ฉินอวี่ที่มีความสงสัยอยู่ในใจได้เดินตามหวังจงและหลิวเจ๋อไป และมุ่งหน้าไปทางหลุมฝังศพที่อยู่เบื้องหน้าอีกครั้ง ตอนนี้หญิงสาวชุดดำคนนั้นก็ได้อุ้มผู้ชายที่เต็มไปด้วยเืนั้นเดินตามหลังทั้งสามคนมาอย่างใกล้ชิด
กลุ่มคนทั้งสี่จึงกลับมาถึงหลุมฝังศพอีกครั้ง
“ที่นี่ได้หรือไม่?” เมื่อถึงหลุมฝังศพที่อยู่ในส่วนลึก หวังจงชี้นิ้วไปยังพื้นที่โล่งเล็กๆ แห่งหนึ่ง และมองหญิงชุดดำคนนั้นอย่างประหม่า ก่อนจะถามออกไปอย่างวิตก
“ข้า้าหลุมศพที่อยู่ลึกที่สุด นี่พูดกันไม่เข้าใจหรือ?” ดวงตาของหญิงสาวชุดดำเผยความเคียดแค้นอย่างไม่รู้จบ
หวังจงส่ายศีรษะอย่างหวาดกลัว มองเข้าไปยังส่วนลึก จากนั้นจึงมองฉินอวี่ด้วยสายตาที่กำลังร้องขอความช่วยเหลือ ฉินอวี่ก็มีสีหน้าเคร่งขรึม และมองไปทางหญิงสาวชุดดำ ก่อนจะพูดว่า “สหาย หากเข้าไปในส่วนลึกก็จะพบกับผู้เฒ่าร้องไห้...”
หวังจงและหลิวเจ๋อต่างอ้าปากค้าง และมองฉินอวี่อย่างตกตะลึง
สะ... สหาย? กล้าเรียกคนผู้นี้ว่าสหาย?
ใบหน้าของหญิงสาวชุดดำมีรอยยิ้มขึ้นเล็กน้อย ดวงตาสีดำสนิทดูลึกล้ำได้เผยความน่าหวาดกลัวและระมัดระวัง นางกัดริมฝีปากของนาง และพูดอย่างอ่อนโยน “ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็้าฝังร่างพี่ชายของข้าเอาไว้ในส่วนที่ลึกที่สุด ส่วนพวกเ้าจะทำอย่างไร ก็ไม่เกี่ยวกับข้า”
หวังจงและหลิวเจ๋อมีเหงื่อไหลออกมาท่วมตัว กลืนน้ำลายอย่างแห้งๆ ขณะเดียวกันก็มองไปทางฉินอวี่ ฉินอวี่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง และพยักหน้าเบาๆ พลางเหาะตรงออกไปด้านหน้า หวังจงและหลี่เจ๋อจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก และกล้าที่จะเดินทางลึกเข้าไป
เมื่อไปถึงพื้นที่ด้านนอกของเขตรอยวิถีทำลายล้างจำนวนนับไม่ถ้วน ฉินอวี่จึงหยุดลง และหันมองหญิงสาวชุดดำ ก่อนจะพูดว่า “ที่นี่น่าจะได้แล้วใช่หรือไม่? หากยังเข้าไปอีก พวกเราคงต้องตายกันทั้งหมดแน่”
“ขุด!” หญิงสาวชุดดำพูดขึ้นอย่างเยือกเย็น เมื่อพูดจบ ก็เหลือบมองรอยวิถีทำลายล้างที่อยู่ตรงหน้า ก่อนจะลังเลอยู่ครู่หนึ่ง และค่อยๆ ลอยตัวลงยังพื้นดิน พลันมองดูร่างที่ไร้ชีวิตในอ้อมแขนของนางอย่างโศกเศร้า
หวังจงและหลิวเจ๋อรีบหยิบพลั่วออกมาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเริ่มขุดหลุมอย่างบ้าคลั่ง เพราะกลัวว่าหากอยู่ในส่วนลึกเป็เวลานานอาจต้องพบกับผู้เฒ่าร้องไห้คนนั้นอีกครั้ง
ฉินอวี่ยืนอยู่ตรงรอยต่อของรอยวิถีทำลายล้าง และมองตรงไปยังเบื้องหน้า พูดตามตรง ฉินอวี่มีความอยากรู้เื่ภายในรอยวิถีทำลายล้างเหล่านี้เป็อย่างมาก หากคาดเดาไม่ผิดละก็ ที่แห่งนี้มีความเป็ไปได้อย่างยิ่งที่จะเป็ซากปรักหักพังของสำนักจูเทียนเต้าในอดีต หากได้ลองเข้าไปดู ก็นับว่าคงไม่เสียเที่ยว
“ทำไมเ้าไม่ขุดด้วยล่ะ?” หญิงสาวชุดดำเงยหน้าขึ้นมองฉินอวี่ที่กำลังยืนมองเข้าไปยังส่วนลึก และพูดด้วยเสียงแหลม
ฉินอวี่ส่ายหน้า และมองไปทางหญิงสาวชุดดำ ก่อนจะพูดอย่างเรียบเฉย “ข้ายังมาที่นี่ได้ไม่นาน ยังทำอะไรไม่เป็หรอก”
หญิงสาวชุดดำอุ้มร่างอันไร้ชีวิตไว้ในแขนข้างซ้าย และใช้มือข้างขวาจับแส้สีดำเส้นหนึ่ง ฟาดตรงไปยังฉินอวี่ทันที “ในเมื่อเ้าทำไม่เป็ ปล่อยไว้ก็ไม่มีประโยชน์!”
