“อ้อ อย่างงั้นหรอ? ในเมื่อเป็อย่างนี้ ผมก็คงต้องลองเปลี่ยนร้านดูแล้วล่ะ” หลินเยว่ไม่มีการต่อล้อต่อเถียงใดๆ ทั้งสิ้น เขาหยิบชามขึ้นมาและเตรียมพร้อมที่จะเดินออกไป
เมื่อเถ้าแก่จูเห็นการกระทำของหลินเยว่ เขาคาดไม่ถึงว่าหลินเยว่จะไม่พูดอะไรเลย จึงรีบวิ่งออกไปขวางหลินเยว่ไว้ พร้อมพูดขึ้น “ถึงแม้ว่าจะเป็ของลอกเลียนแบบในสมัยสาธารณรัฐจีน แต่ก็ทำลอกเลียนออกมาได้ไม่เลว มันก็พอมีราคาอยู่นะ 1,000 หยวน 1,000 หยวนราคานี้ตกลงไหม ถ้าให้ราคา 1,000 หยวนผมก็จะรับซื้อไว้เลย”
“เสแสร้ง เอ้า! เสแสร้งต่อไปสิ ผมจะรอดูว่าคุณจะเสแสร้งไปถึงเมื่อไร เค้าว่ากันว่าเถ้าแก่จูเ้าเล่ห์ วันนี้ผมก็ได้เห็นกับตาแล้วจริงๆ” หลินเยว่พูดยิ้มๆ พร้อมมองหน้าเถ้าแก่จู
“ฮ่าๆ ข้างนอกเขาเอาไปลือกันผิดๆ เท่านั้นแหละ คนอย่างผมจะเ้าเล่ห์ขนาดนั้นได้อย่างไร 1,000 หยวนอาจจะน้อยไปหน่อย ถ้าอย่างงั้นก็คิดตามราคาตลาดก็แล้วกัน 5,000 หยวนได้ไหมล่ะ นี่คิดถึงมิตรภาพระหว่างเราเลยนะ ผมถึงให้ราคานี้กับคุณ มันเป็ราคาสูงที่สุดเท่าที่จะให้ได้แล้ว หากไม่พอใจแล้วละก็คุณก็นำกลับไปเถอะ ผมคิดว่าบนถนนเส้นนี้ไม่มีใครจะให้ราคาสูงกว่า 5,000 หยวนแล้วล่ะ”
เมื่อพูดจบ เถ้าแก่จูก็เปิดทางให้กับหลินเยว่ พร้อมส่งหลินเยว่ออกทางประตูหน้าของร้าน
หลินเยว่หัวเราะหึๆ เขามองเถ้าแก่จูพร้อมพูดขึ้น “รู้มั้ย ว่าทำไมตอนแรกผมถึงถามว่าท่านเฮ่อฉางเหอเป็ใคร?”
เมื่อเถ้าแก่จูได้ยิน สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที เขาจึงคิดทบทวนกลับไปกลับมา แล้วถามอย่างไม่ค่อยอยากจะเชื่อนัก “ความหมายของคุณก็คือ ท่านเฮ่อฉางเหอได้เห็นชามใบนี้แล้วหรอ? แล้วท่านก็พูดว่านี่เป็ของแท้ในสมัยจักรพรรดิคังซี?”
