พี่น้องทั้งสองคนต่างฝ่ายต่างยืนกรานไม่ยอมอ่อนข้อต่อกัน พวกเขาล้วนไม่อยากให้อีกฝ่ายไปเสี่ยงอันตราย ทว่าถังซื่อทางนั้นก็ไม่สนใจไม่ได้
เมื่อหยางซื่อเดินออกมา เห็นสีหน้าไม่สู้ดีของทั้งสองพี่น้อง นางคิดว่าพวกเขากำลังทะเลาะกัน ในดวงตาของนางมีความไม่สบายใจปรากฏออกมาแวบหนึ่ง นางเป็แค่สตรีธรรมดา ทั้งยังมีนิสัยที่ขี้ขลาดอ่อนแอ ตอนนี้เสาหลักของนางก็คือลูกทั้งสองคนนี้ ถ้าหากพวกเขาสองคนทะเลาะกัน นางก็ไม่รู้ว่าจะต้องจัดการอย่างไรถึงจะดี
“ท่านแม่…” หลิงมู่เอ๋อร์จับที่แขนของหยางซื่อ กล่าวอย่างออดอ้อน “พี่ชายรังแกข้าเ้าค่ะ”
เมื่อประโยคนี้ถูกพูดออกมา หลิงมู่เอ๋อร์อดไม่ได้ที่จะนิ่งอึ้งไป สาวน้อยขี้อ้อนเมื่อครู่คือนางหรือ?นึกไม่ถึงเลยว่านางจะกล้าพูดจาออดอ้อนเช่นนี้ออกมา
หยางซื่อตบเข้าที่หลังมือของนางเบาๆ แล้วจ้องไปที่หลิงจื่อเซวียนก่อนกล่าวว่า “เซวียนเอ๋อร์ เ้ารังแกน้องสาวได้อย่างไร?”
หลิงจื่อเซวียนถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “เมื่อสักครู่ข้าปรึกษากับน้องหญิงว่าจะไปเยี่ยมบ้านท่านยาย ท่านแม่ก็รู้ว่าทางบนูเาถูกปิดไปแล้ว ทางที่เดินเป็ประจำเส้นนั้นก็ไปไม่ได้อีกแล้ว บ้านของท่านยายอยู่ที่เขาอีกด้าน ข้ามเขาลูกนี้ไปก็เจอนางแล้ว ความหมายของข้าก็คือข้าจะไปเอง น้องหญิงก็ยังจะโต้เถียงกับข้าให้ได้ขอรับ”
“ท่านแม่ ตอนนี้หิมะตกหนัก ทางบนูเาเดิมทีก็เดินยากอยู่แล้ว ขาของพี่ชายาเ็ก็ยิ่งยากจะต้านทานความเย็นได้ ่นี้ร่างกายของเขาได้รับความเย็นเพิ่มขึ้น จุดที่โดนความเย็นล้วนเ็ปทุกวัน ท่านแม่ดูขาของเขาบวมจนกลายเป็เช่นไรแล้ว?ถึงแม้ข้าจะเป็สตรี แต่ร่างกายข้าก็มีความปราดเปรียวว่องไว ถ้าหากเจอสิ่งใดที่อันตรายก็สามารถปีนหนีได้ เื่นี้มอบให้ข้าเป็คนจัดการดีกว่า” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าว
“พวกเ้าล้วนเป็เด็กดี ยังห่วงใยท่านยายของเ้า” หยางซื่อได้ยินคำพูดของพวกเขา ในใจก็พลันรู้สึกซาบซึ้งใจขึ้นมา นางจับมือลูกทั้งสอง กล่าวทั้งน้ำตาคลอ “พวกเ้าอย่าเถียงกันเลย แม่จะตัดสินใจให้เอง พวกเ้าทั้งสองก็ไปด้วยกันเถิด!ถ้าให้เซวียนเอ๋อร์ไป ข้าก็ไม่วางใจ ถ้าให้มู่เอ๋อร์ไป ข้าก็ไม่วางใจเช่นกัน มีแค่พวกเ้าสองพี่น้องไปด้วยกัน ช่วยดูแลกันและกัน ข้าจึงจะวางใจขึ้นมาสักหน่อย แม่อยู่ที่นี่พวกเ้าไม่ต้องห่วง แม่จะดูแลน้องเล็กอย่างดี”
