ตอนที่ 3 บททดสอบแรกแห่งคมเข็มและพู่กันหยก
สามวันเต็มที่ขบวนอพยพอันอ่อนล้าได้ลากสังขารผ่านเส้นทางธุรกันดาร ในที่สุด ภาพของเมืองหลิงหยางก็ปรากฏขึ้นราวกับโอเอซิสในฝัน เมืองเล็กๆ ที่อิงแอบอยู่ริมผืนดินแตกระแหงแห่งนี้ แม้จะไม่อาจเรียกได้ว่าอุดมสมบูรณ์ แต่กำแพงดินที่ตั้งตระหง่านและลำธารสายเล็กที่ไหลเลาะเลียบก็เปรียบดั่งสัญญาณแห่งชีวิต ผู้คนที่ใบหน้าเคลือบด้วยฝุ่นและความสิ้นหวังเริ่มมีรอยยิ้มประดับขึ้นเป็ครั้งแรก แม้มันจะบางเบาราวกับสายลม แต่ก็หนักแน่นด้วยความหวังที่เพิ่งถูกจุดประกาย
อากาศยามรุ่งอรุณของหลิงหยางอบอวลไปด้วยกลิ่นดินแห้งผสมกับกลิ่นเปลือกไม้ที่ชาวบ้านใช้เป็เชื้อไฟ กลิ่นอันเป็เอกลักษณ์ของเมืองชายขอบที่ต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด ความเหนื่อยล้าที่กัดกินร่างกายมาหลายสัปดาห์แสดงออกผ่านแผ่นหลังที่โค้งงอและย่างก้าวที่เชื่องช้าของผู้คน
ทว่าท่ามกลางความอ่อนเพลียนั้น หลี่ซานกลับรู้สึกถึงพลังที่ไหลเวียนอยู่ในร่างอย่างน่าประหลาด ความเมื่อยล้าที่เคยเกาะกินกลับสลายไปราวกับหมอกยามเช้า ส่วนหนึ่งต้องขอบคุณการดูแลอย่างดีของบิดามารดา แต่อีกส่วนหนึ่ง...คือนางรู้ดีว่ามันมาจากพลังลี้ลับของพู่กันหยกในอกเสื้อ และความรู้จากชาติภพก่อนที่ทำให้นางค้นพบสมบัติล้ำค่าระหว่างทาง
ทุกคืน ขณะที่ทุกคนหลับใหล หลี่ซานจะแอบต้มน้ำสมุนไพรดื่มอย่างเงียบๆ ในห่อผ้าเล็กๆ ของนางมีรากถั่งเช่าที่เก็บได้จากซอกหิน ใบอวี้หลานที่ขึ้นอยู่ริมลำธาร และเปลือกไม้เฮ่อหวนที่นางใช้พู่กันหยกชี้ทาง นางผสานความรู้ทางเภสัชกรรมสมัยใหม่เข้ากับพลังวิเศษของพู่กัน เพื่อเสริมสร้างพลังชีวิตและเตรียมพร้อมรับมือกับสิ่งที่ไม่คาดฝันอย่างเงียบเชียบที่สุด
แล้วรุ่งเช้าแห่งการทดสอบก็มาถึงโดยไม่ทันให้ใครได้ตั้งตัว...
ขณะที่ผู้คนกำลังเก็บข้าวของที่กระจัดกระจาย เตรียมออกเดินทางต่อไปยังดินแดนที่อุดมสมบูรณ์กว่า เสียงกรีดร้องแหลมสูงจนบาดแก้วหูก็ดังขึ้นจากท้ายขบวน!
“ป้าจาง!! ช่วยด้วย! ป้าจางเป็อะไร ล้มไปแล้ว ช่วยด้วย!!”
