มู่อวิ๋นจิ่นใช้วิชาตัวเบาพาจื่อเซียงกลับมาถึงจวนองค์ชายหก พอปล่อยให้จื่อเซียงยืน นางก็ขาอ่อนระทวย พับลงไปกับพื้น ยื่นมือชี้ไปที่มู่อวิ๋นจิ่นด้วยความใ
“คุณหนู……”
มู่อวิ๋นจิ่นยกมือขึ้นจุ๊ปาก เป็การบอกสื่อให้นางเงียบลง จากนั้นประคองจื่อเซียงเดินเข้าไปในห้อง เอ่ยเสียงต่ำ “เป็ความลับ จำไว้อย่าไปพูดกับใครทั้งนั้น!”
จื่อเซียงรีบยกมือขึ้นปิดปาก พยักหน้างกๆ แล้วมองมู่อวิ๋นจิ่นั้แ่หัวจรดเท้าอย่างใ
มู่อวิ๋นจิ่นยกมือขึ้นลูบหัวของจื่อเซียง เอ่ยด้วยเสียงแ่เบา “ไม่ต้องมองแล้ว ยังไงข้าก็เป็คุณหนูของเ้าอยู่ดี”
จื่อเซียงััได้ถึงเื่ราวมหัศจรรย์หลายอย่างที่มู่อวิ๋นจิ่นมักทำให้แปลกใจอยู่เสมอ ในเวลานี้ได้ยินสิ่งที่มู่อวิ๋นจิ่นพูดออกมา นางก็ผ่อนคลายความใลง
วิชาตัวเบาช่างวิเศษอะไรเช่นนี้ ใช้เวลาแค่แวบเดียวก็สามารถกลับมาถึงจวนได้แล้ว
มู่อวิ๋นจิ่นรู้สึกเหนื่อยล้ากับเหตุการณ์ที่เจอในค่ำคืนนี้ จึงสั่งให้บ่าวใช้ไปเตรียมน้ำร้อนให้นางอาบ เพื่อจะได้หลับพักผ่อนอย่างสบาย
……
ฉู่ลี่เดินออกจากห้องั้แ่เช้าตรู่ เห็นประตูที่อยู่เยื้องยังคงปิดสนิท ด้านติงเซี่ยนเดินเข้ามารายงานเหตุการณ์เมื่อคืนที่เกิดขึ้นให้ฟังอย่างละเอียด
“เมื่อคืนที่ผ่านมา พระชายาหรงและพระชายาแตกหักจนมีปากเสียงกัน แต่ว่าพระชายามีฝีปากที่ล้ำเลิศ ต่อว่าอีกฝ่ายเป็ชุดจนเถียงไม่ออกพ่ะย่ะค่ะ” ติงเซี่ยนรายงาน
ฉู่ลี่แอบยิ้มมุมปากขึ้นมาเล็กน้อย “ฝีปากไม่กล้าแกร่งก็มิใช่นางสิ!”
“พ่ะย่ะค่ะ พระชายาไม่ใช่ใครจะมาต่อกรได้ง่าย คาดว่าพระชายาหรงคงโกรธจนป่วยไปอีกหลายวันพ่ะย่ะค่ะ”
ฉู่ลี่พยักหน้าเดินออกจากเรือนลี่เฉวียนไป พอออกไปได้ไม่กี่ก้าว ก็หันกลับมาสั่งติงเซี่ยนว่า “ สองสามวันนี้ ให้แบ่งองครักษ์ลับจำนวนหนึ่งคอยติดตามมู่อวิ๋นจิ่นเอาไว้”
“ยังจะแบ่งอีกพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้แบ่งไปเกือบห้าร้อยแล้ว เทียบกับคนในราชวงศ์ถือว่ามากกว่าองค์หญิงท่านหนึ่งแล้ว……”
ติงเซี่ยนยังไม่ทันพูดจนจบ สายตาเ็าจับจ้องมาที่เขา จนต้องยกมือขึ้นปิดปากแทบไม่ทัน “ข้าน้อยจะรีบไปจัดการให้พ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากฉู่ลี่เดินไปไกลแล้ว ติงเซี่ยนพึมพำกับตัวเองขึ้นมา เวลานี้องครักษ์ลับชุดม่วงขององค์ชายมีประมาณหนึ่งพันคน ครึ่งหนึ่งถูกแบ่งให้พระชายา มาตอนนี้ยังแบ่งอีกจำนวนหนึ่งให้อีก สงสัยองค์ชายจะให้ความสำคัญกับพระชายาเป็อย่างมากกระมัง……
อั๊ยย่ะ องค์ชายมีความรักขึ้นมาก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว อีกไม่นานองครักษ์ลับชุดม่วงทั้งหนึ่งพันกว่าคนอาจยกให้พระชายาจนหมด
เมื่อฉู่ลี่เดินมาที่ห้องโถง ท่านอ๋องหรงนามว่า “ฉู่เจิ้ง” รีบเดินหน้านิ่วคิ้วขมวดด้วยความโมโหเข้ามา พอเห็นฉู่ลี่ก็อ้าปากต่อว่ายกใหญ่
“เ้าดูแลสั่งสอนพระชายายังไง? นึกไม่ถึงว่ากล้าต่อปากค่อคำกับผู้ใหญ่! สุขภาพของซูหนิงเพิ่งจะดีได้ไม่นานมานี้ มาเช้านี้ก็โกรธจนล้มป่วย!”