“พรุ่งนี้ทุกคนต้องไปทำความสะอาดถนน ถ้าพวกเราไปบ้านท่านยายตอนนี้ อย่างน้อยพรุ่งนี้ตอนบ่ายถึงจะกลับมาได้ ถึงตอนนั้นพวกเขามาเรียกท่านแม่ทำความสะอาดถนน ท่านแม่จะต้องปล่อยให้น้องเล็กอยู่ในบ้านเพียงลำพัง เช่นนี้จะดีหรือเ้าคะ?” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าว
“อาการป่วยของน้องชายเ้าไม่ได้ร้ายแรงแล้ว เขาเพียงแค่ไม่มีเสื้อผ้า ดังนั้นจึงลงจากเตียงไม่ได้” หยางซื่อกล่าวอย่างรู้สึกผิด
“ท่านแม่นำเสื้อน้องเล็กมาทำรองเท้าให้ข้า น้องถึงไม่มีเสื้อผ้าใส่” หลิงมู่เอ๋อร์ได้ยินมารดาพูดเช่นนี้ ในใจยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ
“ในเมื่อท่านแม่พูดเช่นนี้ เช่นนั้นพวกเราก็ไปด้วยกันเถิด!เวลาไม่เช้าแล้ว พวกเรารีบออกเดินทาง ไม่สามารถเสียเวลาได้อีกแล้ว” หลิงจื่อเซวียนกล่าว
“จากที่นี่เดินผ่านข้ามูเาไป เมื่อไปถึงฟ้าก็มืดแล้ว พวกเ้ามีแต่ต้องนอนพักที่บ้านท่านยายคืนหนึ่งก่อนถึงจะกลับมาได้” หยางซื่อกล่าว “ที่บ้านมีแม่คอยดูแลอยู่ พวกเ้าไม่ต้องห่วง เพียงแค่ดูแลตัวเองดีๆ ก็พอ ถ้าหาก…ระหว่างทางมีอันตรายอันใด เช่นนั้นก็ไม่ต้องไปแล้วกลับมาเถิด!แม่รับรู้จิตใจที่กตัญญูของพวกเ้าแล้ว”
“เ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์สะพายตะกร้าใบเดียวที่มีอยู่ในบ้าน และหาหญ้าแห้งในอดีตที่เก็บไว้มาปิดไว้้า
ยามที่สองพี่น้องมาถึงบ้านซั่งกวนเซ่าเฉิน ซั่งกวนเซ่าเฉินกำลังเก็บเหยื่อที่ไปล่ากลับมาเก็บในบ้านพอดี เขาเห็นหลิงมู่เอ๋อร์ที่กลับไปแล้วกลับมาอีกครั้ง ในดวงตาก็ปรากฏความสงสัยขึ้นมาแวบหนึ่ง
“พี่ใหญ่ท่านนี้…” หลิงมู่เอ๋อร์ละอายใจจริงๆ จนถึงตอนนี้นางยังไม่รู้ชื่อของซั่งกวนเซ่าเฉิน “ข้าไม่รู้ว่าท่านมีนามว่ากระไร ข้ามีนามว่าหลิงมู่เอ๋อร์ พี่ใหญ่ชื่อแซ่อะไรหรือเ้าคะ?”
“ซั่งกวนเซ่าเฉิน” ซั่งกวนเซ่าเฉินกล่าวนิ่งๆ “เ้ามีธุระอันใดหรือ?”