เสียงนั้นเป็ของหญิงชราคนหนึ่งที่สนิทสนมกับผู้เคราะห์ร้าย มันแหบพร่าด้วยความตื่นตระหนกสุดขีด ผู้คนที่กำลังงัวเงียพลันตื่นเต็มตา ความโกลาหลปะทุขึ้นราวกับไฟป่าลามทุ่ง ทุกคนทิ้งสัมภาระแล้ววิ่งกรูกันเข้าไปยังจุดเกิดเหตุ
หลี่ซานหัวใจกระตุกวูบ นางวิ่งสุดฝีเท้า แหวกฝูงชนที่มุงกันแน่นเข้าไป ภาพที่เห็นเบื้องหน้าทำให้นางรู้สึกราวกับถูกสาดด้วยน้ำแข็งไปทั้งตัว
ป้าจาง หญิงชราร่างท้วมใจดีที่มักจะแบ่งปันอาหารให้นางเสมอ นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นดินแห้งแข็ง หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรงและผิดจังหวะ ใบหน้าขาวซีดราวกับกระดาษ แต่ริมฝีปากกลับเขียวคล้ำน่ากลัว เหงื่อกาฬแตกพลั่กทั่วใบหน้า มือและเท้าของนางเริ่มมีอาการเกร็งกระตุกเป็ระยะ เป็ภาพที่น่าสยดสยองอย่างยิ่ง
"หลีกทาง! หลีกทางให้ข้าดูหน่อย!" ชายวัยกลางคนผู้เป็หัวหน้ากลุ่มย่อยะโขึ้น เขาพยายามจะเข้าไปช่วยพยุง แต่แล้วสายตาของเขาก็พลันเบิกกว้างด้วยความหวาดกลัวสุดขีด
“ดูนั่น! ที่ข้อเท้า... รอยเขี้ยว!!” เสียงของเขาสั่นเครือจนฟังแทบไม่เป็ศัพท์ “แย่แล้ว! งูพิษ!!”
คำว่า งูพิษเป็เหมือนสายฟ้าที่ฟาดลงกลางใจของทุกคนในที่นั้น หลี่ซานเบิกตากว้าง พุ่งเข้าไปดูใกล้ๆ รอยเขี้ยวสองจุดเล็กๆ ที่ข้อเท้าของป้าจางบัดนี้บวมเป่งจนน่ากลัว บริเวณโดยรอบเปลี่ยนเป็สีม่วงคล้ำอมดำอย่างรวดเร็ว นี่ไม่ใช่แค่งูพิษธรรมดา แต่มันคือพิษร้ายแรงที่ออกฤทธิ์ฉับพลัน!
“เราต้องรีบพานางไปหาหมอในเมือง!” ใครคนหนึ่งะโขึ้นอย่างร้อนรน
“จะบ้าหรือ!” อีกเสียงหนึ่งค้านขึ้นทันที “หมอในเมืองหลิงหยางก็แค่หมอธรรมดา กว่าจะไปถึง... กว่าจะหาตัวเจอ... พิษคงแล่นเข้าสู่หัวใจพอดี! ข้าเคยเห็นคนถูกงูแบบนี้กัดมาก่อน ไม่รอดสักราย!”
บทสนทนาที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวังยิ่งเพิ่มความชุลมุนวุ่นวาย เวลาทุกวินาทีมีค่าเท่ากับชีวิต หลี่ซานรู้ดีกว่าใครทั้งหมด หากปล่อยให้เวลาผ่านไปแม้เพียงครึ่งเค่อ (ประมาณ 7-8 นาที) พิษจะทำลายระบบประสาทส่วนกลางจนไม่อาจแก้ไขได้ ป้าจางต้องตายอย่างทรมานแน่นอน!
นางตัดสินใจในเสี้ยววินาที!
หลี่ซานขยับเข้าไปคุกเข่าลงข้างร่างที่กำลังชักกระตุกของป้าจาง มือหนึ่งกำพู่กันหยกในอกเสื้อไว้แน่นจนข้อนิ้วขาวซีด ปลายนิ้วอีกข้างแตะลงบนพื้นดินข้างตัวหญิงชรา ััได้ถึงกระแสพลังเย็นเยียบที่แผ่กระจายจากพู่กันหยกออกมาอย่างรวดเร็ว
แสดงข้อมูล!นางสั่งในใจอย่างเด็ดเดี่ยว
ทันใดนั้น ภาพโฮโลแกรมสามมิติของระบบไหลเวียนโลหิตและระบบประสาทของป้าจางก็ปรากฏขึ้นในจิตสำนึกของนางอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง เส้นเืดำที่ควรจะเป็สีน้ำเงินเข้ม บัดนี้กลับมีเส้นสายสีดำทมิฬราวกับหมึกลอยปะปน พิษร้ายกำลังกัดกร่อนผนังหลอดเือย่างรุนแรงและลุกลามขึ้นมาตามขาด้วยความเร็วที่น่าใ หัวใจเริ่มเต้นช้าลงอย่างเห็นได้ชัด ระบบหายใจกำลังจะล้มเหลว!
