บุรุษร่างกำยำหลายคนหามเฉิงจื่อ ภรรยาเฉิงจื่อตามไปอย่างใกล้ชิด ก่อนจากไป นางหันไปทางหลิงมู่เอ๋อร์แล้วยกยิ้มให้อย่างเป็มิตร
หลิงมู่เอ๋อร์เห็นความซาบซึ้งใจในดวงตาของนาง ในใจรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก นางไม่เกรงกลัวปัญหา เพียงแต่กลัวคนที่นางช่วยอย่างยากลำบากไม่รู้จักซาบซึ้งในบุญคุณ ถ้าเป็เช่นนี้ ไม่ช่วยยังจะดีเสียกว่า
ย้อนกลับไปเมื่อตอนที่ทำงานอยู่ในโรงพยาบาลทหาร ทุกคนที่นางรับมาดูแลล้วนเป็คนที่มีฐานะทางสังคม นางอายุยังน้อย ตอนที่นางเพิ่งจะไปไม่มีผู้ใดเห็นนางอยู่ในสายตา ไม่ว่านางจะพูดอย่างไร ท่าทางพวกเขาล้วนมีท่าทางเหมือนไม่เชื่อ เวลาผ่านไปนาน นางก็รู้สึกหมดความอดทน ด้วยเหตุนี้จึงตั้งกฎหนึ่งข้อให้กับตนเอง ผู้ใดมีความสงสัยในการทำงานของนาง นางก็จะไม่ช่วย
“เด็กคนนี้มีความรู้วิชาแพทย์แต่ตั้งเมื่อใด?ยังทำให้ต้องมองใหม่จริงๆ ” ในกลุ่มคน มีคนพูดด้วยน้ำเสียงเบา
“เ้าไม่ได้ฟังที่นางพูดหรือ?เจ็บป่วยมานานจนพอรักษาได้เองอยู่บ้าง เมื่อก่อนนางก็ดูเหมือนคนที่อ่อนแอเป็โรคภัยไข้เจ็บ พี่ชายและน้องชายของนางก็ป่วยอยู่บ่อยๆ นางคอยปรนนิบัติอยู่ทุกวันเช่นนี้ ค่อยๆ รู้วิชาแพทย์มาบ้างก็ไม่แปลกอันใด” คนข้างๆ ดูท่าทางเหมือนไม่เห็นด้วย
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่ได้สนใจต่อบทสนทนาของพวกเขาเลยสักนิด เฉิงจื่อผู้นั้นจะมีชีวิตรอดหรือไม่ก็ยังไม่แน่ นางแค่ทายาห้ามเืให้เขาก็เท่านั้น อากาศในตอนนี้เลวร้ายนัก คนที่แข็งแรงล้วนจะทนไม่อยู่แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงบุรุษที่เสียเือย่างหนักอย่างเขา ต่อไปจะมีบททดสอบอีกมากมายให้เขาต้องเผชิญหน้า
หากเขามีจิตใจที่เข้มแข็ง ประคับประคองอยู่รอดเพื่อภรรยาและลูกได้ เขาที่สูญเสียแขนหนึ่งข้างไปในวันข้างหน้าก็จะยิ่งมีชีวิตที่ยากลำบาก หนทางข้างหน้าก็ต้องดูว่าเขาจะเดินต่อไปอย่างไรแล้ว
นางถือตะกร้าเดินกลับไปถึงบ้าน หยางซื่อเฝ้ารอที่ประตูมองอยู่ไกลๆ เมื่อเห็นเงาของนางก็รีบปรี่เข้ามารับทันที
“เ้าเด็กนี่ช่างดื้อจริงๆ แม่เคยบอกเ้านานแล้ว ผักป่าที่อยู่บนเขานั้นถูกคนในหมู่บ้านขุดไปจนหมดเกลี้ยงแล้ว หลังจากนี้ไปเ้าไม่ต้องไปเสี่ยงอันตรายที่นั่นแล้ว” หยางซื่อจับมือของนาง เป่าลมให้มือนางไม่หยุด เอ่ยถามด้วยความเป็ห่วง “อุ่นขึ้นหรือไม่?รีบเข้าไปผิงไฟเร็วเข้า ตัวจะแข็งหมดแล้ว”
“ท่านแม่ ข้าไม่ได้ไปบนูเา” หลิงมู่เอ๋อร์เปิดตะกร้าที่ด้านนอกเต็มไปด้วยหญ้า ยิ้มเล็กน้อยพร้อมกล่าว “เมื่อไม่นานมานี้ข้าฝากหมีดำไว้ที่บ้านของพี่ใหญ่ ท่านลืมไปแล้วหรือเ้าคะ?”