หลิงจื่อเซวียนที่อยู่ด้านข้างยกมือทั้งสองข้างประสานคำนับ กล่าวอย่างมีมารยาท “ข้าเป็พี่ชายของมู่เอ๋อร์ มีนามว่าหลิงจื่อเซวียน มู่เอ๋อร์พูดว่าได้รับความช่วยเหลือจากพี่ใหญ่ซั่งกวนหลายครั้ง ดังนั้นนางจึงสามารถมีชีวิตกลับลงจากูเาได้ พี่ใหญ่ซั่งกวน ท่านมีพระคุณต่อครอบครัวของพวกข้า พวกข้าจะไม่ลืมตลอดชีวิต ครั้งนี้พวกข้า้านำเนื้อบางส่วนไปที่หมู่บ้านตระกูลหยาง ดังนั้นจึงต้องรบกวนพี่ใหญ่ซั่งกวนอีกครั้งแล้วขอรับ”
“ทางออกเดียวถูกปิดตายแล้ว พวกเ้าอยากไปหมู่บ้านตระกูลหยางก็มีแต่ต้องข้ามเขาลูกนี้ไป” ซั่งกวนเลิกคิ้ว มองไปทางสาวน้อยที่ร่างกายผอมเพรียวบอบบางนั่น “พวกเ้าจะข้ามูเาไปหมู่บ้านตระกูลหยางหรือ?วันนี้มีคนในหมู่บ้านตายในปากของสัตว์ป่า พวกเ้าสองพี่น้องช่างกล้าหาญเสียจริง”
ซั่งกวนเซ่าเฉินพูดไม่เยอะ นี่น่าจะเป็คำพูดที่เขาพูดมากที่สุดแล้ว
ในระยะหลายปีมานี้ ซั่งกวนเซ่าเฉินอยู่ในหมู่บ้านอย่างไร้ตัวตน พวกชาวบ้านไม่กล้ายั่วยุเขา เขาก็ไม่ได้สนใจเื่ของพวกชาวบ้าน ไม่ว่าชาวบ้านจะก่อเื่วุ่นวายอะไร เขาไม่เคยเข้าไปยุ่งเื่ของพวกชาวบ้านมาก่อน แต่ว่าั้แ่ที่เขาได้พบสาวน้อยผู้นี้บนูเามาสองรอบ นางทำให้เขาประทับใจเป็อย่างยิ่ง ดังนั้นในเวลานี้จึงพูดมากขึ้นหลายประโยคหน่อย
“ท่านยายอยู่ที่หมู่บ้านตระกูลหยาง นางเป็หญิงชราที่เลี้ยงดูท่านแม่และท่านลุงของข้าให้เติบใหญ่ด้วยความยากลำบากเพียงคนเดียว ไม่เคยได้รับความสุขมาก่อน ครั้งนี้พายุหิมะรุนแรงนัก พวกชาวบ้านล้วนไม่มีอาหารกินแล้ว ครอบครัวท่านยายของข้าคนแก่ก็แก่ เด็กก็เด็ก ท่านลุงที่เป็ผู้ใหญ่คนเดียวในบ้านก็เป็คนซื่อสัตย์ เกรงว่าจะมีชีวิตลำบากกว่าคนทั่วไป” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวตามความจริง
ในความเป็จริง ถ้าหลิงมู่เอ๋อร์ไม่ได้ปรากฏตัวในตระกูลหลิง สถานการณ์ของตระกูลหลิงเองก็คงไม่ได้ดีขึ้นมากนักเช่นกัน ขาของหลิงจื่อเซวียนได้รับาเ็สาหัส ช่วยเื่อะไรในบ้านไม่ค่อยได้ หยางซื่อก็เป็คนที่ทั้งอ่อนแอขี้ขลาดทั้งแก่ชรา หลิงจื่ออวี้ก็ยังเป็เพียงแค่เด็ก พ่อเ้าของร่างก็ถูกขังไว้ด้านนอก หลิงมู่เออร์เ้าของเดิมก็เหมือนกับแม่ของนาง ทั้งขี้ขลาดและอ่อนแอเช่นกัน