“อย่านะ!” หวังจงและหลิวเจ๋อะโขึ้นพร้อมกัน หากหลี่โหย่วฉายเกิดตายไปเสียก่อน แล้วต้องเผชิญกับผู้เฒ่าร้องไห้คนนั้น ทุกอย่างคงพังพินาศแน่นอน
ฉินอวี่มีสีหน้าเคร่งขรึม ในขณะเตรียมสกัดกั้นนั้น เสียงโหยหวนอันน่าสยดสยองก็ดังไปทั่วฟ้าดิน
หวังจงและหลี่เจ๋อสั่นสะท้านไปทั้งร่าง ราวกับถูกฟ้าผ่าติดต่อกันถึงห้าครั้ง สีหน้าซีดขาวเป็อย่างยิ่ง พลั่วในมือตกลงสู่พื้นทันที หญิงสาวชุดดำก็หยุดโจมตีอย่างกะทันหัน มองไปยังส่วนลึกด้วยความหวาดกลัว นางนึกไม่ถึงว่าจะได้พบกับผู้เฒ่าร้องไห้ในตำนานจริงๆ
ฉินอวี่ก็หันกลับมาอย่างนิ่งขรึม เขามองเห็นเงาร่างจำนวนนับไม่ถ้วน กำลังเคลื่อนที่ออกมาจากรอยวิถีทำลายล้างที่หนาแน่นเ่าั้ ท้ายที่สุดเงาร่างจำนวนมากมายนั้นก็รวมเป็เงาเงาหนึ่ง และกลายเป็ผู้าุโที่ผอมเหลือแต่กระดูก หากไม่ใช่ผู้เฒ่าร้องไห้แล้วจะเป็ใครได้อีก?
“ฮือ ฮือ...”
“ไม่มีแล้ว ทุกอย่างไม่มีเหลืออีกแล้ว ไม่มีสำนักจูเทียนเต้าอีกแล้ว... ใครกัน เป็ใครกัน!” เงาร่างของผู้เฒ่าร้องไห้เปลี่ยนไปทันที แปลงแยกออกเป็สี่ร่าง ปรากฏขึ้นต่อหน้าพวกของฉินอวี่ทั้งสี่คน และต่างพูดประโยคนี้เหมือนกันทั้งสิ้น
หวังจงใกลัวเป็อย่างมาก จนถึงกับทรุดตัวลงไปกับพื้น ส่วนหลิวเจ๋อเป็ลมหมดสติไปทันที แม้ว่าหญิงสาวชุดดำจะหวาดกลัว แต่นางก็ยังรักษาอาการสงบเอาไว้ และพูดด้วยเสียงที่ชัดเจน “ผู้น้อยหลัวชิงเยว่หลานทวดของปรมาจารย์ต้าหลัว คารวะผู้าุโ”
“เป็ใครกัน เ้ารู้หรือไม่ว่าใครเป็คนทำลายสำนักจูเทียนเต้า? ฮือ ฮือ ฮือ...” น้ำตาไหลออกมาจากดวงตาที่หลุบลึกของผู้เฒ่าร้องไห้ พูดออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยเพิกเฉยต่อคำพูดของหญิงสาวชุดดำ
“ข้า...ข้า...ไม่...” หลัวชิงเยว่ก็ตกตะลึงอยู่เช่นกัน ในฐานะที่เป็หลานทวดของปรมาจารย์ใหญ่ทั้งสองแห่งต้าหลัวเทียน หลังชิงเยว่ได้รับความรักความเอ็นดูจากปรมาจารย์ต้าหลัวมากที่สุด และยังได้รับการตั้งชื่อให้ว่าชิงเยว่หวังซึ่งไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ แม้ว่าจะเป็เพียงแต่ในนาม แต่ก็ทำให้เห็นได้ว่าปรมาจารย์ต้าหลัวมีความเอ็นดูหลัวชิงเยว่เป็อย่างยิ่ง