ฉู่ลี่ยืนฟังทุกถ้อยคำ แต่กลับไม่โกรธแม้แต่น้อย เขานั่งลงยกชาขึ้นจิบอย่างสบายอารมณ์ “ท่านลุง ภรรยาของกระผม ไม่จำเป็ต้องให้ท่านลุงมาต่อว่ากระมัง?”
ท่านอ๋องหรงเห็นสายตาเยือกเย็นจับจ้องมาเกิดหนาวสั่นขึ้นมา จนความโมโหที่กำลังปะทุ ดับวูบลงในทันตา “ก็ลุงใจร้อนนี่หน่า แต่หลานสะใภ้คนนี้ถือว่าเป็ผู้น้อย ทำไมต้องทำให้ท่านป้าต้องโกรธจนล้มป่วยด้วย? ลี่เอ๋อร์ เื่นี้หลานต้องจัดการให้ลุงด้วย!”
ฉู่ลี่ยกมือขึ้นนวดขมับ “ถ้าท่านลุงมีเื่อันใด สามารถไปพูดกับอวิ๋นจิ่นด้วยตนเองเลย”
“นี่ นี่ นี่……” ท่านอ๋องหรงลังเลขึ้นมา เพราะเื่เมื่อคืนที่เกิดขึ้น เขาก็รับฟังมาอีกที ว่าหลานสะใภ้ฝีปากจัดจ้าน ดูท่าแล้วปกติฉู่ลี่คงให้ท้ายนางจนเคยตัว
ถ้าต้องให้เขาไปพูดกับมู่อวิ๋นจิ่นด้วยตัวเอง เขาไม่มีทางไปหรอก ถ้าโดนนางสวนกลับคงขายหน้าจนกลับจวนหรงไม่ถูก
ระหว่างที่ทั้งสองคนกำลังสนทนากันอยู่ เห็นมู่อวิ๋นจิ่นเดินบิดี้เีเดินเข้ามาที่ห้องโถง หรี่ตามองท่านอ๋องหรง พร้อมกับฉีกยิ้มมุมปากส่งให้
“ท่านลุงมาขอโทษหลานหรือเ้าคะ? ไม่ต้องทำอย่างนั้นหรอก ท่านป้าแม้จะปากร้ายไปหน่อย แต่เราก็เป็ครอบครัวเดียวกัน หลานจะไม่เอาเื่นี้ขึ้นไปรบกวนฝ่าาให้ระคายพระทัยหรอกเ้าค่ะ”
ฉู่ลี่ได้ฟังที่นางร่ายยาว เกือบจะสำลักน้ำชาที่จิบอยู่ ได้แต่ยิ้มมุมปากสมน้ำหน้าท่านลุง
ท่านอ๋องหรงรู้สึกว่าวันนี้ก้าวเท้าออกจากจวนคงไม่ได้ดูฤกษ์ยามมงคล พอมาถึงจวนหลานชาย หลานสะใภ้ที่ร่วมมือกัน สวนกลับเสียจนหน้าหงายพูดมิออก
หลังจากท่านอ๋องหรงสู้ไม่ไหวจึงอ้างเื่อื่นขอตัวกลับ มู่อวิ๋นจิ่นก็รินน้ำชาขึ้นมาดื่มหลายอึก ก่อนสัพยอกขึ้นมา “ครอบครัวนี้แตกทั้งตระกูล!”