ถ้าหากไม่มีหลิงมู่เอ๋อร์ในยามนี้ แม้ว่าครอบครัวนี้จะไม่อดตาย แต่ก็ไม่มีเนื้อกินเหมือนอย่างตอนนี้แน่นอน พวกเขามีแต่ต้องกินเปลือกไม้ร่วมกันกับคนในหมู่บ้านแล้ว
ซั่งกวนเซ่าเฉินได้ฟังคำพูดของหลิงมู่เอ๋อร์แล้วก็หยิบเนื้อประมาณสามสิบชั่ง [1] ที่อยู่ในบ้านออกมา แล้วใส่ไว้ในตะกร้าสะพายหลังของหลิงมู่เอ๋อร์
หลิงมู่เอ๋อร์มองไปที่ซั่งกวนเซ่าเฉินพร้อมยกมือขึ้นคำนับแล้วกล่าว “ขอบคุณท่าน พี่ใหญ่ซั่งกวนเ้าค่ะ”
หลิงมู่เอ๋อร์ยกยิ้มหวาน
ซั่งกวนเซ่าเฉินมองรอยยิ้มของนางก็นิ่งชะงักไป แววตาของหญิงสาวใสซื่อบริสุทธิ์เป็อย่างยิ่ง ล้วนแตกต่างกับสตรีที่เขาเคยรู้จักมาก่อน
ไม่ใช่ว่าหญิงสาวชาวบ้านจะไร้เดียงสา เขาอยู่ในหมู่บ้านนี้มานาน สตรีคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็มีไม่กี่คนที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสา เพื่อเป้าหมายของตัวเองแต่ละคนก็ทำเื่ที่มีไม่อาจแพร่งพรายออกมาได้ไม่น้อย เมื่อก่อนสาวน้อยคนนี้ขี้ขลาด มีท่าทางกล้าๆ กลัวๆ ตอนนี้กล้าที่จะสบสายตาบุรุษแล้ว การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ถือว่าไม่เลว
หลิงจื่อเซวียนกล่าวกับหลิงมู่เอ๋อร์ “มู่เอ๋อร์ ให้ข้าแบกเถิด !”
“ไม่ต้องเ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์พึมพำกล่าว “มีตะกร้าใบนี้แล้ว หลังของข้าก็จะไม่เย็น”
หลิงจื่อเซวียนมองที่นางอย่างจำใจ เขาหันไปกล่าวกับซั่งกวนเซ่าเฉิน “ขอบคุณพี่ใหญ่ซั่งกวนมากขอรับ พวกข้าไม่รบกวนแล้ว”
“อืม” ซั่งกวนเซ่าเฉินทำงานที่อยู่ในมือต่อ
สองพี่น้องอำลาซั่งกวนเซ่าเฉินแล้ว ก็รีบขึ้นเขาไปหมู่บ้านตระกูลหยาง
ทางบนูเาเดินลำบากมาก หิมะหนาขึ้นเรื่อยๆ เหยียบไปบนพื้นก็จมลงไปลึก ทุกย่างก้าว ต้องสิ้นเปลืองเวลาและแรงไปไม่น้อย
ฟุ่บ!ฟุ่บ!ูเาที่เงียบสงบมีเพียงเสียงเท้าของทั้งสองคนเท่านั้น มองไปยังทางเดินด้านหน้าล้วนเต็มไปด้วยหิมะสีขาวโพลน
“มู่เอ๋อร์ พักสักหน่อยหรือไม่?” หลิงจื่อเซวียนหอบหายใจแรงพร้อมกล่าว
หลิงมู่เอ๋อร์ให้ความร่วมมือกับหลิงจื่อเซวียน นางจงใจลดความเร็วลง ถ้ามีแค่นางคนเดียว ใช้เวลาประมาณสามชั่วยามก็สามารถข้ามเขาลูกนี้ไปได้แล้ว ตอนนี้มีหลิงจื่อเซวียนด้วย อย่างน้อยก็น่าจะใช้เวลาเพิ่มขึ้นหนึ่งชั่วยามครึ่ง
