เื่มีอยู่ว่าก่อนออกบ้าน เห็นหลิวชิวเซียงดูแลทารกอยู่ตรงลานบ้าน หลิวฉีซื่อจึงเอ่ยถามว่าหลิวเต้าเซียงหายหัวไปที่ไหนแล้ว
หลิวเสี่ยวหลันเพิ่งเข้ามาจากประตู จึงบอกกับนางว่าหลิวเต้าเซียงไปเก็บฟืน แล้วเอ่ยถามอีก “ท่านแม่ ท่านกำลังจะไปไหนหรือ?”
“หืม คุณชายน้อยให้เงินข้ามาก่อนหน้านี้ บอกให้ข้าไปซื้อเนื้อลามา ใช่แล้ว หลันเอ๋อร์ เ้าต้องตั้งใจฝึกเย็บปักถักร้อย อย่าเอาแต่เล่นกับเด็กชาวนาทั้งวัน”
หลิวฉีซื่อไม่เคยลืมว่าตนเองมาจากครอบครัวตระกูลใหญ่
หลิวเสี่ยวหลันอยู่ในวัยขี้เล่นและได้ยินดังนั้นจึงรับปากไปส่งๆ
เมื่อหลิวฉีซื่อเห็นว่านางรับปาก จึงหันะโไปทางห้องปีกตะวันออก “สะใภ้รอง สะใภ้รอง!”
“ท่านแม่ ข้าอยู่นี่” หลิวซุนซื่อที่แอบได้ยินจากในห้องว่าหลิวฉีซื่อกำลังจะออกไป ยังไม่ทันได้ดีใจ ก็ได้ยินเสียงเรียกนางแล้ว
“ท่านแม่ มีอะไรหรือ” หลิวซุนซื่อออกจากห้องอย่างเอื้อยอ้าย รู้สึกว่ากระดูกของตนเองแทบจะกระจัดกระจายแล้ว
หลิวฉีซื่อเห็นท่าทางเกียจคร้านของนางไม่ได้ เดิมที้าเรียกนางไปให้อาหารหมู ปรากฏว่าเปลี่ยนความคิดกะทันหัน “ข้าจะไปซื้อเนื้อในตำบลสักหน่อย เ้าให้อาหารหมู จากนั้นตอนกลางวันให้เตรียมทำกับข้าว ข้าจะกลับมาก่อนอาหารกลางวัน ใช่แล้ว น้องสาวเ้าอยากกินไข่ตุ๋น อย่าลืมตุ๋นให้นางหนึ่งถ้วย”
“ท่านแม่ ให้กุ้ยฮัวทำเถิด สะใภ้ปวดเมื่อยไปหมด” หลิวซุนซื่อไม่เต็มใจ หลายวันมานี้นางอยู่บ้านนอกไม่เคยได้สุขสบายแม้แต่วันเดียว กระทั่งบุตรสาวของนางเองก็ลำบากไปตามๆ กัน
หลิวชิวเซียงได้ยินดังนั้นจึงแอบยั่วยุอยู่ด้านหลัง เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ให้หลิวฉีซื่อได้ยินคนเดียว “คำพูดของย่าก็ไม่ฟังเลยหรือ”