"นี่ นี่... ข้าลืมไปแล้วจริงๆ " หยางซื่อเห็นเนื้อชิ้นใหญ่นี้ ดวงตาก็เต็มไปด้วยความสุข “พวกเราใช้กันอย่าประหยัดหน่อย จะต้องผ่านพ้นไปได้อย่างแน่นอน”
“เมื่อครู่มีคนในหมู่บ้านหลายคนขึ้นไปหาอาหารบนูเา บังเอิญเจอเสือดาวตัวหนึ่ง มีคนถูกเสือดาวคาบไป ทั้งยังมีคนถูกกัดจนแขนขาดไปหนึ่งข้างด้วยเ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์มองที่บ้าน กล่าวถาม “พี่ใหญ่ล่ะเ้าคะ?เขาอยู่ในบ้านใช่หรือไม่?่นี้สัตว์ป่าในูเาล้วนบ้าคลั่งกันทั้งสิ้น อย่าให้เขาขึ้นูเาไปเจออันตรายเด็ดขาดเลยนะเ้าคะ”
หลิงจื่อเซวียนเดินออกมาจากห้องข้างๆ เขาได้ยินคำพูดของหลิงมู่เอ๋อร์ ยิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าว “เ้าเด็กคนนี้ยังมีหน้ามาสั่งสอนข้า ตอนนี้คนที่ชอบออกไปด้านนอกมากที่สุดก็คือเ้า ในเมื่อรู้ว่าอันตราย หลังจากนี้ก็อย่าขึ้นเขาตามใจอีกล่ะ ครอบครัวของพวกเรายังดีกว่าบ้านของผู้อื่น กินอย่างประหยัดหน่อยก็พอจะรอดหน้าหนาวนี้ไปได้”
“แต่ว่า…” หลิงมู่เอ๋อร์พูดอย่างอับจนหนทาง “ทุกคนต่างวิ่งวุ่นหาหนทางเลี้ยงชีพ มีแต่คนในครอบครัวพวกเราแม้แต่ประตูบ้านยังไม่ออก นี่อาจจะแปลกเกินไปสักหน่อย!”
“นี่…” หยางซื่อขมวดคิ้ว “มู่เอ๋อร์พูดได้ถูกต้อง ครอบครัวพวกเราจำเป็ต้องมีคนออกไปหาอาหารข้างนอกบ้าง ไม่เช่นนั้นจะถูกคนอื่นสงสัยเอาได้”
“เมื่อครู่หลี่เจิ้งพูดว่าวันพรุ่งนี้ทุกคนจะต้องออกไปทำความสะอาดถนน ตอนนี้ทุกคนล้วนไม่มีอาหารกิน ทั้งยังต้องหิ้วท้องที่หิวไปทำความสะอาดถนนอีก ก็ไม่รู้ว่าจะอดทนได้อีกกี่วัน” หลิงมู่เอ๋อร์ขมวดคิ้ว “คนที่กินดีอยู่ดีย่อมไม่เข้าใจความรู้สึกของคนที่อดอยาก เขาไม่เคยหิวมาก่อน เพราะฉะนั้นเลยไม่รู้ถึงความรู้สึกที่ทรมานของท้องที่หิว ถ้าเป็แบบนี้ต่อไป เกรงว่าทุกคนจะทนได้อีกไม่นาน”