“แน่นอนสิ คุณไม่คิดหรอว่าทำไมผมถึงมีความมั่นใจขนาดนี้” หลินเยว่พูดอย่างภาคภูมิใจพอสมควร หากเถ้าแก่จูไม่ได้บอกว่าท่านเฮ่อฉางเหอเป็ใคร เขาคงไม่กล้ารับประกันว่าชามใบนี้เป็ของแท้หรอก ระหว่างที่พูดหลินเยว่ก็หยิบนามบัตรที่ท่านเฮ่อฉางเหอมอบให้กับเขา
“ฮ่าๆ ในเมื่อท่านเฮ่อกล่าวว่าเป็ของแท้ มันก็ไม่มีทางเป็ของปลอมหรอกนะ ตอนแรกผมก็ยังไม่ค่อยกล้าการันตีสักเท่าไร” เถ้าแก่จูก็หน้าหนามิใช่น้อย จริงๆ เขามองออกั้แ่แรกแล้ว แต่เขาเจตนาพูดว่าชามใบนี้เป็ของปลอมเท่านั้นเอง เมื่อเห็นว่าหลินเยว่ได้รับการพิสูจน์ว่าชามนี้เป็ของแท้จากท่านเฮ่อฉางเหอ เถ้าแก่จูจึงยินดีที่จะพูดตามน้ำต่อไป
“50,000 หยวน ได้ไหมล่ะ?” เมื่อคิดว่าเมื่อสักครู่ตัวเองบอกราคาไป 100,000 หยวน เถ้าแก่จูก็รู้สึกเจ็บจี๊ดๆ ในใจ หากไม่ได้มีการพูดไว้ก่อน ไม่แน่หรอกนะเขาอาจจะซื้อได้ในราคา 20,000 หยวนเท่านั้น
หลินเยว่มองเถ้าแก่จูอย่างอึ้งๆ คาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายยังคิดจะเล่นตลกอะไรกับเขาอีก เขาจึงพูดด้วยความโกรธ “เมื่อตะกี๊เพิ่งบอกว่า 100,000 หยวนไม่ใช่หรอ? ทำไมถึงกลายเป็ 50,000 หยวนล่ะ?”
เถ้าแก่จูยิ้มอย่างฝืนๆ “100,000 หยวนเป็ราคาที่เอาไว้ขาย คุณไม่เคยได้ยินประโยคนี้หรอ ‘สามปีขายของไม่ออก แต่พอขายออกก็เก็บเงินไว้ใช้ได้สามปี’ ประโยคนี้เป็การพูดถึงธุรกิจซื้อขายวัตถุโบราณและหยกอัญมณีของพวกเราเลยล่ะ คนที่ซื้อของพวกนี้ไม่ได้มีเยอะแยะ ดังนั้น ขายออกหนึ่งครั้งก็ย่อมต้องได้กำไรเยอะหน่อย ไม่อย่างนั้นผมก็คงต้องกินแกลบ แล้วชามของคุณใบนี้นะยังมีรอยร้าวเล็กๆ อยู่รอยหนึ่ง แค่มองก็รู้ว่าเคยถูกกระแทกมาก่อน มันก็ต้องส่งผลต่อราคาสิ”
เมื่อหลินเยว่ได้ยินคำพูดของเถ้าแก่จู เขาก็รู้สึกเห็นด้วยว่าวงการนี้ขายของยาก แต่หากขายได้สักครั้งก็ต้องได้กำไรมหาศาล
แต่เมื่อคิดว่าเมื่อสักครู่เถ้าแก่จูพูดว่าหากเขาทำชามแตกเขาต้องชดใช้ 100,000 หยวน ในใจของเขาก็รู้สึกเจ็บใจ เพราะตัวเขาเองคิดว่าเขากับเถ้าแก่จูก็น่าจะถือว่าเป็เพื่อนกันแล้ว แต่คาดไม่ถึงว่าเถ้าแก่จูจะร้ายกับเขาถึงขนาดนี้
“ไม่ได้ 50,000 น้อยเกินไป อย่างต่ำต้อง 70,000” หลินเยว่พูดตอบ
เถ้าแก่จูส่ายศีรษะ “70,000 แพงเกินไป อย่างมากผมให้ได้แค่ 60,000 หากได้ราคานี้ผมก็จะรับไว้ หากไม่พอใจ คุณก็ไปร้านอื่นเถอะ”
ระหว่างที่พูด เถ้าแก่จูก็เปิดทางให้อีกครั้ง
เมื่อเห็นว่าเถ้าแก่จูพูดจาเด็ดขาดขนาดนี้ หลินเยว่ก็รู้ได้ทันทีว่า 60,000 หยวนเป็ราคาสูงสุดเท่าที่เป็ไปได้ ดังนั้น เขาจึงพยักหน้าตกลง
หลินเยว่ถือเงิน 60,000 หยวนเดินออกมาจากร้านวัตถุโบราณ เขาเกิดความรู้สึกแปลกประหลาดขึ้นในใจ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสองสามวันนี้ มันช่างเหมือนความฝัน นอกจากเขาจะรักษาดวงตาจนหายดีแล้ว เขายังมีพลังพิเศษตามมาด้วย นั่นก็คือ การที่เขามีตาทิพย์!