หลิวฉีซื่อฉีโมโหทันใด แล้วด่า “เหตุใดจึงพูดมากเช่นนี้ นางผู้หญิงขี้คร้าน ให้เ้าทำงานเพราะให้เกียรติเ้า อย่าได้ฉีกหน้ากันเช่นนี้ เ้านึกว่าเ้ายังเป็ดอกไม้บานสะพรั่งหรือ? เ้าทำตัวเช่นนี้ไปเถิด อย่างมาก ข้าก็แค่หาภรรยาน้อยให้เหรินกุ้ยอีกสักคน ซื้อกลับมาหนึ่งคนก็แค่ใช้เงินสองตำลึง”
แน่นอนว่าผู้ที่มาจากตระกูลใหญ่โต ย่อมมีวิธีจัดการกำราบคน
หลิวซุนซื่อใบหน้าซีดขาวเมื่อได้ยินเช่นนั้น รีบขานเสียงแหลม “ท่านแม่ นี่ท่านพูดอะไรกัน หาภรรยาน้อยให้เหรินกุ้ย ก็ต้องดูว่าบ้านแม่ข้านั้นเห็นด้วยหรือไม่”
“เฮอะ เ้า้าไปบอกบ้านแม่ก็ตามใจ ไปสิ บอกว่าเ้าขี้คร้านทำมาหากิน อยู่บ้านสามีไม่เคยคิดจะทำงานบ้านอะไร คิดเพียงแต่เื่กิน ไม่คิดช่วยงาน ไม่เคารพแม่สามี เ้ามีเหตุผลนัก ก็ไปบอกกล่าวกับตระกูลซุนได้เลย บ้านตระกูลหลิวของข้าไม่เสียดายสะใภ้ขี้คร้านเช่นเ้า”
หลิวฉีซื่อยิ่ง้าคิดหาวิธีมากำราบหลิวซุนซื่อ นางรู้สึกเพียงว่าซุนซื่อนั้นจำต้องถูกสั่งสอน แล้วมองดูสะใภ้สามที่เชื่อฟังก็เพราะว่าถูกกำราบมามาก ถึงได้เชื่อฟังเช่นนี้
หลิวซุนซื่อโมโหจนใบหน้าแดงก่ำ แป้งที่ทาอยู่บนหน้าลอกหลุดเป็ชั้นๆ
หลิวชิวเซียงเสริมอีกประโยคอย่างเยือกเย็น “เฮ้อ ย่า ท่านอย่าโมโหไปเลย หลายวันมานี้ป้ารองคงเหนื่อย ดูจากรอยตีนกาตรงหางตาของนาง แม่ข้าต้องทำงานเหนื่อยทุกวันเช่นกัน ถึงได้มีรอยเหี่ยวย่นมากมาย”
หลิวฉีซื่อมองตาขวางไปทางหลิวซุนซื่อ แล้วด่าเสียงดัง “ฮึ คนี้เีทำมาหากินอย่างนาง จะไปมีประโยชน์อะไร ทำอะไรก็ทำได้ไม่ดี ไม่รู้ว่าตระกูลซุนสั่งสอนลูกสาวกันอย่างไร คงต้องหาเวลาไปสอบถามเสียหน่อย”
ความเย่อหยิ่งของหลิวซุนซื่อถูกพังทลาย นางไม่กล้าให้แม่สามีตนเองไปเหยียบประตูบ้านแม่ หากเกิดเื่ขึ้นจริง พี่ชายกับพี่สะใภ้คงไม่ไว้หน้านาง
เมื่อได้ยินคำพูดของหลิวชิวเซียง ในใจนางจะไม่ร้อนรนได้อย่างไร กระทั่งอยากรีบเข้าห้องไปส่องคันฉ่อง หรือว่าตนเองแก่แล้วจริงๆ?