“ถ้าสามารถทำความสะอาดถนนได้เร็วขึ้น ทุกคนก็จะสามารถออกไปซื้ออาหารในเมืองได้ เงินที่ยังพอเหลือในบ้าน ก็ยังสามารถซื้อเสื้อผ้าเครื่องใช้เพื่อป้องกันความหนาวได้ด้วย” หลิงจื่อเซวียนกล่าว “ในเมื่อไม่มีหนทางให้ถอยกลับ ตอนนี้พวกเขาก็ได้แค่หวังว่าจะทำความสะอาดถนนให้เสร็จภายในเร็ววัน อย่างน้อยนี่ก็เป็อีกหนึ่งโอกาสที่จะมีชีวิตอยู่ เพียงแต่ทำงานหนักอย่างนี้แล้วท้องก็หิวด้วยจะไม่ไหวเอาได้”
“ไม่ต้องพูดเื่พวกนี้แล้ว แม้แต่ตัวเองยังยากที่จะดูแล คงไม่อาจช่วยผู้อื่นได้หรอกเ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์ปัดเกล็ดหิมะที่อยู่บนตัว “น้องเล็กไม่เป็อันใดแล้วใช่หรือไม่?ข้าจะไปดูเขาสักหน่อย”
“เช่นนั้นเ้าอยู่เป็เพื่อนน้องเล็กเถิด แม่จะไปทำอาหาร” หยางซื่อกล่าวแล้วถือตะกร้าเข้าไปในห้องครัว นางเดินไปพลางบ่นพึมพำไปพลาง “ทั่วทั้งหมู่บ้านมีเพียงบ้านของหลี่เจิ้งเท่านั้นที่มีควันพวยพุ่งออกมา ครอบครัวพวกเราเองก็ต้องทำอาหารทุกวันเช่นกัน หากเป็อย่างนี้ก็ยากที่จะปิดเป็ความลับแล้ว ยามนี้มีแต่ต้องพิจารณาให้ผ่านไปวันต่อวัน ได้แต่หวังว่าจะทำความสะอาดให้เสร็จภายในเร็ววัน ทุกคนก็จะมีข้าวกินกัน”
หลิงมู่เอ๋อร์ทอดมองแผ่นหลังของหยางซื่อ คิดอยู่ในใจ โชคดีที่หยางซื่อไม่ได้ขอให้แบ่งเนื้อหมีดำให้เท่าๆ กันอย่างใจดี ไม่เช่นนั้นครอบครัวคงจะมีชีวิตที่ลำบากมากกว่านี้
“มู่เอ๋อร์ พี่จะปรึกษากับเ้าสักเื่หนึ่ง” หลิงจื่อเซวียนกล่าวด้วยน้ำเสียงต่ำ “ครอบครัวของพวกเราโชคดีที่ไม่ต้องอดอยาก แต่ว่าบ้านของท่านยายและท่านลุงนั้นแย่เป็อย่างยิ่ง ไม่กี่วันนี้ท่านแม่ทอดถอนหายใจบ่อยๆ เป็ห่วงว่าพวกเขาจะผ่านไปไม่ได้ หมู่บ้านตระกูลหยางห่างจากที่บ้านของพวกเราไปไม่ไกลนัก แค่ข้ามูเาหนึ่งลูกไปก็ถึงแล้ว พี่กำลังคิดว่า ถ้ามีเนื้อหมีดำเหลืออยู่มาก จะมอบให้พวกเขาสักหน่อยพอจะได้หรือไม่?”