“มู่อวิ๋นจิ่น ดูท่าความเป็ห่วงที่เปิ่นหวงจื่อมีให้เ้าคงมากเกินไป” ฉู่ลี่พูดยิ้มๆ
มู่อวิ๋นจิ่นหันไปกะพริบตาปริบๆ “ไม่มากไปหรอก อย่างไรเสียเกิดสิ่งใดขึ้น ก็ยังมีใต้เท้าที่คอยปกป้องหม่อมฉันอยู่เพคะ!”
“โง่เขลาสิ้นดี”
“ไสหัวไปเลย เ้าด่าข้าโง่เขลาอีกแล้ว!!!” มู่อวิ๋นจิ่นขัดเคือง
ฉู่ลี่หรี่ตา เอ่ยด้วยเสียงเย็นะเื “เ้าลองพูดอีกครั้งสิ?”
“แม่นมเสิ่น ข้าหิวแล้ว เอาไข่ต้มมาให้ข้าสองใบ……”
……
หลังจากมู่อวิ๋นจิ่นอาหารเช้าเป็ที่เรียบร้อย ก็เตรียมตัวไปจวนอัครมหาเสนาบดีมู่ ฉู่ลี่ก็กำลังเตรียมตัวออกไปทำธุระด้านนอกพอดี ต่างคนจึงต่างแยกกันหน้าประตูจวน
ตลอดทางที่มู่อวิ๋นจิ่นเดินกลับไปที่จวน รู้สึกวันนี้อารมณ์ดีเป็พิเศษ จนเดินเตร็ดเตร่ดูร้านนั้นร้านนี้ กว่าจะถึงจวนอัครมหาเสนาบดีมู่ มือไม้ของทั้งสองก็มีของเต็มไปหมด
มู่อวิ๋นจิ่นเดินเข้าประตูใหญ่ ไม่เห็นมีใครอยู่ห้องโถง จึงเดินตรงไปหอมุกดาของมู่หลิงจู
ระหว่างทางได้พบกับเซี่ยมู่โหรวกับลัวหนิงอวี่
“พี่สาม……” เซี่ยมู่โหรวรีบวิ่งเข้ามาหาด้วยความดีใจ
มู่อวิ๋นจิ่นเอ่ยปากรับ แล้วหันไปพยักหน้าให้ลัวหนิงอวี่เป็การทักทาย
“อวิ๋นจิ่นก็มาเยี่ยมหลิงจูใช่ไหม?” ลัวหนิงอวี่ถามอย่างระวัง ด้วยรู้ว่าสองพี่น้องไม่ลงรอยกัน
มู่อวิ๋นจิ่นพยักหน้ารับ จากนั้นเดินไปด้วยคุยไปด้วย “ตอนนี้ร่างกายของนางเป็ยังไงบ้าง?”
“ตอนนี้สามารถควบคุมอาการป่วยได้แล้ว เมื่อคืนตอนที่มาส่ง ดูแล้วน่าใอย่างมาก แต่หลังจากที่เรียกหมอมาตรวจดูอาการ สั่งยา และทำแผล อาการก็ดีขึ้นเป็ลำดับ” ลัวหนิงอวี่เล่าอย่างหวั่นๆ
ในระหว่างที่ทั้งสามคนถามไถ่อาการของมู่หลิงจู ก็เดินมาถึงหน้าประตูหอมุกดา
มู่หลิงจูที่นอนอยู่บนเตียง โดยมีหมอสามท่านให้การรักษา อัครเสนาบดีมู่ใบหน้าถอดสีนั่งอยู่ที่เก้าอี้ด้านข้าง มองดูมู่หลิงจูที่นอนซมไร้เรี่ยวแรง บนแขนทายาแก้ฟกช้ำเกือบทั้งหมด
“ท่านพ่อ” มู่อวิ๋นจิ่นเดินเข้ามาใกล้
เมื่อเห็นมู่อวิ๋นจิ่นเดินเข้ามา อัครเสนาบดีมู่รีบกวักมือเรียกให้นางตามออกไป นั่งเก้าอี้ที่ลานข้างนอก
จากนั้นอัครเสนาบดีมู่ถามอย่างสงสัย “เมื่อคืนนี้ เ้าให้คนมาส่งหลิงจูใช่ไหม?”