ข้อมูลพรั่งพรูเข้ามาในหัวนาง งูพิษสายพันธุ์ เฮยหั่วซื่อ อสรพิษอัคคีดำ พิษทำลายระบบประสาทและระบบเืโดยตรง ร้ายแรงถึงชีวิตภายในหนึ่งชั่วยามหากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง!
วินาทีนั้น ความลังเลทั้งหมดของหลี่ซานได้มลายหายไปสิ้น
“ท่านพ่อ! ท่านแม่!” นางะโเสียงดังฟังชัด ตัดผ่านความโกลาหลทั้งหมด “หาผ้าสะอาดกับเชือกมา! รีบมัดเหนือาแขึ้นมาหนึ่งคืบ! มัดให้แน่นที่สุดเท่าที่จะทำได้!”
หลี่ต้าเกอผู้เป็บิดา สะดุ้งจากความตกตะลึง แม้ในแววตาจะเต็มไปด้วยความสับสนและกังวล แต่เขาก็เชื่อมั่นในตัวบุตรสาวและรีบทำตามคำสั่งทันที เขาฉีกชายเสื้อของตนออกเป็แถบยาวแล้วมัดรัดต้นขาของป้าจางอย่างรวดเร็ว
ทว่าซูซูผู้เป็มารดากลับร้องห้ามเสียงหลงด้วยความกลัว “ซานเอ๋อร์! อย่านะลูก! อย่าเข้าไปใกล้ พิษนั่นอันตรายมากนะ!”
หลี่ซานไม่แม้แต่จะหันกลับไปมองมารดา ดวงตาของนางจับจ้องอยู่ที่ร่างของป้าจางอย่างไม่วางตา “ข้าปล่อยให้ใครมาตายต่อหน้าข้าไม่ได้... โดยเฉพาะในเมื่อข้ารู้วิธีที่จะช่วยชีวิตเขา!”
ทุกสายตาจับจ้องมาที่เด็กสาวร่างบางราวกับจะถูกลมพัดปลิวคนนี้ ความเงียบเข้าปกคลุมอย่างฉับพลัน
“มีใครมีเข็มเย็บผ้า หรือของมีคมปลายแหลมเล็กๆ บ้างหรือไม่!” นางหันไปถามเสียงกร้าว “ข้า้ามันด่วนที่สุด!”
ความเงียบเข้าครอบงำชั่วครู่ ก่อนที่ชายหนุ่มคนหนึ่งที่ยืนอยู่ใกล้ๆ จะล้วงเข้าไปในย่ามผ้าของตนแล้วยื่นเข็มเย็บผ้าเล่มยาวให้นาง มือของเขาสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้
หลี่ซานรับเข็มมาโดยไม่ลังเล นางรีบนำปลายเข็มไปลนกับกองไฟเล็กๆ ที่ยังคุกรุ่นอยู่จนมันร้อนแดงเพื่อฆ่าเชื้อโรค จากนั้นจึงใช้เศษผ้าที่สะอาดที่สุดเท่าที่จะหาได้ห่อด้ามเข็มไว้ แล้วก้มลงไปเหนือขาของป้าจาง
“ทุกคนเงียบ... และอย่าขัดขวางข้า” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แต่แฝงไว้ด้วยอำนาจที่ทำให้ไม่มีใครกล้าขัดขืน
จากนั้น... ฉึก! ฉึก! ฉึก!