ในความทรงจำของหลิงมู่เอ๋อร์ ท่านยายถังซื่อเป็หญิงหม้ายชรา นางเป็หม้ายั้แ่ตอนที่ยังเป็สาว เลี้ยงดูบุตรสาวและบุตรชายตามลำพัง
เพื่อให้ท่านลุงหยางต้าหนิวได้ไปแต่งลูกสะใภ้ นางมอบหยางซื่อให้กับครอบครัวคนรวยเพื่อแต่งแบบถงหย่างสี [1] แต่น่าเสียดายที่บุตรชายบ้านนั้นป่วยเป็โรคมาั้แ่เด็กจนเติบใหญ่ อยู่ได้ไม่กี่ปีก็สิ้นแล้ว หยางซื่อถูกขับไล่ออกมา หลังจากนั้นจึงได้พบกับหลิงต้าจื้อ
นี่เป็หนึ่งในเหตุผลที่คนในหมู่บ้านบอกว่าหยางซื่อโชคไม่ดี
ในสายตาของพวกเขา หยางซื่อทำให้สามีตายไปแล้วหนึ่งคน ตอนนี้ก็นำหายนะมาสู่บุตรทั้งสองคนจนพวกเขาล้มป่วย เห็นได้ชัดว่านางเป็คนที่ดวงแข็งเป็อย่างยิ่ง
ถึงแม้ว่าท่านยายถังซื่อจะสละความสุขของบุตรสาวเพื่อบุตรชาย แต่ก็ไม่ใช่คนไม่ดีอะไร สตรีในยุคสมัยนี้ให้ความสำคัญกับบุรุษมากกว่าสตรี อีกอย่างหนึ่ง เวลานั้นครอบครัวของพวกเขาอับจนหนทาง ถังซื่อรู้สึกว่าแทนที่จะปล่อยให้บุตรสาวได้รับความลำบากอยู่บ้านของพวกเขา ไม่สู้ส่งนางไปบ้านคนรวยเสียยังดีกว่า อย่างน้อยหยางซื่อก็จะได้ไร้กังวลเื่เสื้อผ้าและอาหาร ไม่ต้องกังวลว่าท้องจะหิว
ทว่าในยุคสมัยนี้การแต่งแบบถงหย่างสีเป็สิ่งที่ไร้ซึ่งศักดิ์ศรี แม้แต่ภรรยาบ่าวก็ยังสู้ไม่ได้ เวลานั้นถังซื่ออยู่ในครอบครัวนั้นต้องอดทนกับความยากลำบากเป็อย่างยิ่ง
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่ค่อยเห็นด้วยกับการวิธีของถังซื่อ แต่ก็ไม่ได้รังเกียจนาง ความทรงจำของเ้าของเดิมบอกนางว่า ชีวิตของท่านยายถังซื่อลำบากนัก ในเวลานั้นไม่ง่ายเลยที่นางจะใช้เงินที่ได้จากการขายบุตรสาวเพื่อให้ลูกชายได้แต่งภรรยา แต่เป็เพราะว่าทางบ้านยากจน สตรีผู้นั้นให้กำเนิดบุตรชายได้ไม่นานก็หนีตามผู้อื่นไปแล้ว
“พี่ชาย ถนนสายเล็กของหมู่บ้านพวกเราถล่มลงมา ไม่มีวิธีที่จะเข้าไปในเมืองได้ ในเมื่อข้ามูเาลูกนี้ก็จะถึงหมู่บ้านตระกูลหยาง เช่นนั้นเราสามารถเข้าไปในเมืองจากเส้นทางนั้นได้หรือไม่เ้าคะ?” หลิงมู่เอ๋อร์เอ่ยถาม
“เ้าเด็กโง่ หมู่บ้านพวกเราล้อมรอบด้วยูเาทั้งสี่ทิศ อยากไปหมู่บ้านอื่นก็จำเป็ต้องผ่านเส้นทางทีู่เาถล่มลงมาสายนั้น แม้จะพูดว่าข้ามูเาไปก็เป็หมู่บ้านตระกูลหยาง ทว่าเส้นทางของหมู่บ้านพวกเขาก็ยังสู้หมู่บ้านของพวกเราไม่ได้ ถ้าหากทะลุผ่านไปได้ล่ะก็ พวกเราก็ไปตั้งนานแล้ว ตอนนี้ทุกคนล้วนสิ้นหวังเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์ของพวกเขาที่นั่นแย่กว่าพวกเราที่นี่”
