“ซั่งกวานอู่”
บัณฑิตผู้รับผิดชอบการลงทะเบียนะโขานชื่อเสียงดัง
เด็กหนุ่มร่างกำยำอายุราวสิบเจ็ดถึงสิบแปดปีพลันก้าวออกมาจากกลุ่มลูกศิษย์ของตระกูลซั่งกวาน เขาเดินไปด้านหน้าของเสาหินที่ตั้งตระหง่านอยู่บนแท่นเพื่อทำการทดสอบปราณกระดูก
หลังจากเด็กหนุ่มหยดเืลงไป รอยขีดบนเสาหินก็เปล่งแสงออกมาทั้งหมดแปดขีด นั่นหมายความว่าปราณกระดูกของซั่งกวานอู่ผู้นี้อยู่ในขั้นแปด นับว่ามีพร์ที่ดีมาก
หลังจากซั่งกวานอู่ทำการทดสอบเสร็จสิ้นแล้ว เขาก็เหยียดยิ้มออกมาอย่างภูมิใจในพร์ของตน ก่อนจะก้าวลงจากแท่นเวทีหลังจากผ่านเกณฑ์การสมัคร
เพียงไม่นานบรรดาศิษย์คนอื่นของตระกูลซั่งกวานก็เริ่มทยอยทำการทดสอบไปทีละคน สองในสามจากบรรดาคนทั้งหมดมีคุณสมบัติตรงตามข้อกำหนดของสำนักศึกษา แน่นอนว่าเื่นี้ย่อมทำให้ผู้นำตระกูลซั่งกวานอย่างซั่งกวานสยงพึงพอใจได้เป็อย่างยิ่ง
ซั่งกวานสยงคือชายวัยกลางคนที่สวมใส่ชุดคลุมสีคราม เขาคือผู้นำตระกูลซั่งกวานคนปัจจุบัน วรยุทธ์ของเขาอยู่ในระดับหยวนตาน นอกจากนี้เขายังเป็บิดาของซั่งกวานเชียนจื้อด้วย
ซั่งกวานสยงยืนอยู่ข้างสนามด้วยความพึงพอใจกับผลลัพธ์นี้ ใน่หลายปีที่ผ่านมา ตระกูลซั่งกวานของเขาได้สร้างศิษย์ที่มีความสามารถออกมาไม่น้อย และสิ่งนี้จะทำให้รากฐานของตระกูลซั่งกวานในเมืองหลวงมั่นคงขึ้น
ซั่งกวานสยงเหลือบมองไปทางมู่เฉินที่อยู่อีกด้านหนึ่ง ก่อนจะเหยียดยิ้มออกมา “ผู้นำตระกูลมู่ ข้าละสงสัยนักว่าคราวนี้ตระกูลมู่ของเ้าจะสามารถสร้างอัจฉริยะที่มีพร์ระดับกระดูกิญญาออกมาได้อีกหรือไม่?”
ซั่งกวานสยงกล่าวถากถาง ครั้งก่อนตระกูลมู่ยังมีมู่เฟิง อัจฉริยะผู้มีพร์ระดับกระดูกิญญา แต่ยังไม่ทันที่พวกเขาจะได้มีความสุข เด็กหนุ่มผู้นั้นก็ถูกทางสำนักศึกษาราชวงศ์ปฏิเสธเสียก่อน ทั้งยังพูดจาดูถูกจนทำให้ตระกูลมู่กลายเป็ตัวตลกอีกด้วย
มู่เฉินเหลือบตามองซั่งกวานสยงเช่นกัน จากนั้นเขาก็เอ่ยปากออกมาอย่างใจเย็นว่า “ปณิธานของคนทรามนั้นสั้นเพียงลมหายใจ ไม่เหมือนัซ่อนลายที่รอวันเติบโต”
มู่เฉินกำลังต่อว่าซั่งกวานสยงว่าเขาคือคนทรามผู้นั้น
“หึ ัซ่อนลายที่รอวันเติบโต รอดูเถอะว่าใครจะเติบโตใครจะดับสิ้น”
ซั่งกวานสยงยิ้มเยาะโดยไม่ได้กล่าวอะไรออกมาอีก
อีกมุมหนึ่ง อวิ๋นไห่ยังคงนิ่งเงียบมาั้แ่ต้นจนถึงตอนนี้ ในปัจจุบันระหว่างตระกูลอวิ๋นและตระกูลมู่นั้นได้ตัดขาดกันอย่างสมบูรณ์แล้ว
หลังจากศิษย์ของตระกูลอวิ๋นทำการทดสอบเสร็จสิ้น ทันใดนั้นศิษย์รุ่นเยาว์กลุ่มหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้น กลุ่มคนเหล่านี้ล้วนสวมใส่ชุดคลุมสีดำ บ่งบอกว่าพวกเขามาจากสถานที่เดียวกัน นั่นคือจวนเป่ยอ๋อง!