มู่อวิ๋นจิ่นพยักหน้ารับ เล่าเหตุการณ์เมื่อคืนที่เกิดขึ้นในจวนหรง ให้อัครเสนาบดีมู่ฟังอย่างละเอียดถี่ถ้วน
“ปั้ง……” อัครเสนาบดีมู่ตบโต๊ะเสียงดังสนั่น
“ทำแบบนี้ได้ยังไงกัน ตระกูลฉินรังแกกันเกินไปแล้ว!” อัครเสนาบดีมู่หน้าแดงก่ำ ะโจนเสียงแหบแห้ง
มู่อวิ๋นจิ่นยกน้ำชาจิบ ด้วยไม่รู้สึกแปลกใจกับปฏิกิริยาของอัครเสนาบดีมู่ จึงเอ่ยขึ้นว่า “จวนหรงตอนนี้มีฉินซูหนิงกุมอำนาจทุกอย่าง หากหลิงจูกลับต้องก็เท่ากับรนหาที่ตาย”
“อย่างนั้น ความหมายของเ้าคือ?” อัครเสนาบดีมู่ถามอย่างมีนัยยะ
“ไม่ได้หมายความว่าอะไรทั้งนั้น ทุกอย่างอยู่ที่ท่านพ่อว่าจะเด็ดขาด ปล่อยให้หลิงจูอยู่ในจวนต่อไปได้ไหมต่างหาก”
“ถึงแม้แต่งงานไปได้ไม่นาน หากยังอยู่ที่จวนอัครเสนาบดีมู่ ชื่อเสียงของนางต้องป่นปี้ แต่กระนั้นก็ถือว่าเป็ทางเลือกที่ดีที่สุด สำหรับหลิงจูในตอนนี้แล้ว”
ฉินซูหนิงนางปีศาจคนนี้ หากไม่กำจัดออกไป จูเอ๋อร์ย่อมต้องจบลงในกำมือของนาง ยิ่งไปกว่านั้น ตระกูลฉินตั้งตัวเป็ศัตรูกับจวนอัครเสนาบดีมู่ ดูยังไงอีกฝ่ายต้องเอาเื่นี้มาเป็ประเด็นโจมตีอย่างแน่นอน
มู่อวิ๋นจิ่นกลับส่ายหน้า ไม่ค่อยสนับสนุนความคิดเห็นของท่านพ่อ “ฉินซูหนิงเกิดในตระกูลแม่ทัพ ความสามารถก็ไม่น้อย อีกอย่างหากนางเกิดเป็อะไรขึ้นมา จวนอัครเสนาบดีมู่ต้องตกเป็ผู้ต้องสงสัยอันดับแรก”
“ฉินซูหนิงเป็สตรีที่แต่งออก ตระกูลฉินย้อมไม่ให้ความสำคัญเท่าไหร่ หากนางตายขึ้นมา ตระกูลฉินก็ขาดเพียงหมากตัวหนึ่งเท่านั้น แต่สำหรับจวนอัครเสนาบดีมู่ อาจนำภัยมาถึงทุกคนในตระกูล”
“ถ้าอย่างนั้นจะไม่มีวิธีใดแก้แค้นเลยหรือ?” อัครเสนาบดีมู่พูดด้วยความโกรธขึ้ง
“รอให้น้องสี่หายดีก่อนแล้วค่อยว่ากัน นางศึกษาร่ำเรียนมาไม่น้อย ถึงเวลาที่จะได้ใช้แล้ว” มู่อวิ๋นจิ่นยิ้มจางๆ
อัครเสนาบดีมู่เหมือนจะฟังเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจเสียทีเดียว ได้แต่ถอนหายใจ กล้ำกลืนฝืนทนเก็บความแค้นในวันนี้ไว้ในภายในใจก่อน
“พระชายา คุณหนูสี่ได้สติแล้ว อยากคุยกับพระชายาเพคะ” ชุ่ยอวิ๋นเดินออกมาเชิญมู่อวิ๋นจิ่น
มู่อวิ๋นจิ่นจึงเดินเข้าไปในห้องด้านใน
เมื่อเดินเข้าไปแล้ว มู่หลิงจูสั่งให้บ่าวใช้ทุกคนออกไปข้างนอก เหลือเพียงนางกับมู่อวิ๋นจิ่น
มู่อวิ๋นจิ่นเดินไปนั่งที่เก้าอี้ มองไปที่มู่หลิงจูเพื่อรอฟังว่านางจะพูดคำใด