หากเป็ความจริงตามที่หลิวฉีซื่อปรารถนา หลิวเหรินกุ้ยคงดีใจยิ่งนัก
ไม่ได้ นางจะไม่ปล่อยให้มีบ้านเล็กบ้านน้อยแน่
“แม่ ข้าจะไปให้อาหารหมูเดี๋ยวนี้”
เมื่อเห็นว่าหลิวซุนเชื่อฟังว่าง่าย หลิวฉีซื่อจึงเปลี่ยนสีหน้าเป็โอนอ่อน แล้วเอ่ย “ข้าเองก็ไม่ได้้าให้เ้าลำบากใจ เพียงแต่เ้าก็เห็นอยู่ ตอนนี้เป็่ต้นฤดูใบไม้ผลิ ในบ้านมีเื่ราวมากมายต้องทำ หญิงชราอย่างข้าเองก็ยุ่ง ยิ่งกว่านั้นน้องสะใภ้สามเ้าเพิ่งคลอดลูก ข้าที่เป็แม่สามีก็สงสารนางบ้าง เ้าในฐานะพี่สะใภ้ ทำใจกว้างหน่อยก็แล้วกัน”
จากนั้นก็กลัวว่าหลิวซุนซื่อจะคิดทำอะไรไม่ดี จึงเอ่ย “รออีกไม่กี่วัน รอจบ่เพาะปลูกฤดูใบไม้ผลิ ข้าจะหารถเข็นวัวส่งเ้ากลับไปตำบล”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ หลิวซุนซื่อยิ่งเกลียดชังจนเข้าไส้ หลิวฉีซื่อกำลังบอกนางเป็นัยว่า หากนางไม่เชื่อฟังและทำงาน เกรงว่าเื่กลับตำบลคงเป็เื่ห่างไกลออกไป
“ได้ ท่านแม่วางใจได้ ข้ารับรองว่าจะเลี้ยงหมูหลังบ้านให้อ้วนพี”
หลิวฉีซื่อพอใจกับสิ่งนี้ จากนั้นก็กำชับกับหลิวเสี่ยวหลันเล็กน้อยก่อนจะจากไป
เมื่อกลับมาตอนเที่ยง ได้ยินหลิวเสี่ยวหลันบอกว่าคุณชายผู้ดีออกไปล่าสัตว์บนเขา สีหน้าจึงเป็กังวลและสวดมนต์ให้กวนอิมปกปักรักษา
่เที่ยงตั้งใจรอคนทั้งสองอยู่สักพัก เมื่อไม่เห็นคน จึงต้องกินกันก่อน
จนปัญญา หลิวฉีซื่อเองก็้าไปตามหาบนูเา แต่แรงงานทั้งสองในบ้านก็มัวแต่ยุ่งกับเื่นา นางเองไม่มีหน้าจะเอ่ยออกมา
เป็จังหวะพอดี บ้านตระกูลซุนไหว้วานคนส่งจดหมายมา บอกว่าให้หลิวซุนซื่อพาหลิวจูเอ๋อร์กลับไปพักที่บ้านแม่สักสองวัน
“ท่านแม่ ท่านว่าถ้วยชามนี้ให้น้องสะใภ้สามล้างเถิด ในบ้านไม่ได้ซื้อเนื้อมาหลายวัน ข้าจะกลับบ้านไปเอาเนื้อหมูมาสักสองชั่ง แล้วก็ไส้หมูกลับมาทำอาหารที่ชอบสักสองอย่าง”
หลิวฉีซื่อชอบดื่มน้ำแกงไส้หมู หลิวต้าฟู่ชอบกินไส้หมูอบแห้ง
คำพูดของหลิวซุนซื่อนี้เป็การเอาใจ
หลิวฉีซื่อหวั่นไหวเล็กน้อย หลิวชิวเซียงที่อยู่ด้านข้างจึงเอ่ยขึ้น “ท่านแม่ ชุนเซียงอึอีกแล้ว”
หลิวซานกุ้ยวางตะเกียบลงและดุอย่างจงใจว่า “ขี้คร้านเสียจริง ภรรยาคนนี้ ยังไม่รีบพานางกลับไปในห้องอีก”
จางกุ้ยฮัวลุกขึ้นยืนและเช็ดปาก ก่อนจะเอ่ยกับหลิวฉีซื่อ “ท่านแม่ ข้าขอตัวไปล้างก้นให้ชุนเซียงก่อน”
เดิมทีหลิวฉีซื่ออ้าปากค้างเล็กน้อยและปิดปาก เมื่อย้อนคิดดู จึงแอบด่าหลิวซุนซื่อในใจ เกือบหลงกลนางเข้าให้แล้ว
หากว่าคล้อยตามความคิดของหลิวซุนซื่อหนนี้ ครั้งหน้าหากต้องกำราบอีก คงไม่ได้มีโอกาสดีเช่นนี้แน่
“ไปล้างจานให้เรียบร้อย อีกเดี๋ยวข้าจะไปบอกกับบ้านนั้น ให้นางช่วยส่งข่าวกลับไป บอกว่าที่นาบ้านเราเยอะ ่นี้กำลังยุ่งกับการหว่านเมล็ด รอ่นี้ทุกอย่างเข้าที่ ค่อยส่งเ้าไปพักที่บ้านแม่ ส่วนเื่ค่ารถเข็นวัว ข้าจะรับผิดชอบเอง!”