เพื่อไม่ให้หลิงจื่อเซวียนไม่สบายใจ นางจงใจทำท่าทางเหมือนเสียแรงไปมาก ในความเป็จริง อาจจะเป็เพราะว่า่นี้นางกินเนื้อสัตว์ทุกวัน ร่างกายของนางจึงดีขึ้นเยอะ
ฉึก!นิ้วมือของหลิงมู่เอ๋อร์ถูกบาด เืแดงสดหยดลงที่หลังมือ ซึมลงไปบนลวดลายระหว่างนิ้วมือ นางก้มลงไปมอง สิ่งที่บาดนางก็คือเศษไม้หนึ่งชิ้น นางรีบโยนเศษไม้ทิ้งไป เพื่อไม่ให้บาดแก่ผู้อื่น
นางยกนิ้วมือที่าเ็ดูดไว้ในปากสักครู่หนึ่ง ผ่านไปไม่นานก็หยุดเืได้ ทันใดนั้น ลวดลายบนมือก็ร้อนลวกเป็อย่างยิ่ง คล้ายกับโดนไฟเผา
นางก้มลงไปมองที่ลวดลายนั้น เห็นเพียงแสงเปลวไฟที่ส่องประกาย นางคาดเดาอยู่ภายในใจ การคาดเดานั้นทำให้นางประหลาดใจอย่างหาใดเปรียบ
ตอนนี้ทั้งสองคนหยุดพักสักครู่หนึ่ง หลิงจื่อเซวียนกำลังนวดขาที่าเ็ของเขา นางฉวยโอกาสตอนที่เขาไม่ได้สนใจตรงนี้ นำตะกร้าที่สะพายหลังวางลง เปิดหญ้าที่อยู่้าออก แล้วจับเข้าที่เนื้อหมีดำชิ้นนั้น ก่อนพูดในใจว่า ‘เก็บ’ ในเวลาชั่วพริบตาเดียว เนื้อหมีดำสามสิบชั่งที่อยู่ตรงหน้าก็พลันหายไป นางพูดในใจอีกครั้ง ‘ออกมา’ เนื้อหมีดำก็กลับมาอยู่ในตะกร้าสะพายหลังอีกครั้ง
ดูเหมือนว่านางจะเดาไม่ผิด มิติกลับมาแล้วจริงๆ
ไม่!ควรจะพูดว่า มิติถูกกระตุ้นแล้ว
นี่เป็เพราะเหตุใดกัน?
หลิงมู่เอ๋อร์คิดไปคิดมา มีความเป็ไปได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น เมื่อก่อนนางไม่สามารถเปิดใช้งานมิติได้นั้นเป็เพราะร่างกายนี้อ่อนแอเกินไป จึงไม่มีวิธีที่จะเปิดมิติ ่สองสามวันนี้ได้กินเนื้อสัตว์ ร่างกายก็แข็งแกร่งมากขึ้น นี่ถึงจะมีความสามารถเปิดมิติได้แล้ว
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอันใด สามารถเปิดใช้งานมิติได้ถึงเป็สิ่งที่สำคัญที่สุด น่าเสียดายที่หลิงจื่อเซวียนอยู่ที่นี่ นางไม่สามารถเข้าไปตรวจสอบสถานการณ์ได้ในทันที
นางปลูกสมุนไพรมากมายไว้ในมิติของชาติที่แล้ว ถ้าสมุนไพรเ่าั้ทะลุมิติมาพร้อมกับนาง นางก็สามารถใช้ประโยชน์จากสมุนไพรเ่าั้มาช่วยรักษาคนที่นี่ได้
“มู่เอ๋อร์ เ้าได้ยินเสียงอะไรหรือไม่?” หลิงจื่อเซวียนที่กำลังนวดทุบขาหยุดชะงัก ในดวงตาของเขาปรากฏอาการระแวดระวัง เขาลุกขึ้นยืน จับมือของหลิงมู่เอ๋อร์แล้วกล่าว “พวกเรารีบไปจากที่นี่กันเถิด”
หลิงมู่เอ๋อร์เงี่ยหูฟัง มีเสียงเบาๆ อย่างที่คิดไว้จริงๆ ด้วย หรือว่ามีสัตว์ป่าเคลื่อนไหว?