หมู่บ้านตระกูลหยางกับหมู่บ้านตระกูลหลิงมีูเาลูกหนึ่งคั่นอยู่ ทั้งสองหมู่บ้านมักจะแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กัน ถ้าหากว่าทางของูเาในหมู่บ้านพวกเขาสามารถผ่านเข้าไปในหมู่บ้านได้ คนในหมู่บ้านนี้ก็คงจะเข้าไปในเมืองได้ตั้งนานแล้ว คงไม่รอจนถึงตอนนี้
หลิงมู่เอ๋อร์ครุ่นคิดแล้วกล่าว “ชีวิตความเป็อยู่ของท่านยายลำบากมากจริงๆ พวกเราควรจะแบ่งเนื้อไปให้พวกเขาสักหน่อย”
“ข้ารู้ว่าน้องหญิงของข้าเป็หญิงสาวที่มีจิตใจดีงาม” หลิงจื่อเซวียนยกยิ้มอย่างเจิดจ้าสว่างไสว
หลิงจื่อเซวียนหน้าตางดงามและฉลาดหลักแหลม หากไม่ใช่เพราะว่าขาข้างนั้นได้รับาเ็ ไม่รู้ว่าจะมีหญิงสาวมากมายเพียงใดที่ยินยอมแต่งให้กับเขา ตอนนั้นเขาเป็บุรุษที่รูปงามที่สุดในหมู่บ้านละแวกนี้เลยทีเดียว
ตอนนี้เพียงเขายิ้ม ก็เผยให้เห็นฟันที่ขาวราวหิมะ ดวงตาที่อบอุ่นนุ่มนวล ราวกับสามารถเปล่งแสงประกายระยิบระยับได้
หลิงมู่เอ๋อร์มองที่ขาของหลิงจื่อเซวียน ก่อนกล่าว “พี่ชาย ข้าขอดูขาของท่านหน่อยจะได้หรือไม่?”
รอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้าของหลิงจื่อเซวียนนั้นหยุดชะงักไป ท่าทางของเขาก็เปลี่ยนไปเป็ขมขื่นทุกข์ระทม
“เ้าเด็กโง่ มีอะไรน่าดูกัน?” หลิงจื่อเซวียนลูบที่ขาของตัวเอง ถอนหายใจเบาๆ แล้วกล่าว “ถึงอย่างไรก็เป็แค่ขาที่ไร้ประโยชน์ข้างหนึ่งเท่านั้น”
“ท่านอย่าถอดใจเลยนะเ้าคะ” หลิงมู่เอ๋อร์เห็นอารมณ์ที่หม่นหมองของหลิงจื่อเซวียน นางก็ยากที่จะพูดขออะไรอีก นางรู้ว่าตอนนั้นหลิงจื่อเซวียนไม่ได้าเ็อะไรมาก เพียงแค่ไม่ได้เจอหมอที่ดี ดังนั้นจึงทำให้การฟื้นตัวของขาที่าเ็นั้นล่าช้า รอนางรวบรวมสมุนไพรครบแล้ว หลังจากนั้นค่อยเริ่มรักษาให้เขาใหม่อีกสักรอบ ดูการเดินยามปกติของหลิงจื่อเซวียน ขอเพียงแต่แก้ไขให้ถูกต้องสักหน่อยก็สามารถคืนสู่สภาพปกติได้ “ต้องมีสักวัน ข้าจะทำให้พี่ชายกลับมาเป็ปกติให้ได้ ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้น ระยะนี้ข้ามักจะฝันเห็นท่านปู่หนวดขาวสอนวิชาแพทย์ให้ วันนี้แขนพี่เฉิงจื่อขาดเสียเืเป็อย่างมาก ข้าไปหาสมุนไพรตามที่ท่านปู่หนวดขาวผู้นั้นสอนข้า คิดไม่ถึงว่าจะช่วยห้ามเืได้จริงๆ ท่านว่ามหัศจรรย์หรือไม่เ้าคะ?”
“มีเื่เช่นนี้ด้วยหรือ?” หลิงจื่อเซวียนมองนางด้วยความใ “ไม่ใช่ว่าน้องหญิงได้เจอกับเทพเซียนแล้วหรือ?”
หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวอยู่ในใจ ไม่ใช่เทพเซียน แต่เป็หมอเทวดา ถ้าหากไม่พูดเช่นนั้น จะอธิบายว่านางรู้วิชาแพทย์อย่างกะทันหันได้อย่างไร?
“ก็อาจจะเป็ไปได้!ทุกวันตอนกลางคืนเขาจะมาสอนข้าในความฝัน คงไม่ใช่คนหลอกลวงหรอกเ้าคะ!” หลิงมู่เอ๋อร์ลูบที่แก้ม ด้วยสีหน้าท่าทางที่ไม่เข้าใจเช่นกัน
“ดูเหมือนว่าเ้าเด็กน้อยมู่เอ๋อร์ของพวกเรามีวาสนา” หลิงจื่อเซวียนไม่สงสัยในตัวของนาง คนในสมัยโบราณค่อนข้างหัวโบราณ ให้ความเคารพและยำเกรงเทพเ้ามาก พวกที่ใช้ทฤษฎีอธิบายความเป็จริงไม่ได้ก็ผลักให้เป็เื่ของเทพเซียนเกือบทั้งหมด “ไม่แปลกใจที่เ้าทำให้อุณหภูมิของน้องเล็กลดลงได้ ที่แท้ก็มีเทพเซียนคอยชี้แนะนี่เอง”
“ไม่พูดเื่นี้แล้ว เขาปรากฏในความฝัน ไม่มาทำร้ายข้าแน่นอน” หลิงมู่เอ๋อร์แลบลิ้นแล้วกล่าว “ข้าจะไปบ้านพี่ใหญ่ท่านนั้นอีกสักรอบ หลังจากนั้นก็นำเนื้อหมีดำไปมอบให้ที่บ้านของท่านยายด้วย”
“เ้าไป?ไม่ ไม่ เ้าเป็สตรีจะปีนข้ามูเาสูงขนาดนั้นคนเดียวได้อย่างไร?อีกอย่าง ในูเายังมีสัตว์ป่า ข้าไม่ยอมให้เ้าไปเสี่ยงอันตรายแน่” สีหน้าของหลิงจื่อเซวียนเปลี่ยน รีบร้อนกล่าว “แน่นอนว่าเป็พี่ชายไป เื่นี้ก็ยกให้พี่ชายจัดการเถิด”
“พี่ชาย ูเาลูกนั้นข้าเดินไปหลายรอบแล้ว อีกอย่าง ข้ารู้ว่ามีเส้นทางลัดที่สามารถทะลุไปถึงบ้านของท่านยายได้ เมื่อก่อนใช่ก็ว่าข้าไม่เคยเดินผ่านไป” หลิงมู่เอ๋อร์ไม่ยอมให้หลิงจื่อเซวียนไปเสี่ยงอันตรายเด็ดขาด ขาเขาเป็เช่นนั้น ถ้าหากเจอสัตว์ป่า แม้แต่จะวิ่งหนียังวิ่งหนีไม่ได้เลย โชคดีที่นางปีนต้นไม้ได้ และก็วิ่งหนีได้
“ไม่ได้!” หลิงจื่อเซวียน ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็จะไม่ให้หลิงมู่เอ๋อร์ไปเสี่ยงอันตรายแน่ นี่เป็ความคิดของเขา แน่นอนว่าเขาต้องรับผิดชอบ พวกเขาพี่น้องไม่กี่คนมีแค่หลิงมู่เอ๋อร์เท่านั้นที่ปกติ ถ้าหากนางเกิดอันตรายอันใดขึ้น ไม่ต้องพูดเลยว่าหยางซื่อจะยอมรับความเ็ปเช่นนี้ได้อีกหรือไม่ แม้แต่คำนินทาภายนอกเ่าั้ก็ทำให้หยางซื่อกลายเป็บ้าได้
เชิงอรรถ
[1] ถงหย่างสี หมายถึง เด็กผู้หญิงที่นำมาเลี้ยงในบ้านั้แ่เด็กเพื่อให้แต่งงานเป็สะใภ้บ้านนั้นๆ เมื่อโตขึ้น