เพื่อที่จะสั่งสอนหลิวซุนซื่อ หลิวฉีซื่อจำต้องโรยน้ำตาลเคลือบเสียหน่อย
“ท่านแม่!” หลิวซุนซื่อยังอยากพูดอะไรอยู่
จางกุ้ยฮัวยิ้มและพูดอย่างรวดเร็วว่า “เช่นนั้นก็อาศัยความเมตตาของท่านแม่ พี่สะใภ้ลำบากหน่อยนะ เฮ้อ ข้าขอตัวอุ้มชุนเซียงออกไปก่อน”
ชุนเซียงผายลมเหม็นออกมาเสียงดัง ทำให้คนบนโต๊ะอาหารถึงกับขมวดคิ้ว
หลิวฉีซื่อไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงแค่จ้องมองหลิวซุนซื่อด้วยดวงตาที่ชรา
ตราบใดที่นางคิดจะก่อเื่ หลิวฉีซื่อก็พร้อมใช้โอกาสในการกระทืบซ้ำ
ใน่บ่ายหลิวฉีซื่อไม่อยู่บ้าน หลิวเสี่ยวหลันคิดอยากไปบ้านคนรวยพร้อมกับนาง ไม่แน่ว่าอาจจะได้สานสัมพันธ์กับคุณหนูในบ้านนั้น ปรากฏว่าหลิวฉีซื่อบอกว่าอีกฝ่ายนั้นเป็ลูกนอกสมรส หากไม่ใช่เพราะแม่ได้รับความเอ็นดูจากบ้านผู้เป็นาย และเ้านายบ้านนั้นก็จ่ายค่าแรงให้สูงกว่าบ้านอื่น นางคงไม่ได้ไป
ด้วยเหตุนี้ หลิวเสี่ยวหลันจึงถูกทิ้งไว้ที่บ้าน
เมื่อคิดได้ว่าหลิวเต้าเซียงกับซูจื่อเยี่ยต่างก็ไปบนูเา หัวใจของนางราวกับว่ามีมดเป็พันเป็หมื่นตัวกำลังเกาะอยู่
“อาเล็ก!” หลิวจูเอ๋อร์เดินมาพร้อมจานขนม
“มีอะไร!” หลิวเสี่ยวหลันไม่พอใจเมื่อเห็นนาง หากไม่ใช่เพราะครอบครัวนางก่อเื่ ไม่แน่ว่าเงินที่จะยกให้บ้านพี่ใหญ่ นางเองคงได้ส่วนแบ่งบ้าง
“อาเล็ก อย่าได้โกรธไป หลานถึงได้เอาของมาขอขมาไม่ใช่หรือ?” พูดถึงตรงนี้ ก็ยื่นจานในมือมาให้นางแล้วเอ่ยอีก “นี่คือขนมกุ้ยฮัวที่อาเล็กชอบกินที่สุด! นี่เป็ร้านตระกูลจางที่อร่อยที่สุดในตำบลเลยนะ”
ร้านตระกูลจาง? ดวงตาของหลิวเสี่ยวหลันสว่างไสว แต่ก็นึกกลับกัน แล้วปั้นสีหน้าเอ่ย “ฮึ เ้าคิดว่าข้าโง่หรือ ขนมนี่ราคาเท่าไรกันเชียว?” จะเทียบกับตำลึงเงินได้อย่างไรกัน?