มู่หลิงจูมองดูซ้ายขวา ตะเกียกตะกายลงมาจากเตียง คุกเข่าเบื้องหน้าแล้วคำนับมู่อวิ๋นจิ่นสามครั้ง
มู่อวิ๋นจิ่นนั่งดูทุกอย่างนิ่งเงียบ โดยไม่เอ่ยคำใดออกมา
“ข้าคำนับสามครั้งเพื่อเป็การขอบคุณที่ช่วยเหลือเมื่อคืนนี้ มู่อวิ๋นจิ่น นึกไม่ถึงเลยว่าจิตใจของเ้ายังดีอยู่” มู่หลิงจูค่อยๆ พยุงตัวขึ้นมานั่งบนเตียง
มู่อวิ๋นจิ่นยกขาขึ้นนั่งไขว้ เลิกคิ้วขึ้น “ถึงแม้ข้าจะร้ายก็ร้ายไม่เท่าเ้าหรอก ใจของเ้าควักออกมาดูคงดำสนิทไปหมดแล้วกระมัง”
“วันนั้นเ้ารับปากข้าแล้ว หากข้าบอกความลับให้ฟัง จะช่วยข้าครั้งหนึ่งจำได้ไหม? ในเมื่อตอนนี้เ้ามีความสามารถมาก ถ้าจะให้กำจัดฉินซูหนิงคงไม่ใช่เื่ยากสำหรับเ้ากระมัง?” มู่อวิ๋นจิ่นทวงสัญญา
มู่อวิ๋นจิ่นมองค้อนขวับกลับไป “เ้าบอกให้ข้าช่วยเ้าครั้งหนึ่ง เมื่อคืนนี้ข้าช่วยเ้าออกมาแล้ว ยังไม่ถือทำตามสัญญาที่ให้ไว้เหรอ?”
“เออ……” แววตามู่หลิงจูนิ่งชะงัก กัดริมฝีปาก แววตาไม่ยอมใจ
“รอให้ข้าหายดีก่อน ข้าไม่มีทางปล่อยฉินซูหนิงเป็อันขาด!” มู่หลิงจูกำผ้าห่มจนมือสั่นระริก
มู่อวิ๋นจิ่นแสยะยิ้ม “นี่สิถึงจะถูก คิดแต่ทำเื่ร้ายาๆ ไม่มีใครเกินเ้า เื่จัดการฉินซูหนิง ข้าเชื่อว่าเ้าหาวิธีได้แน่นอน”
“เ้า……” มู่หลิงจูฟังออกว่ามู่อวิ๋นจิ่นกำลังเยาะเย้ยนาง จึงหันหลังให้มู่อวิ๋นจิ่น “เ้าออกไปได้แล้ว ข้าไม่อยากเห็นหน้าแล้ว”
“ฮ่าๆๆๆ อย่างนั้นข้าจะรอฟังข่าวดีจากน้องสี่แล้วกัน ขอให้เ้านั่งตำแหน่งพระชายาท่านอ๋องหรงโดยเร็วไว” มู่อวิ๋นจิ่นเอ่ยด้วยสีหน้านิ่งเฉย ไม่ยินดีไม่ยินร้าย
หลังจากนางเดินออกจากห้องแล้ว ด้านนอกมีคนมายืนรอกันเต็มไปหมด
“พี่ชายมาแล้วเหรอ” มู่อวิ๋นจิ่นเผยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
มู่อวิ๋นหานพยักหน้า กวักมือเรียกให้นางเดินมาหา มู่อวิ๋นจิ่นจึงเดินเข้าไปหาใกล้ๆ
“เ้านี่น่ะ เจ็บแล้วไม่จำ ช่วยใครไม่ช่วย ยังช่วยคนชอบลืมบุญคุณคนอย่างน้องสี่อีก!” มู่อวิ๋นหานยื่นมือไปเขกหัวมู่อวิ๋นจิ่น
ทางด้านอัครเสนาบดีมู่เดาออก ว่าคนชอบลืมบุญคุณคนที่มู่อวิ๋นหานเอ่ยถึงเป็ใคร ทว่าเวลานี้ยังไม่สามารถออกหน้าแทนมู่หลิงจูได้
มู่อวิ๋นจิ่นยกมือขึ้นลูบหัว ยู่ปากเอ่ยขึ้น “พี่ชาย เื่เล่นงานกันเองเป็เื่ส่วนตัวของใครของมันในจวนแห่งนี้ ตอนนี้ยามหน้าสิ่วหน้าขวาน ย่อมต้องรวมแรง กำจัดคนนอกสิถึงจะถูก!”