“จวนเป่ยอ๋อง เฉินเซิ่ง”
บัณฑิตผู้รับผิดชอบการลงทะเบียนขานชื่อออกมาเสียงดัง
เด็กหนุ่มในชุดคลุมสีดำใบหน้าทรงเหลี่ยมเดินไปยังหน้าเสาหิน เขาหยดเืลงไปเพื่อทำการทดสอบปราณกระดูก
พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ...!
รอยขีดบนเสาหินพลันเปล่งแสงขึ้นอย่างรวดเร็ว เพียงไม่นานก็พบว่ามีรอยขีดที่เปล่งแสงออกมาทั้งหมดเก้าขีด
“ปราณกระดูกขั้นเก้า!”
ทันใดนั้นฝูงชนในลานจัตุรัสก็พากันร้องอุทานออกมาทันที ศิษย์ของจวนเป่ยอ๋องในปีนี้มีอัจฉริยะที่มีปราณกระดูกขั้นเก้าอยู่ด้วย
จ้าวเหิงที่นั่งอยู่บนแท่นสูงเหยียดยิ้มออกมาอย่างพอใจ
เฉินเซิ่งก้าวลงจากแท่นเวทีอย่างภาคภูมิ จากนั้นศิษย์คนถัดไปก็เริ่มทำการทดสอบ
หลังทำการทดสอบก็พบว่าศิษย์คนที่สองนั้นมีปราณกระดูกอยู่ในขั้นแปด แน่นอนว่าผลลัพธ์นี้ทำให้เสียงอือฮาดังขึ้นอีกครั้ง
จากนั้นก็ถึงคราวของศิษย์คนที่สาม และคาดไม่ถึงว่าเขาจะมีปราณกระดูกขั้นแปดเช่นกัน เหตุการณ์นี้ทำเอากองกำลังกลุ่มอื่นต่างก็ตื่นใ
ปีนี้ศิษย์จากจวนเป่ยอ๋องมีอัจฉริยะปรากฏตัวถึงสามคน!
โชคดีถึงเพียงนี้เชียวหรือ? นี่ไม่ใช่การประกาศความรุ่งโรจน์ของจวนเป่ยอ๋องหรอกหรือ?
หนานหาวที่นั่งชมอยู่บนอาคารสูงเหยียดยิ้มออกมาทันที
หลังจากนั้นบรรดาศิษย์คนอื่นๆ จากจวนเป่ยอ๋องก็เริ่มทยอยทำการทดสอบ แม้ว่าเมื่อเทียบกับอัจฉริยะคนก่อนหน้าปราณกระดูกของศิษย์คนอื่นจะไม่ได้อยู่ในขั้นแปดหรือขั้นเก้า แต่ปราณกระดูกของศิษย์อีกสามคนก็อยู่ในขั้นเจ็ดซึ่งถือว่าไม่ธรรมดาเช่นกัน
แน่นอนว่าเื่นี้ย่อมทำให้กองกำลังกลุ่มอื่นประหลาดใจ หรือเวลานี้์กำลังโปรดปราณจวนเป่ยอ๋องกัน
ในที่สุดก็ถึงคราวของตระกูลมู่
เมื่อศิษย์ตระกูลมู่ขึ้นไปบนแท่นเวทีก็มีหลายคนแสดงสีหน้าล้อเลียนพวกเขา ครั้งก่อนตระกูลมู่ได้กลายเป็ตัวตลกของสาธารณะชน แล้วครั้งนี้จะเป็อย่างไรกันนะ?
หลายคนจับตามองไปยังเด็กหนุ่มผมขาวราวกับหิมะผู้นั้น มีคนจำนวนไม่น้อยกำลังตั้งตารอชมว่านักสลักลายเส้นอัจฉริยะที่สร้างความปั่นป่วนให้กับเมืองหลวงในเวลานี้จะมีพร์มากเพียงใด
พร์ด้านปราณกระดูกของเขาจะเทียบกับพร์ด้านการสลักลายเส้นได้หรือไม่?