ตามหลักแล้ว หลัวชิงเยว่จะได้รับการสนับสนุนจากคนหลากหลายโดยไม่ต้องทำอะไรมากนัก สามารถได้รับสิ่งวิเศษหรือทรัพยากรฝึกฝนหลายอย่างที่ผู้าุโจำนวนมากของแดนต้าหลัวเทียนก็ยังมิอาจไขว่คว้ามาได้ จึงฝึกฝนอย่างสุขสบายมาตลอด ไม่เหมือนกับคนอื่นๆ อีกหลายคนที่ยังคงขาดแคลนทรัพยากร
แต่หลัวชิงเยว่ก็แข็งแกร่งเป็พิเศษ นางปล่อยวางสถานะทุกอย่างที่ปกปิดตัวตนลงและร่วมการทดสอบอสูรอารักขา ด้วยความภาคภูมิใจในพละกำลังของตนเองมาตลอด นางจึงมั่นใจว่าจะต้องเป็หนึ่งในเจ็ดสิบสองอสูรธรณี
หลัวชิงเยว่ก็เคยได้ยินเื่ของผู้เฒ่าร้องไห้มาบ้างแล้ว แต่ความจริงแล้ว นางก็ไม่เคยเอามาใส่ใจเลย นางไม่เชื่อว่าในแดนต้าโหมวเทียนจะมีใครกล้าขัดขืนเจตนาบรรพชนของนาง แต่ตอนนี้ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับผู้เฒ่าร้องไห้จริงๆ หลัวชิงเยว่จึงตระหนักได้ว่าตนเองยังไร้เดียงสาเพียงใด แต่หากเปรียบพลังปราณของผู้เฒ่าร้องไห้กับบรรพชนของนาง ปรมาจารย์ต้าหลัวยังนับว่ามีมากกว่าอยู่มาก
“ไม่อยากตายก็หุบปาก!” ในขณะที่หลัวชิงเยว่กำลังจะตอบว่าไม่รู้นั้น นางก็ได้ยินเสียงะโดังขึ้น
“ผู้าุโ ข้ารู้ว่าเป็ใคร” ฉินอวี่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ และรีบตอบขึ้นทันที วิชาลับของผู้เฒ่าร้องไห้นี้ทรงพลังไม่มีใครเทียบได้ และด้วยความคลุ้มคลั่งเสียสติของเขานั้น ฉินอวี่ก็ไม่แน่ใจว่าการทำเช่นนี้จะสามารถหลอกเขาได้ทุกครั้งหรือไม่
ทันใดนั้นร่างแยกอีกสามร่างก็ตรงเข้ามาตรงหน้าของฉินอวี่ ผู้เฒ่าร้องไห้ทั้งสี่ต่างจ้องตรงมาทางฉินอวี่ พลางพูดอย่างสะอึกสะอื้น “เป็ใครกัน? บอกข้ามาว่าคือใคร?”
“ศิษย์ของสำนักจูเทียนเต้าของท่านเป็คนทำ” ฉินอวี่ตอบไปด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“ศิษย์ของสำนักจูเทียนเต้าเป็คนทำ? ใคร? เขาเป็ใคร?” ผู้เฒ่าร้องไห้หยุดร้องไห้ ดวงตาที่เว้าลึกของเขาเผยแรงอาฆาตออกมาอย่างเหลือล้น
ฉินอวี่กลืนน้ำลายแห้งๆ เ้าคนบ้านี่เป็อะไรกันแน่? ครั้งที่แล้วเขาก็บอกว่ารู้แล้วมิใช่หรือ? ความคิดของเขาคิดทบทวนอย่างรวดเร็ว จากนั้นฉินอวี่จึงพูดอย่างระมัดระวัง “ผู้าุโทราบอยู่แล้วมิใช่หรือว่าเป็ผู้ใด?”