แต่ความโชคดีก็ยังไม่หมดเท่านี้ เขายังโชคดีได้ซื้อของแท้ในราคาถูก ซึ่งเป็เื่ที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อยมาก จากตอนแรกที่เขาเป็คนจนแสนจน มีเงินติดตัวเพียง 700 หยวน แต่เพียงชั่วอึดใจเขากลับกลายเป็คนพอมีพอกินที่มีเงิน 60,000 หยวน
หลินเยว่กอดหินหยกไว้ในอ้อมแขน ขณะที่เขากำลังจะเดินต่อนั้น เขากลับหยุดเท้าลงอย่างกะทันหัน
พลังพิเศษ? ตาทิพย์?
หัวใจของหลินเยว่กระตุกขึ้นอย่างแรง ทำไมเขาถึงไม่ได้คิดถึงจุดนี้เลยนะ ไม่แน่เขาอาจจะสามารถใช้พลังพิเศษมองเห็นสภาพด้านในของหินหยกก็ได้ หากเป็เช่นนี้ เส้นทางการพนันหินหยกของเขาคงจะราบรื่นอย่างแน่นอน
จนถึงขณะนี้ มนุษย์ยังไม่มีวิธีที่จะสามารถมองทะลุเข้าไปในหินหยกได้ แต่หากตัวเขาทำได้ เขาก็จะใช้การพนันหินหยกมาสร้างเนื้อสร้างตัวให้กับครอบครัวของเขาได้น่ะสิ!
เมื่อลองจินตนาการดู หลินเยว่ก็รู้สึกตื่นเต้นมาก เขาอยากจะลองใช้พลังพิเศษของเขาั้แ่ตอนนี้เลย เขาอยากรู้ว่าดวงตาของเขาจะสามารถมองทะลุเข้าไปในหินหยกได้หรือไม่
แต่เมื่อเขาคิดถึงภาพเหตุการณ์เมื่อคืน... เขาปวดหัวอย่างรุนแรง ภาพด้านหน้ามืดสนิท... เพียงคิดเขาก็รู้สึกกลัวขึ้นมา เขาต้องรอให้กลับถึงบ้านก่อนแล้วค่อยลองใช้พลังพิเศษนี้ อย่างน้อยเวลาอยู่ที่ห้องก็มีความปลอดภัยในระดับหนึ่ง
เมื่อคิดได้เช่นนี้เขาจึงลงมือทำทันที หลินเยว่อุ้มหินหยกในอ้อมกอดเดินมุ่งหน้ากลับไปที่ห้องพัก แต่ระหว่างทางเขาก็แวะที่ตลาดสดซื้อเนื้อสักกิโลเพื่อให้รางวัลกับตัวเอง แล้วยังแวะไปธนาคารเพื่อโอนเงินให้กับบิดามารดาของตัวเอง 30,000 หยวน ั้แ่เล็กจนโตเขาก็ใช้เงินของบิดามารดามาตลอด ในที่สุดเขาก็มีโอกาสตอบแทนพวกท่านบ้างแล้ว
เมื่อจัดการเื่ทั้งหมดนี้เสร็จ หลินเยว่เดินทางกลับถึงห้อง เมื่อมองเวลาจึงรู้ว่าเป็เวลาเที่ยงพอดี ดังนั้น เขาจึงกินข้าวอย่างลวกๆ พอให้ผ่านมื้อนี้ไป แล้วก็เดินเข้าไปในห้องส่วนตัวของเขา
