับถูกกู้จวิ้นเฉินกุมเอาไว้ “ติดไว้ ไปจัดการธุระเสียก่อน”
“บอกให้เร็วหน่อยสิขอรับ” หลี่ลั่วตบมือของเขาออก สวมรองเท้าเองแล้วออกไปก่อน มุมปากกู้จวิ้นเฉินโค้งขึ้น ยิ้มออกมาอย่างช้าๆ
ด้านนอกรถม้าได้วางแท่นเหยียบไว้เรียบร้อยแล้ว หลี่ลั่วกำลังจะลงไปด้วยตนเอง ทว่าร่างของเขากลับถูกกู้จวิ้นเฉินอุ้มลอยขึ้นจากด้านหลัง “เ้าเดินช้าเกินไป” จากนั้นะโลงจากรถม้า
เมื่อยามประตูเห็นว่าเป็หลี่ลั่วก็ใจนสะดุ้ง สองวันที่แล้วถูกลงโทษอย่างน่าเวทนา วันนี้ยังมีเงามืดอยู่ในใจ “พวกท่าน...พวกท่านมาหาอวี๋กงกงใช่หรือไม่? อวี๋กงกงอยู่...อยู่ด้านในขอรับ” แม้จะขวางทางยังไม่กล้า รีบให้พวกเขาเข้าไป
มาถึงเรือนของอวี๋กงกง ด้านนอกมีคนยืนอยู่ไม่น้อย สามคนในนั้นยังคงเป็หัวหน้าคนงานที่หลี่ลั่วเคยพบมาก่อน เมื่อเห็นหลี่ลั่วและคนอื่นๆ เข้ามา คนเ่าั้ต่างมองมาด้วยความประหลาดใจ
“เสี่ยวโหวเหฺย”
หัวหน้าคนงานทั้งสามคนหันมาทักทายหลี่ลั่ว
“เสี่ยวโหวเหฺย ท่านมาแล้ว” อวี๋กงกงออกมาจากด้านใน หน้าตารับแขกยิ่งนัก แต่เมื่อเห็นกู้จวิ้นเฉินที่อยู่ข้างกายหลี่ลั่วก็ถึงกับตกตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นยิ้มๆ ว่า “เชิญเสี่ยวโหวเหฺยด้านในขอรับ ข้าจะไปเตรียมน้ำชาให้เสี่ยวโหวเหฺย”
“ขอบใจ” หลี่ลั่วเข้าไป กู้จวิ้นเฉินตามเข้าไปด้วย หลี่ฉางเฉิงและจวิ้นอีอยู่ด้านหลังพวกเขา องครักษ์ของจวนโหวและองครักษ์ของจวนอ๋องรออยู่หน้าประตู
อวี๋กงกงที่บอกว่าไปเตรียมน้ำชานั้นวิ่งไปหาขันทีปอนานแล้ว
“เ้าว่าอันใดนะ? ฉีอ๋องรึ?” ขันทีปอขมวดคิ้ว “ฉีอ๋องและหลี่เสี่ยวโหวเหฺยหมั้นหมายกันแล้ว ย่อมเป็ไปได้ที่เขาจะมาเป็เพื่อนหลี่เสี่ยวโหวเหฺย เ้าแน่ใจหรือไม่?”