“ข้ารู้อยู่แล้วหรือ? ข้ารู้หรือว่าเป็ใคร? ถ้าข้ารู้ว่าเป็ใครแล้วทำไมจะต้องมาถามเ้า?” สีหน้าของผู้เฒ่าร้องไห้เปลี่ยนไป และพูดอย่างดุดัน
ฉินอวี่ก่นด่าอยู่ในใจ เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าผู้เฒ่าร้องไห้้าทำอะไรกันแน่ เมื่อััได้ถึงความเคียดแค้นที่ปรากฏในดวงตาของเขา ฉินอวี่ครุ่นคิดอยู่ในใจ “ผู้าุโรู้มิใช่หรือว่าเป็ใคร? แล้วจะมาถามข้าทำไม?”
“ไปตายเถอะ!” ผู้เฒ่าร้องไห้ยกมือข้างขวาอันผอมแห้งที่เต็มไปด้วยพลังทำลายล้าง ที่เหมือนจะสามารถผ่าดวงดาวและแบ่งแยกฟ้าดินได้ขึ้นมา ก่อนตบไปทางฉินอวี่
“ผู้าุโกำลังหนีอยู่หรือ? ท่านรู้ดีว่าเป็ใคร แล้วทำไมต้องหนี? คงไม่ใช่เพราะคนผู้นั้นแข็งแกร่งมาก แข็งแกร่งจนท่านไม่กล้าจะเก็บความแค้นไว้ในใจ?” ฉินอวี่ขนลุกไปทั้งร่าง ะโเสียงดังออกไปอย่างหวาดกลัว
มือข้างขวาที่เต็มไปด้วยพลังการทำลายล้างได้หยุดนิ่งอยู่เหนือศีรษะของฉินอวี่ พลังอันเฉียบคมนั้นได้ตัดเส้นผมสีขาวบนศีรษะของฉินอวี่ออกทันที แม้แต่ิับนศีรษะก็ถูกเปิดจนเป็แผล ครู่เดียว เืก็ไหลจากเส้นผมสีขาว ไหลลงมาตามใบหน้าของเขาทันที
“หนีหรือ? ข้ากำลังหนีหรือ? ใครบอกว่าข้ากำลังหนี?” ผู้เฒ่าร้องไห้มีดวงตาแดงก่ำ ราวกับอสูรร้ายที่กำลังโกรธเกรี้ยว
“หากผู้าุโไม่ได้หนี แล้วเหตุใดท่านจึงไม่กล้าที่จะออกไปจากที่นี่ล่ะ? ท่านมีเก้าวิชาลับจูเทียนอยู่กับตัว ไม่ยอมแก้แค้นให้สำนักจูเทียนเต้า แต่กลับมัวแต่ร้องไห้อยู่ที่นี่ได้ทั้งวัน หรือว่า กำลังทำเช่นนี้เพื่อลบความรู้สึกผิดในใจของท่านเอง? หากข้าเป็ท่าน ข้าคงล้างแค้นไปนานแล้ว” ฉินอวี่พูดอย่างเยือกเย็น แต่หัวใจของเขากลับเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ เพียงดูก็รู้แล้วว่าผู้เฒ่าร้องไห้มีความผิดปกติ ไม่มีใครสามารถอ่านความคิดของเขาได้ ฉินอวี่จึงทำได้แต่เพียงคอยกระตุ้นเขา ว่าจะทำให้เขาพอจะมีสติได้หรือไม่
“รู้สึกผิด ฮ่าๆ... ฮ่าๆ แก้แค้น...” ผู้เฒ่าร้องไห้เก็บมือของตนเองกลับไป และหันหลังกลับเข้าไปในส่วนลึกทันที
ในขณะที่ฉินอวี่กำลังถอนหายใจอย่างโล่งอก ผู้เฒ่าร้องไห้ก็หยุดลงกะทันหัน และพูดด้วยใบหน้าที่ดุร้าย “หากรู้ว่ากำลังถูกส่งไปตาย เ้าจะไปหรือไม่?”
“ไม่ไป!”