เขาจำได้ว่าเมื่อคืนตอนที่เขาเอนตัวลงนอนอยู่บนเตียง เขารวบรวมสมาธิมองไปยังโทรศัพท์ หลังจากนั้นโทรศัพท์ก็กลายเป็ของโปร่งใส นั่นก็แสดงว่า เวลาที่เขารวบรวมสมาธิ เขาก็จะมีพลังพิเศษ
เมื่อรู้ว่าต้องทำอย่างไรแล้ว หลินเยว่จึงวางหินหยกไว้บนเตียง หลังจากนั้นเขาจึงขึ้นเตียงและเพ่งมองหินหยกอย่างมั่นใจ แต่เพียงไม่นานหลินเยว่ก็เบี่ยงสายตาออก
เขาจำได้ว่าท่านเฮ่อฉางเหอไม่เห็นค่าของหินหยกก้อนนี้ นั่นก็แสดงว่า หินหยกก้อนนี้ภายในไม่มีประกายสีเขียว เมื่อเขาใช้พลังพิเศษมองไม่เห็นหยก แล้วเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าหยกมีลักษณะพิเศษอย่างไรบ้าง
แต่ทว่าเพียงไม่นานหลินเยว่ก็รู้สึกว่าตัวเองคิดมากจนเกินไป ลักษณะพิเศษของหยกมันเด่นชัดจะตาย อีกทั้งเมื่อคืนสิ่งที่เขามองเห็นทะลุได้ก็มีรูปร่างลักษณะเหมือนกับตัวตนของของชิ้นนั้นจริงๆ
ดังนั้น หากมองทะลุเข้าไปด้านในแล้วพบหยก มันก็ควรจะมีลักษณะเหมือนหยกนั่นแหละ ในทำนองเดียวกัน หากเป็เพียงก้อนหิน ลักษณะภายในของมันก็ต้องมีพื้นผิวและสีสันเหมือนกับตัวก้อนหินที่แท้จริงของมัน
เมื่อเข้าใจตามนี้ หลินเยว่ก็รู้สึกโล่งใจอีกครั้ง หากเป็เช่นนี้ เขาก็สามารถตรวจสอบว่าพลังพิเศษของเขาสามารถมองทะลุได้จริงๆ หรือไม่ และก็ยังสามารถลองดูว่าหินหยกก้อนนี้จะมีหยกภายในหรือเปล่า ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว!
ดังนั้น หลินเยว่จึงดึงสายตากลับมาที่ก้อนหินหยก และเริ่มรวบรวมสมาธิเพ่งมองอีกครั้ง
ผิวด้านนอกของหินหยกก็ค่อยๆ จางลงอย่างรวดเร็ว ผิวหน้าของหินที่ตากแดดตากลมมานานก็ค่อยๆ กลายเป็สีโปร่งใส หลินเยว่รู้สึกตื่นเต้นเป็อย่างมาก ภายในของก้อนหินที่เป็สีเทาๆ ก็ปรากฏอยู่ในสายตาของหลินเยว่ และก็เป็ไปตามที่เขาคาดการณ์ไว้ สิ่งที่ปรากฏขึ้นก็เหมือนกับสภาพหินที่เขาเจอตอนที่เขาตัดเจ๊งนั่นเอง!