“ดูเหมือนยิ่ง เมื่อก่อนอยู่ในวังหลวงเคยเห็นแต่ไกลๆ ขอรับ เขาเติบโตแล้ว หน้าตาเหมือนไท่จื่อเยี่ยนยิ่งนัก”
ขันทีปอหรี่ตาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นลุกขึ้น “ไป ข้าจะไปดูเป็เพื่อนเ้า”
“เชิญท่านหัวหน้าขันที”
หลังจากหลี่ลั่วและกู้จวิ้นเฉินนั่งลงแล้ว หลี่ลั่วจึงไถ่ถามหัวหน้าคนงานเ่าั้เพื่อทำความเข้าใจ นอกจากหัวหน้าคนงานสามคนนั้นแล้ว ยังมีหัวหน้าคนงานอีกเจ็ดคน ที่นาพระราชทานหนึ่งพันหมู่มีหัวหน้าคนงานสิบคน หัวหน้าคนงานหนึ่งคนรับผิดชอบพื้นที่หนึ่งร้อยหมู่ ที่จริงแล้วขันทีของกรมวังแทบจะไม่ได้ทำอันใด เมื่อปลูกข้าวไม่ต้องให้พวกเขาทำอันใด ยามเก็บเกี่ยวก็ไม่ต้องให้พวกเขาทำอันใดเช่นกัน ถึงเวลาขายคาดว่าผู้ค้าข้าวทั้งหลายย่อมมาหาด้วยตนเอง ดังนั้นพวกเขาจึงแทบจะเรียกได้ว่านั่งเสวยสุขรอรับเงินเดือน
“เช่นนั้นเงินเดือนของข้าวในฤดูใบไม้ร่วงคิดอย่างไร?” ก่อนหน้านี้หลี่ลั่วไม่ได้ถามเื่นี้ แต่ครั้งนี้มาเพื่อถามเื่ข้าวในฤดูใบไม้ร่วงเป็การเฉพาะ
หนึ่งในหัวหน้าคนงานตอบว่า “ที่นาหนึ่งร้อยหมู่ได้รับเงินค่าแรงสามร้อยตำลึงในราคาเหมาขอรับ คนงานเ่าั้พวกเราเป็คนจ้างเอง เงินเดือนพวกเราเป็ผู้กำหนดเอง ไม่มีกฎระเบียบในเื่ปลีกย่อยเหล่านี้”
ข้าวในเดือนห้านั้นอวี๋กงกงเก็บเงินของจวนโหวไปสามพันสี่ร้อยตำลึง หากว่าเงินค่าแรงของหัวหน้างานทุกคนคนละสามร้อยตำลึง เช่นนั้นสิบคนก็เท่ากับสามพันตำลึง ยังมีอีกสี่ร้อยตำลึง ถือเป็ค่าใช้จ่ายอย่างอื่น บัญชีเช่นนี้ถือว่าชัดเจนถูกต้องอย่างยิ่ง
“เสี่ยวเหฺยท่านนี้ เงินค่าแรงของพวกเราในราคาเหมาคือสามร้อยตำลึง ทั้งปีนี้ปีที่แล้วล้วนเหมือนกัน” หัวหน้าคนงานอีกคนหนึ่งกล่าว
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว เสี่ยวเหฺยท่านนี้ วันนี้แจ้งให้พวกเรามารับเงินค่าแรงใช่หรือไม่?”
“ที่เรือนของข้ายังมีเื่ให้จัดการ ให้เงินค่าแรงข้าก่อนเถิดขอรับ”
“ยังมีข้าด้วย”
กู้จวิ้นเฉินขมวดคิ้ว “ปีที่แล้วเงินค่าแรงเหมาสามร้อยตำลึง ปีนี้ก็เหมาสามร้อยตำลึงเช่นกัน เช่นนั้นสองปีที่แล้วเล่า? ที่นาพระราชทานของจงหย่งโหวเป็ระยะเวลาทั้งหมดหกปี เงินเดือนเมื่อสี่ปีก่อนก็เป็เงินเดือนเหมาสามร้อยตำลึงต่อที่นาหนึ่งร้อยหมู่หรือไม่?”
น้ำเสียงนั้นเย็นเยียบ หัวหน้าคนงานได้ยินแล้วพลันหัวใจหดรัด สี่ปีก่อนเป็เงินเท่าใดพวกเขาไฉนเลยจะจำได้ อวี๋กงกงเพียงแต่สั่งการพวกเขาว่าถ้าถูกถามเื่เงินค่าแรง ให้บอกว่าเงินค่าแรงต่อที่นาหนึ่งร้อยหมู่เป็เงินจำนวนสามร้อยตำลึง
“คิดให้ดีก่อนตอบ เพราะเงินเดือนของหลายปีที่แล้วในสมุดบัญชีได้ลงบันทึกเอาไว้” กู้จวิ้นเฉินเตือนด้วยสีหน้าเ็า