“แต่ข้าไม่อาจนั่งอยู่เฉยๆ ได้ บางทีตอนนี้ข้าก็ยังไม่มีวิธีจะเอาชนะได้ แต่ข้าสามารถจะทุ่มเททั้งชีวิตได้ หากยังไม่ได้แก้แค้น ก็ไม่ยอมหยุดตลอดกาล” ฉินอวี่พูดไปอย่างไม่ลังเล ไม่เพียงแต่ตอบคำถามผู้เฒ่าร้องไห้เท่านั้น แต่เขากำลังให้คำตอบกับตนเองด้วย
ในยุคสมัยไท่กู่ จอมอสูรหลินอวี่ก็สามารถทำลายสำนักเทียนฉีได้ ทำให้แดนเซียนอู่แตกสลาย จนกระทั่งทุกวันนี้ ก็ยังไม่รู้ว่าเขาอยู่ในระดับใดแล้ว แต่ฉินอวี่คงไม่สามารถจะทิ้งความคิดในการแก้แค้นลงไป เพียงเพราะความแข็งแกร่งของเขาได้ และคงไม่เป็เหมือนผู้เฒ่าร้องไห้ที่เอาแต่ร้องไห้เช่นนี้มานานหลายปีจนนับไม่ถ้วน
“ตลอดกาลไม่มีหยุด... ตลอดกาลไม่มีหยุด เ้าหนุ่ม ข้าจะคอยดูว่าเ้าจะทำได้อย่างที่พูดหรือไม่” พูดจบ ผู้เฒ่าร้องไห้ก็โบกมือขวา และพาตัวฉินอวี่ทะลุเข้าไปยังเขตของรอยวิถีทำลายล้างที่หนาแน่น เข้าไปยังแดนที่เหลืออยู่ของสำนักจูเทียนเต้าในอดีต
หวังจงที่กำลังจมดิ่งอยู่กับความใได้แต่ยืนหน้านิ่งอย่างงุนงง แม้ว่าก่อนหน้านี้ฉินอวี่จะสามารถแก้โจทย์ปัญหาของผู้เฒ่าร้องไห้ได้ แต่กลับนึกไม่ถึงว่าฉินอวี่จะตอบออกไปเช่นนี้ และยิ่งนึกไม่ถึงเลยว่าผู้เฒ่าร้องไห้จะพาตัวฉินอวี่เข้าไปยังแดนที่น่ากลัวแห่งนั้น
หลัวชิงเยว่ก็ตกตะลึงจนไม่สามารถขยับตัวได้ ในฐานะที่เป็หลานทวดของปรมาจารย์ต้าหลัว จึงมีความเข้าใจในความน่ากลัวและความแข็งแกร่งของผู้เฒ่าร้องไห้มากกว่าหวังจง ก่อนหน้านี้นางกล้าที่จะเข้ามา หนึ่งก็เพราะนางกำลังเศร้ามากและ้าจะฝังร่างของพี่ชายไว้ในสถานที่ที่ดีที่สุด ประการที่สองคือปู่ทวดของนางเป็ถึงหนึ่งในสองปรมาจารย์แห่งต้าโหมวเทียน แต่เมื่อนางได้พบว่าผู้เฒ่าร้องไห้นี้มีความแข็งแกร่งไม่ด้อยไปกว่าปู่ทวดของนาง หลัวชิงเยว่จึงใอย่างมาก
หลายปีมานี้ นางไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีใครสามารถตอบคำถามของผู้เฒ่าร้องไห้ได้ และยิ่งไม่เคยได้ยินว่าผู้เฒ่าร้องไห้พาผู้ใดเข้าไปยังดินแดนลึกลับแห่งนั้น ซึ่งที่แห่งนั้นแม้แต่ปู่ทวดของนางเองก็ไม่สามารถเข้าไปได้
แต่ในตอนนี้ นางได้เห็นกับตาตนเองว่าผู้เฒ่าร้องไห้ได้พาคนเข้าไปในนั้น จะไม่ให้หลัวชิงเยว่ใได้อย่างไร
เกรงว่า คนผู้นี้คงเป็เพียงคนเดียวที่ผู้เฒ่าร้องไห้พาเข้าไปยังดินแดนแห่งนั้น นับั้แ่ก่อตั้งต้าโหมวเทียนขึ้นมา หรือว่า คนผู้นี้จะเข้าใจความลับของแดนลึกลับแห่งนี้ หรือว่า คนผู้นี้... จะเป็ที่ถูกใจของผู้เฒ่าร้องไห้? และ... จะรับเขาเป็ศิษย์?
“เขาชื่ออะไร?” หลัวชิงเยว่หันไปทางหวังจงอย่างทันทีทันใด และถามออกไป
“หลี่โหย่วฉาย”