หินหยกที่อยู่เบื้องหน้าของหลินเยว่มีสภาพเหมือนกับก้อนน้ำแข็งเมื่อยามพบกับแสงอาทิตย์ มันค่อยๆ หลอมละลายต่อหน้าหลินเยว่ เพียงไม่นานนัก สองในสามส่วนของก้อนหินก็กลายเป็สีโปร่งใส
ซึ่งก็เป็ไปตามที่ท่านเฮ่อฉางเหอกล่าวไว้ ด้านในไม่มีหยกอะไรเลย มันทำให้หลินเยว่รู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง เพราะนี่เป็หินหยกที่ต้องตาเขาในแวบแรก แต่น่าเสียดายที่ภายในกลับไม่มีหยกเลยสักนิด
แต่เพียงไม่นาน หลินเยว่ก็รู้สึกขำในความคิดของตัวเองจนต้องหลุดหัวเราะออกมา การพนันหินหยกที่ถูกเรียกว่าการพนัน นั่นเป็เพราะมันมีความเสี่ยง ไม่มีใครที่สามารถการันตีได้ว่าภายในหินหยกจะต้องมีหยก หรือถึงจะมีหยกจริงๆ แต่ก็ไม่มีใครกล้ารับประกันว่าหยกที่อยู่ภายในนั้นจะมีมูลค่ามากเท่าไร ซึ่งมันก็มีสภาพเหมือนการพนันอย่างแท้จริง ไม่มีใครสามารถชนะพนันได้ตลอดเวลา ถึงจะเป็ปรมาจารย์แห่งหยกเ่าั้ก็เคยแพ้พนันมาแล้วเช่นกัน เพียงแต่พวกท่านเ่าั้เคยแพ้จำนวนน้อยครั้งเท่านั้นเอง
ตัวเขาได้หินหยกด้วยความบังเอิญมาก้อนหนึ่ง แต่ก็คิดอยากให้มีหยกอยู่ในนั้น มันช่างเป็การวาดฝันเกินตัวจริงๆ!
หนึ่งในสามส่วนที่เหลืออยู่ก็ค่อยๆ โปร่งใส่ขึ้นบางส่วน พลัน... มีประกายสีเขียวปรากฏขึ้น ทำให้ดวงตาของหลินเยว่เป็ประกายระยิบระยับ เขารีบรวบรวมสมาธิและเพ่งไปยังประกายสีเขียวตรงนั้น
ทันใดนั้น หยกขนาดประมาณนิ้วหัวแม่มือก็ปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว หยกก้อนนี้มีขนาดเพียง 7 - 8 เิเเท่านั้น เป็หยกเนื้อขุ่น ความโปร่งใสของมันไม่ค่อยดีสักเท่าไร แต่การทะลุของแสงถือว่าเพียงพอ สำหรับหลินเยว่แล้ว หยกก้อนนี้ทำให้เขารู้สึกเย็นสดชื่นจนทำสมองที่กำลังมึนงงของเขาเริ่มมีสติขึ้นมา
แต่ที่ทำให้หลินเยว่ประหลาดใจที่สุดก็คือ ประกายสีเขียวนั้นเหมือนกับสีของใบต้นบอนไซ Buxus Sinica ที่ผลิบานใน่ต้นฤดูใบไม้ผลิ สีเขียวสดใสแซมด้วยสีเหลืองเกิดเป็ความงดงามที่ไม่ด้อยไปกว่าใคร
หยกสวยทีเดียว! น่าเสียดายที่ขนาดเล็กไปหน่อย!
แต่แค่ภายในมีหยกก็ทำให้หลินเยว่รู้สึกประหลาดใจมากพอแล้ว เขาไม่กล้าที่จะคาดหวังไปมากกว่านี้
จากสถานการณ์นี้ก็แสดงให้เห็นว่าปรมาจารย์แห่งหยกก็มี่เวลาที่มองพลาดได้เหมือนกัน ทั้งๆ ที่ภายในหินหยกก้อนนี้มีหยกอยู่ แต่ท่านกลับมองไม่ออก โชคดีที่ตอนนั้นเขาไม่ได้ี้เีอุ้มหินหยกจนโยนมันทิ้งไป
และเวลานี้เอง หลินเยว่ก็รู้สึกว่าดวงตาของเขาปวดแสบปวดร้อน สมองเริ่มเกิดอาการมึนงง ภาพเบื้องหน้ากลายเป็สีดำ แต่เมื่อผ่านประสบการณ์ครั้งที่แล้วมาแล้ว เขาจึงรีบหลับตาลงและสูดลมหายใจยาวๆ อย่างช้าๆ เพื่อเป็การปรับสมดุลของตัวเอง
ผ่านไปนานพอสมควร หลินเยว่จึงลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ใบหน้าซีดขาวเมื่อสักครู่ก็ค่อยๆ กลับมามีริ้วแดงๆ ขึ้นบ้าง
“เฮือก......”