เขานั่งอยู่ที่นั่น กลิ่นอายอันสูงศักดิ์ แทบจะไม่ต้องใช้อารมณ์ใดๆ ในการแสดงตน เหล่าหัวหน้าคนงานต่างถูกกลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากร่างของเขาทำให้ใ ผู้ที่มีชาติกำเนิดสูงส่งมาแต่กำเนิดกับคนธรรมดาสามัญ ย่อมไม่เหมือนกัน
“สมุดบัญชีมีปัญหาอันใดหรือไม่?” น้ำเสียงนั้นลอยมาก่อน ต่อมาขันทีปอและอวี๋กงกงจึงเดินเข้ามา “เสี่ยวโหวเหฺย ท่านมาแล้ว สมุดบัญชีของเสี่ยวอวี๋มีปัญหาหรือไม่ขอรับ? หากมีปัญหาท่านต้องบอกกับข้า ข้าจะลงโทษเขาให้จงหนัก”
รอยยิ้มเอาอกเอาใจของขันทีปอนั้นเด่นชัดเกินไป เปรียบเทียบกับเมื่อสองวันก่อนที่เขามานั้นไม่เหมือนกันเลยสักนิด ที่เป็เช่นนี้เพราะใครนั้นหลี่ลั่วรู้ดี “ท่านพี่ฉีอ๋องขอรับ?” หลี่ลั่วมองกู้จวิ้นเฉิน
“อืม” กู้จวิ้นเฉินรับคำ จากนั้นจึงหันไปมองขันทีปอด้วยแววตาไถ่ถาม
ขันทีคุกเข่าลงดังตุบ “บ่าวคารวะฉีอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
ฉี...ฉีอ๋องหรือ? เหล่าหัวหน้าคนงานหัวใจพลันหดรัด ั้แ่เมื่อเห็นครั้งแรกก็รู้สึกแล้วว่าชายหนุ่มผู้นี้สูงส่งยิ่งนัก ทำให้คนไม่กล้าจ้องมองตรงๆ คาดไม่ถึงเลยว่าจะกลับเป็ถึงฉีอ๋อง เหล่าหัวหน้าคนงาน เ้ามองข้า ข้ามองเ้า ทั้งหมดคุกเข่าลง
อวี๋กงกงหดหู่ใจยิ่งนัก เดิมทีคิดว่าหลี่ลั่วมาเพียงคนเดียว ต่อให้มากับคนของจวนโหวเขาก็ไม่เกรงกลัว แต่คิดไม่ถึงว่าฉีอ๋องจะมาเอง ยามนี้จะทำเช่นใดดี?
“ที่นาพระราชทานของจวนจงหย่งโหวให้กรมวังดูแลรับผิดชอบมาหกปี บัญชีของทั้งหกปีนี้พวกเ้ามีสำเนาไว้ที่นี่หรือไม่?” กู้จวิ้นเฉินถาม
“มีพ่ะย่ะค่ะ บ่าวมีสำเนา”
“พระชายามีข้อสงสัยในสมุดบัญชีของจวนโหว ถือโอกาสในขณะที่เปิ่นหวางอยู่ด้วยนี้ เ้าจงไปเรียกคนนำสมุดบัญชีมาให้เปิ่นหวางดูเสีย” กู้จวิ้นเฉินกล่าว “นำสมุดบัญชีที่พวกเ้าจ่ายเงินค่าแรงให้กับหัวหน้าคนงาน สมุดบัญชีที่พวกเ้าจ่ายชำระเงินให้กับจวนโหว และสมุดบัญชีที่พวกเ้าขายข้าวให้กับผู้ค้าข้าวมาให้หมด”
“พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีปอรีบลุกขึ้นไปหยิบ
อวี๋กงกงรีบลุกขึ้นจะตามไป สายตาของกู้จวิ้นเฉินเย็นะเื “อยู่ต่อหน้าเปิ่นหวาง ไม่เคยมีผู้ใดไม่มีคำสั่งของเปิ่นหวาง แล้วคนผู้นั้นจะละเว้นธรรมเนียมมารยาทได้ กฎระเบียบอยู่ที่ไหนกัน?”
อวี๋กงกงใจนสะดุ้งโหยง รีบกลับไปคุกเข่าอีกครั้ง เสียงดังยิ่ง เสียงนั้นดัง ‘ตึงๆ’
หลี่ลั่วมองจนลูกั์ตาดำของตนแทบจะหลุดออกมา ตนเองนั้นอย่างไรก็เป็ถึงโหวเหฺยท่านหนึ่ง พวกเขาปฏิบัติต่อตนอย่างนอกลู่นอกทาง แต่ต่อกู้จวิ้นเฉินแล้วนั้น เขาเพียงแต่พูดด้วยน้ำเสียงเ็าเล็กน้อยเท่านั้น คนของกรมวังเหล่านี้ก็ต่างใจนคุกเข่าอย่างดี นี่มันหมายความอย่างไร?