“มู่ฟาน”
บัณฑิตผู้รับผิดชอบการลงทะเบียนะโขานชื่อตามลำดับ เด็กหนุ่มจากตระกูลมู่เดินไปยังเสาหินที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงกลางในทันที เขาใช้กริชกรีดนิ้วก่อนจะหยดเืลงไปบนเสาหิน ฉับพลันนั้นรอยขีดบนเสาหินก็พลันเปล่งแสงออกมาห้าขีดก่อนจะนิ่งไป
“ปราณกระดูกขั้นห้า คุณสมบัติผ่านตามเงื่อนไข”
บัณฑิตผู้นั้นประกาศผลลัพธ์ออกมา
เมื่อได้ยินดังนั้นมู่ฝานก็มีสีหน้าผิดหวังเล็กน้อย
ปราณกระดูกขั้นห้านั้นเป็คุณสมบัติที่เหยียบเส้นยาแดงอย่างพอดิบพอดี แม้คุณสมบัติจะผ่านตามเงื่อนไข แต่ก็ไม่ได้รับความสนใจจากตระกูลมากนัก ถึงจะมีคุณสมบัติสามารถเข้าศึกษาในสำนักศึกษาราชวงศ์ได้ แต่หากทางตระกูลไม่สนับสนุนค่าเล่าเรียนเื่นี้ก็จะกลายเป็อีกเื่หนึ่ง
โดยปกติแล้วตระกูลส่วนใหญ่จะไม่สนับสนุนให้คนที่มีพร์ในระดับนี้เข้าศึกษาในสำนักศึกษาราชวงศ์ เนื่องจากเป็การสิ้นเปลืองมากเกินไป แน่นอนว่าพวกเขาย่อม้าทุ่มเทให้กับศิษย์ที่มีปราณกระดูกขั้นหกขึ้นไป และยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงว่าในขณะนี้ทางตระกูลมู่กำลังประสบปัญหาเื่การเงินด้วยแล้ว
มู่ฝานก้าวลงจากเวทีด้วยความห่อเหี่ยวใจ จากนั้นศิษย์คนที่สองของตระกูลมู่ก็เข้าไปทำการทดสอบต่อในทันที
“ทำไมเ้าถึงมีท่าทีสิ้นหวังเช่นนี้?”
เมื่อเด็กหนุ่มผู้นั้นเดินกลับมาเข้ากลุ่ม เด็กหนุ่มผมขาวที่อยู่ด้านข้างก็เอ่ยถามเขาด้วยความสงสัย
มู่ฝานมองไปยังมู่เฟิงด้วยความประหลาดใจ เขายิ้มออกมาอย่างขมขื่นก่อนจะส่ายหน้าและเดินเข้าไปยังมุมสุดท้ายโดยไม่ได้พูดอะไร
มู่เฟิงขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ แน่นอนว่าเขารู้จักมู่ฝานผู้นี้ เขาคือบุตรชายของแม่ทัพมู่โซวผู้เป็มือขวาของบิดามู่เฟิง ซึ่งมู่ฝานเองก็มีอายุเท่ากันกับเขา นอกจากนี้บิดาของอีกฝ่ายยังเสียชีวิตลงในาครั้งนั้นเช่นกัน
บรรดาศิษย์ตระกูลมู่ต่างทยอยเข้าไปทำการทดสอบ แต่ผลลัพธ์กลับน่าผิดหวัง ศิษย์ส่วนใหญ่มีปราณกระดูกขั้นห้าและขั้นหกเท่านั้น ส่วนปราณกระดูกขั้นเจ็ดเพิ่งมีปรากฏมาแค่คนเดียว หากเทียบกับกองกำลังอื่นแล้ว เหมือนว่าศิษย์ของตระกูลมู่ในปีจะดูน่าสงสารกว่ามาก
“จุ๊ๆ สมกับเป็ตระกูลมู่ ปราณกระดูกขั้นเจ็ดหนึ่งคน ปราณกระดูกขั้นหกสามคน ปราณกระดูกขั้นห้าแปดคน ฮ่าๆ ช่างเป็ตระกูลใหญ่ที่เต็มไปด้วยศิษย์มากพร์เสียจริง!”