นางสะพายตะกร้าแบกขึ้นหลังใหม่ ประคองหลิงจื่อเซวียนแล้วสาวเท้าก้าวใหญ่ไปจากที่นี่
ตอนนี้เนื้อหมีดำที่อยู่ในตะกร้าแบกหลังได้ถูกนำไปเก็บไว้ในมิติแล้ว น้ำหนักน้อยลงไปสิบกว่าชั่ง นางสามารถวิ่งได้เร็วกว่าเมื่อสักครู่
มีคนผู้หนึ่งปรากฏตัวในตำแหน่งที่พวกเขายื่นอยู่เมื่อสักครู่ ั์ตามืดครึ้มคู่นั้นเห็นแผ่นหลังของพวกเขาค่อยๆ เดินจากไป
หลิงมู่เอ๋อร์และหลิงจื่อเซวียนวิ่งมาเป็เวลานาน จึงหยุดฟังอย่างระมัดระวัง หลังจากไม่ได้ยินเสียงนั้นแล้วก็หาที่นั่งพัก ทว่าพวกเขาพักได้ไม่นาน เสียงนั้นก็เข้ามาใกล้อีก พวกเขาจำเป็ต้องวิ่งอย่างช้าๆ พยายามให้ห่างจากเสียงนั้น จนกระทั่งพวกเขาข้ามผ่านูเาลูกนั้น ได้หยุดพักเมื่อถึงหมู่บ้านตระกูลหยาง ถึงได้ถอนหายใจได้อย่างโล่งอก
“เมื่อครู่เป็สัตว์ป่าจริงๆ หรือเ้าคะ?เหตุใดถึงรู้สึกว่าไม่ค่อยเหมือนนัก?” หลังจากสงบสติอารมณ์ลง หลิงมู่เอ๋อร์ก็ถามข้อสังสัย “ตอนนี้มาคิดๆ ดู เหมือนกับเสียงฝีเท้าของคนมากกว่า”
หลิงจื่อเซวียนงงงัน เขาครุ่นคิดอย่างรอบคอบ ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้แล้วกล่าว “ดูเหมือนว่าจะเป็เช่นนั้นจริงๆ แต่ว่า…หรือว่ายังมีผู้ใดจำเป็ต้องข้ามเขาลูกนี้เหมือนพวกเราหรือ? ไม่อย่างนั้นเป็เพราะเหตุใดถึงได้ตามอยู่ด้านหลังไม่ใกล้ไม่ไกลพวกเราตลอดเล่า?”
“เสียงนั้นเบายิ่งนัก เห็นได้ชัดว่าคนผู้นั้นเดินอยู่บนูเาราวกับอยู่บนพื้นราบ สภาพแวดล้อมที่เลวร้ายเช่นนี้มิอาจเป็อุปสรรคใดๆ ต่อเขาได้เลย ในหมู่บ้านของพวกเราเหมือนว่ามีเพียงคนเดียวที่มีความสามารถเช่นนี้…” หลิงมู่เอ๋อร์สามารถเป็ผู้สืบทอดของตระกูลหลิงได้ ไม่เพียงแต่มีพร์วิชาแพทย์ที่ล้ำเลิศ แน่นอนว่ามีสมองที่เฉลียวฉลาดเป็ที่สุด
เชิงอรรถ
[1] ชั่ง หมายถึง มาตราชั่งน้ำหนักจีน 1 ชั่ง (斤) เท่ากับ 500 กรัมในประเทศจีน, 600 กรัมในไต้หวัน