สายตาของกู้จวิ้นเฉินเหลือบไปเห็นสีหน้าที่ขุ่นเคืองของหลี่ลั่วแล้วพลันยื่นมือออกไปลูบศีรษะหลี่ลั่ว “เ้าต้องจดจำเอาไว้ เ้าเป็พระชายาของข้า ข้าสูงศักดิ์เพียงใด เกียรติยศที่ให้เ้าย่อมไม่น้อยลงแม้สักส่วน เ้าเป็นาย นายลงโทษบ่าว แต่ไหนแต่ไรมาไม่ต้องมีเหตุผล หากนายต้องเอ่ยเหตุผลกับบ่าว ถือเป็การลดฐานะของตนเองลงไป”
ใต้หล้านี้มีเพียงแต่คนในราชวงศ์เท่านั้นถึงจะกล้าพูดคำว่า ‘นายลงโทษบ่าว แต่ไหนแต่ไรมาไม่ต้องมีเหตุผล’ ช่างเป็คำพูดที่ยโสยิ่งนัก นี่คือฉีอ๋อง ั้แ่กำเนิดก็ได้กำหนดมาแล้วว่าฐานะของเขาสูงส่งกว่าบรรดาองค์ชายทั้งหลายอยู่หลายส่วน เขาเป็พระราชนัดดาคนเล็กของฮ่องเต้องค์ก่อน พระโอรสองค์เล็กในองค์ชายรัชทายาท บิดาของเขา มารดาของเขา ท่านปู่ของเขา ท่านย่าของเขา ท่านตาของเขา ท่านยายของเขา ล้วนเป็บุตรชายบุตรสาวที่ให้กำเนิดโดยภรรยาเอกทั้งสิ้น
หลี่ลั่วคิด เขายังไม่ได้เป็พระชายาฉีอ๋องนี่นา
ราวกับว่ากู้จวิ้นเฉินได้ยินคำตอบในใจของหลี่ลั่ว “ข้าบอกว่าใช่ ก็คือใช่ หรือจะให้ข้าถวายฎีกาต่อเสด็จอา ให้พวกเราแต่งงานกันเร็วขึ้นหน่อยดีเล่า?”
“ไม่ๆๆ” หลี่ลั่วส่ายหน้าราวกับกลองปอหลางกู่[1]
กู้จวิ้นเฉินหรี่ตาลง “เ้าไม่พอใจข้ารึ?”
“...มิใช่”
“เช่นนั้น เหตุไฉนเ้าจึงยังไม่ยินดีแต่งงานเร็วขึ้นเล่า?” กู้จวิ้นเฉินถาม
ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่เื่นี้เข้าใจไหม? “ปัญหานี้ ไว้พวกเราค่อยปรึกษากันส่วนตัวเถิด”
คนทั้งหมดล้วนอยู่ในกิริยาอาการตึงเครียด ต่อให้ฉีอ๋องมาแสดงความรักต่อหน้าพวกเขา พวกเขาก็ยังคงตึงเครียดอยู่ดี คนที่สูงส่งจนมิอาจเอื้อมปีนถึงนั้น วันนี้มีบุญวาสนาได้พบเห็นแล้ว
เมื่อขันทีปอกลับเข้ามาอีกครั้งก็อุ้มหีบใบหนึ่งเข้ามาด้วย “ท่านอ๋อง นี่เป็สมุดบัญชีเกี่ยวกับที่นาพระราชทานของจวนจงหย่งโหวตลอดทั้งหกปีที่ผ่านมาขอรับ”
เมื่อเห็นขันทีปอย้ายหีบใบนั้นมา อวี๋กงกงแทบจะเป็อัมพาตอยู่บนพื้น นี่เป็สมุดบัญชีภายใน ขันทีปอทำเช่นนี้คือ...ทอดทิ้งเขาแล้ว
จวิ้นอีก้าวขึ้นไปเปิดหีบออกแล้วนำสมุดบัญชีออกมา
“นำไปให้พระชายาของพวกเ้า” กู้จวิ้นเฉินกล่าว
หลี่ลั่วนั้นไม่อยากจะโอดครวญต่อพฤติกรรมของกู้จวิ้นเฉินอีกต่อไป เขาหยิบสมุดบัญชีมาดู...จากนั้นพลิกดูอย่างรวดเร็วเล่มแล้วเล่มเล่า หลี่ลั่วพลิกสมุดบัญชีเหล่านี้อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็วางลง
อวี๋กงกงกำลังยินดีว่าโชคดีที่เด็กน้อยคนนี้อายุเพียงห้าขวบ น่าจะดูสมุดบัญชีไม่เข้าใจ แต่เมื่อได้สบตากับหลี่ลั่ว อวี๋กงกงจึงรู้ว่าตนคิดผิดเสียแล้ว
[1] กลองปอหลางกู่ (拨浪鼓) คือ กลองป๋องแป๋ง