ซั่งกวานสยงหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น พร้อมทั้งกล่าวประชดประชัน
สีหน้าของมู่เฉินและคนอื่นๆ ในตระกูลมู่พลันเปลี่ยนเป็ไม่น่ามอง พร์ของศิษย์ตระกูลมู่ในคราวนี้ย่ำแย่กว่าครั้งก่อนมาก
และตอนนี้ตระกูลมู่เหลือศิษย์ที่ยังไม่ได้ทำการทดสอบอีกเพียงสามคนเท่านั้น ได้แก่มู่ขวง ไป๋จื่อเยว่และเฟิงเย่
ในบรรดาคนทั้งสามมีเพียงมู่ขวงที่มีพร์ชัดเจนที่สุด เพราะในครั้งก่อนเขาได้ทำการทดสอบแล้วว่าเขามีปราณกระดูกขั้นเจ็ด
แน่นอนว่าในครั้งนั้นเขาสามารถเข้าศึกษาในสำนักศึกษาราชวงศ์ได้ แต่เนื่องจากความเป็พี่น้อง เขาจึงเลือกสละสิทธิ์และไปกับมู่เฟิงแทน
“ตระกูลมู่ มู่ขวง”
เมื่อบัณฑิตผู้นั้นขานชื่อของมู่ขวง เด็กหนุ่มก็เดินไปยังเสาหินเพื่อทำการทดสอบปราณกระดูกในทันที
“โอ๊ะ นั่นไม่ใช่มู่ขวงผู้นั้นหรอกหรือ?”
ทันใดนั้นเสียงเยาะเย้ยก็ดังขึ้นมาจากฝั่งบัณฑิตของสำนักศึกษาราชวงศ์ที่อยู่บนแท่น โดยต้นเสียงนี้มาจากซั่งกวานเชียนจื้อ
“ทำไมคราวนี้เ้ามาคนเดียวเสียล่ะ? พี่เฟิงของเ้าอยู่ที่ใดเล่า? ไม่ใช่ว่าเ้าบอกว่าจะอยู่เคียงข้างเขาหรอกหรือ? เหตุใดจึงมาคนเดียวล่ะ? ฮ่าๆ อ้อ ข้ารู้แล้ว พี่เฟิงของเ้าลงปรโลกไปแล้วสินะ ทำไมเ้าไม่ตามไปอยู่เคียงข้างเขาเสียเล่า มาที่นี่ทำไมกัน”
ซั่งกวานเชียนจื้อหัวเราะเยาะ
“ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเ้า”
มู่ขวงตอกกลับอย่างเ็า
“เ้าหนู เ้าบ้าไปแล้วหรืออย่างไร เ้ามีปราณกระดูกขั้นเจ็ดสินะ เ้ารอดูเถอะว่าหลังจากเ้าเข้ามายังสำนักศึกษาแล้วข้าจะจัดการกับเ้าอย่างไร เวลานี้ข้ามีวรยุทธ์ระดับจื่อฝู่ในขอบเขตของเทียนเว่ยระดับกลางแล้ว ดูเ้าแล้วอย่างมากก็คงเพิ่งจะบรรลุระดับจื่อฝู่สินะ เพราะเ้ามัวแต่เอาตัวเองไปผูกติดกับมู่เฟิงจนทำให้ตัวเองต้องเสียเวลาเปล่าอย่างไรเล่า”
ซั่งกวานเชียนจื้อแสยะยิ้มขณะปลดปล่อยพลังสะกดข่มออกมา
“วรยุทธ์ระดับจื่อฝู่ในขอบเขตของเทียนเว่ยระดับกลาง? ฮ่าๆ เ้าแข็งแกร่งนักรึ? สวะอย่างเ้า ข้าสามารถจัดการได้ในสิบกระบวนท่า!”
มู่ขวงหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง นึกไม่ถึงว่าเขาจะไม่สนใจแม้แต่จะทำการทดสอบปราณกระดูกก่อน เด็กหนุ่มเดินดุ่มๆ เข้าไปหาซั่งกวานเชียนจื้อ จากนั้นเขาก็ะเิพลังปราณออกมา ทำให้แรงสะกดข่มของซั่งกวานเชียนจื้อถูกบดขยี้ในทันที
เมื่อพลังปราณพุ่งเข้ามาปะทะ สีหน้าของซั่งกวานเชียนจื้อก็พลันเปลี่ยนไป เขาถอยหลังออกไปสองก้าวโดยไม่อาจต้านทานได้ ในขณะเดียวกันก็มองมู่ขวงด้วยความใ
“วรยุทธ์ระดับจื่อฝู่ขั้นเจ็ด! เป็ไปได้อย่างไร?”
ซั่งกวานเชียนจื้อตกตะลึง
“ว่าอย่างไรนะ วรยุทธ์ระดับจื่อฝู่ขั้นเจ็ด!”
ไม่ใช่แค่ซั่งกวานเชียนจื้อเท่านั้นที่ใ กระทั่งศิษย์ตระกูลมู่และกองกำลังจากตระกูลอื่นต่างก็มองมู่ขวงด้วยความใเช่นกัน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้