หลินเยว่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ๆ หากยังไม่รู้ผลที่ตามมาอย่างถ่องแท้ เขาคงต้องใช้พลังพิเศษนี้ให้น้อยครั้งลง
ก็เหมือนกับการสอบนั่นแหละ ห้ามคิดทุจริตตลอดเวลา การทุจริตควรใช้ในเวลาสำคัญเท่านั้นถึงจะเหมาะสม มันก็เหมือนกับเหล็กที่ดีต้องใช้คู่กับมีดที่คมเท่านั้น เช่นนี้ ถึงจะสามารถแสดงถึงคุณค่าที่แท้จริงของมัน
หลินเยว่ลุกขึ้นยืน เขาเดินไปที่ระเบียงที่แสนจะสกปรก มองออกไปยังสิ่งก่อสร้างสูงตระหง่านที่อยู่ห่างไกล ในใจของเขามีความรู้สึกอยากจะโบยบินขึ้นสู่ที่สูงทันที เมื่อมีพลังพิเศษตาทิพย์ เขาย่อมมีอนาคตที่สดใสอย่างแน่นอน!
หลินเยว่รู้สึกว่าเขาไม่ควรดักดานอยู่แต่ในเมืองเล็กๆ แห่งนี้อีกแล้ว เขาต้องเดินออกไปจากที่นี่ เพราะโลกภายนอกที่แสนกว้างใหญ่ย่อมต้องมีพื้นที่ให้เขาได้แสดงความสามารถของตัวเองให้เป็ที่ประจักษ์!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ หลินเยว่จึงกำนามบัตรของท่านเฮ่อฉางเหอที่อยู่ในกระเป๋าของเขาไว้แน่นอย่างไม่รู้ตัว
คุนิ ผมมาแล้ว!
ตอนกลางคืน หลินเยว่ทำอาหารมื้อใหญ่รอคอยการกลับมาของฉินเหยาเหยา เมื่อถึงเวลาเลิกงาน ฉินเหยาเหยาก็เปิดประตูเข้ามาอย่างตรงเวลา เมื่อเห็นอาหารเต็มโต๊ะ เธอก็ถึงกับตกตะลึง หลังจากนั้นจึงส่งยิ้มพร้อมพูดขึ้น “หลินเยว่ ถูกรางวัลใหญ่หรอ? ทำไมถึงมีอาหารอร่อยๆ เต็มโต๊ะเลยล่ะ?”
“ใช่เลย ผมถูกรางวัลใหญ่ ผมมีข่าวดีก็ต้องแบ่งปันกันสิ มาเร็ว เพิ่งทำเสร็จพอดี มากินตอนร้อนๆ กันเถอะ” หลินเยว่กวักมือเรียกฉินเหยาเหยา
“ถ้าอย่างนั้นฉันจะไม่เกรงใจแล้วนะ อิอิ” ฉินเหยาเหยาหยิบกระเป๋าถือที่สะพายอยู่ตรงหัวไหล่ออกและโยนทิ้งไว้ตรงโซฟา หลังจากนั้นเธอจึงรีบเข้าไปล้างมือในห้องครัว แล้ววิ่งมานั่งที่หน้าโต๊ะอาหารอย่างร่าเริง เธอยื่นมือหยิบเนื้อชิ้นหนึ่งใส่ลงในปากของตัวเอง