เสียงเข็มปักลงบนิัดังขึ้นเบาๆ แต่กลับก้องกังวานในความเงียบ ทุกคนที่มุงดูอยู่ต่างสะดุ้งเฮือกไปตามๆ กัน บางคนถึงกับต้องเบือนหน้าหนี
หลี่ซานปักเข็มสามเล่มลงบนจุดรอบๆ าแที่บวมช้ำ และอีกสองเล่มบริเวณขาพับและเหนือเข่าอย่างแม่นยำ นางใช้เทคนิคการฝังเข็มจากศาสตร์แพทย์แผนจีนโบราณที่เคยศึกษามา ผสานเข้ากับความแม่นยำระดับศัลยแพทย์จากโลกเก่าที่มองเห็นตำแหน่งของเส้นลมปราณและจุดสกัดกั้นพิษผ่านภาพในจิตสำนึกที่พู่กันหยกมอบให้
ชั่วขณะนั้น เหงื่อเม็ดโป้งผุดขึ้นเต็มหน้าผากของนาง หัวใจเต้นรัวแรงราวกับจะทะลุออกมานอกอก... แต่มือที่จับเข็มกลับนิ่งสนิท ไม่สั่นไหวแม้แต่น้อย
“ยังไม่พอ!” นางพึมพำกับตัวเอง “ต้องขับพิษออกจากภายในด้วย!”
“เร็วเข้า!” นางะโอีกครั้ง “ข้า้าสมุนไพรขับพิษ! ใบฉางอิ๋น! ลักษณะคล้ายใบมะขามเทศแต่ปลายใบจะมนกว่า! มีกลิ่นฉุนเล็กน้อย! ข้าเห็นมันขึ้นอยู่ริมลำธารไม่ไกลจากตรงนี้! ใครก็ได้ช่วยไปเก็บมาให้ข้าที!!”
ครั้งนี้ไม่มีใครลังเล หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งที่พอจะมีความรู้เื่พืชพรรณอยู่บ้างรีบวิ่งออกไปทันที ภายในเวลาไม่ถึงครึ่งถ้วยชา นางก็กลับมาพร้อมกับใบไม้สดเต็มกำมือยื่นให้หลี่ซาน
“ใช่! อันนี้แหละ!”
หลี่ซานไม่รอช้า นางนำใบไม้เ่าั้ใส่ในชามใบเล็ก ใช้ก้อนหินบดขยี้มันอย่างรวดเร็วจนเป็ของเหลวสีเขียวเข้ม ผสมกับน้ำต้มที่ยังอุ่นอยู่เล็กน้อย กลิ่นฉุนของมันลอยคละคลุ้งไปทั่ว นางกลั้นหายใจขณะประคองศีรษะของป้าจางขึ้น แล้วค่อยๆ กรอกยาขมปร่าลงไปในปากของนางอย่างระมัดระวัง
“ดื่มเถิดเ้าค่ะ ท่านป้า... ได้โปรด... อย่าเพิ่งยอมแพ้...” นางกระซิบเสียงแ่
นาทีนั้น ทั้งคณะอพยพแทบจะหยุดหายใจ ทุกคนยืนนิ่งราวกับรูปสลัก เฝ้ารอผลลัพธ์อย่างใจจดใจจ่อ เวลาผ่านไปเชื่องช้าราวกับนิรันดร์... หนึ่งลมหายใจ... สองลมหายใจ... ใบหน้าของป้าจางยังคงเขียวคล้ำ...
ทันใดนั้น! แค่ก! แค่ก!
ป้าจางสะดุ้งเฮือกอย่างรุนแรง ร่างกายไอสำลักออกมาเป็ของเหลวสีดำคล้ำน่ากลัว ก่อนจะหอบหายใจเข้าปอดอย่างแรงราวกับคนเพิ่งโผล่พ้นจากน้ำ แล้วเปลือกตาที่ปิดสนิทก็ค่อยๆ สั่นระริก...และลืมตาขึ้นช้าๆ
เสียงร้องไห้ด้วยความดีใจของหญิงชราคนที่เป็เพื่อนสนิทดังขึ้นเป็คนแรก ทำลายความเงียบงันทั้งหมดลง “ป้าจางฟื้นแล้ว!! ์! นางยังไม่ตาย!”
สีหน้าที่ซีดเซียวของป้าจางเริ่มปรากฏสีเืฝาดจางๆ แม้จะยังอ่อนแรง แต่สติของนางกลับคืนมาแล้ว ดวงตาที่พร่ามัวมองมาที่หลี่ซานอย่างสับสน “คุณหนู... เ้า... ข้า... ข้ารอดแล้วจริงๆ หรือ?”
หลี่ซานยิ้มออกมาบางๆ เป็ครั้งแรก น้ำตาแห่งความโล่งใจรื้นขึ้นมาในเบ้าตา แต่นางยังคงควบคุมอารมณ์ไว้อย่างดีเยี่ยม “ท่านยังไม่ตายเ้าค่ะ แต่พิษยังไม่หมดไปเสียทีเดียว ท่านต้องพักผ่อนให้มากๆ และดื่มยาที่ข้าปรุงให้ต่อไปอีกสามวัน”
ทุกคนรอบข้างเงียบงันไปชั่วขณะ... ก่อนที่เสียงปรบมือจะดังขึ้น ช้าๆ... ทีละคน... แล้วดังกระหึ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็เสียงโห่ร้องชื่นชมก้องไปทั่วบริเวณนั้น
“นั่นมันซานเอ๋อร์! ลูกสาวของหลี่ต้าเกอนี่นา!”
“นาง... นางรักษาคนได้จริงๆ! ด้วยเข็มเพียงไม่กี่เล่มกับใบไม้!”
“ข้าไม่เคยเห็นใครฝังเข็มได้นิ่งและแม่นยำเช่นนี้มาก่อนเลย! ราวกับเทพเซียนจุติลงมา!”
หลี่ต้าเกอและซูซูยืนมองบุตรสาวที่เคยอ่อนแอราวกับจะปลิดปลิวตามลม บัดนี้กลับยืนหยัดอย่างมั่นคง เปล่งประกายเจิดจรัสราวกับดวงดาวที่สว่างที่สุดกลางทะเลทรายอันมืดมิด สองสามีภรรยามองหน้ากัน ในแววตาเต็มไปด้วยความตกตะลึง ความภาคภูมิใจ และความรู้สึกซับซ้อนที่ยากจะอธิบาย
หลังจากวันนั้น ชื่อเสียงของ “หลี่ซาน หมอเทวดาผู้รักษาด้วยคมเข็มและสมุนไพร” ก็แพร่กระจายไปทั่วทั้งคณะอพยพราวกับไฟลามทุ่ง ชาวบ้านที่เคยมีอาการเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ ต่างพากันมาขอให้นางช่วยเหลือ เด็กเล็กๆ มองนางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความนับถือและชื่นชม และแม้แต่ผู้าุโที่เคยเย่อหยิ่งบางคนก็ยังต้องน้อมตัวลงมาขอคำแนะนำเื่สมุนไพรจากเด็กสาว
หลี่ซานใช้เวลาว่างทุกครั้งที่ขบวนหยุดพักเข้าป่าเพื่อเสาะหาสมุนไพรมาตุนไว้ โดยมีพู่กันหยกเป็เครื่องนำทางที่แม่นยำที่สุด นางไม่ได้เพียงแค่อยากจะมีชีวิตรอดในโลกโบราณที่โหดร้ายใบนี้อีกต่อไปแล้ว... แต่นางกำลังจะเปลี่ยนแปลงมัน
แม้ภายนอกนางจะยังคงเป็เพียงเด็กสาวร่างผอมบางในชุดผ้าเนื้อหยาบ แต่บัดนี้... ไม่มีใครกล้ามองนางเป็เพียงเด็กสาวธรรมดาอีกต่อไป
บททดสอบแรกแห่งชีวิตได้เริ่มต้นและสิ้นสุดลงด้วยชัยชนะอันงดงาม ทว่าหลี่ซานรู้ดี... นี่เป็เพียงจุดเริ่มต้น หนทางเบื้องหน้ายังคงทอดยาวและเต็มไปด้วยขวากหนาม... โรคระบาดที่อาจคร่าชีวิตคนทั้งเมือง การใส่ร้ายป้ายสีจากผู้ที่อิจฉาริษยา ความลับอันดำมืดที่ซ่อนอยู่ในราชสำนัก และเงามืดของอำนาจที่เริ่มจับจ้องมายังตัวตนของนาง... ผู้เป็หมอหญิงอัจฉริยะซึ่งกุมชะตาแห่งพู่กันหยกไว้ในมือ...