“อาเล็ก อย่าได้เคืองเลย เ้าก็รู้ว่าแม่ข้าเป็คนนิสัยเช่นไร นางน่ะ มีอะไรก็พูดตามตรงเสมอมา ไม่เคยใช้สมอง” หลิวจูเอ๋อร์หยิบขนมกุ้ยฮัวขึ้นมาเกลี้ยกล่อมนาง
หลิวเสี่ยวหลันเห็นว่าหลิวจู่เอ๋อร์มีน้ำใจ จึงได้ผลชะงัด ไม่ทำให้นางลำบากใจอีก รับของว่างที่นางยื่นมาให้ เพียงแต่ยังคงปั้นหน้าตึงแล้วเอ่ย “แม่เ้าน่ะสมองเหมือนหมู ไม่รู้ว่านางคิดอะไรกัน แต่ข้าเป็บุตรสาวแท้ๆ ของท่านแม่ นับประสาอะไรกับนาง!”
หลิวจู่เอ๋อร์ได้ยินถึงกับโมโหในใจ แอบทำสายตาดูแคลนหลิวเสี่ยวหลัน ลำพังสารรูปเช่นนี้ ยังคิดอยากจะไต่ขึ้นที่สูง แล้วนึกถึงหลิวจื้อไฉ มีเพียงน้องชายของตนที่พึ่งพาได้
“อาเล็ก ข้าเห็นว่าน้าสะใภ้สาม วันๆ ดูแลแค่แปลงผัก เื่น้อยใหญ่ในบ้านล้วนยกให้ย่าเป็คนดูแล”
หลิวเสี่ยวหลันหัวเราะเยาะ “มีแม่สมองหมูของเ้าอยู่ จางกุ้ยฮัวก็ต้องสบายแน่นอนอยู่แล้ว”
หลิวจูเอ๋อร์รู้สึกงุนงงอีกครั้งว่า “แม่ข้าไปทำอะไรให้ใคร เหตุใดจึงต้องตกระกำเช่นนี้”
“ข้าจะไปรู้หรือ!” หลิวเสี่ยวหลันที่กินของว่างผายมือออก แล้วเอ่ย “ข้าถามเ้า ครั้งก่อน เ้าบอกว่าที่โรงเครื่องเงินในตำบลมีแบบใหม่ล่าสุดมาหรือ?”
หลิวจูเอ๋อร์แอบกัดฟัน แต่ปากก็ตอบ “ใช่แล้ว อาเล็ก ้าสิ่งใดหรือ?”
นางบอกว่า้า แต่ไม่ได้บอกว่า้าซื้อ
หลิวเสี่ยวหลันหันหน้าไปมองนางและยิ้มว่า “จูเอ๋อร์ฉลาดจริง ไม่เสียแรงที่ข้าเอ็นดูเ้าที่สุด”
หลิวจูเอ๋อร์แทบจะอยากบีบคอนาง ไม่หลั่งเืเห็นทีจะไม่ได้สิ่งที่้า
นางจำต้องล้วงเข้าไปในอกแล้วเอาเครื่องเงินลายดอกไม้ออกมา เป็ไข่มุกสีขาวล้อมเป็วง ด้านในมีหินโมราสีแดงประดับอยู่ แล้วมีพู่สามเส้นห้อยอยู่ ไข่มุกไม่ได้ใหญ่มาก แต่ดูแล้วประณีตสวยงาม
“รีบสวมให้ข้าเร็วเข้า ข้ากำลังกังวลอยู่ว่าจะไม่มีเครื่องประดับสวยงามเวลาไปเมืองหลวง” หลิวเสี่ยวหลันชอบปิ่นปักผมนี้ั้แ่แรกเห็น
หลิวจูเอ๋อร์ค่อนข้างเสียดาย แต่นึกถึงคำพูดของแม่ตนเอง ปิ่นปักผมนี่ราคาไม่เท่าไร เอามาปลอบอาเล็ก
“ข้ายังคิดว่าอาเล็กผิวพรรณดี เหมาะกับปิ่นปักผมไข่มุกสีขาวดุจหิมะเช่นนี้”
หลิวเสี่ยวหลันตอบว่า “นั่นสิ ผิวพรรณเ้าคล้ำกว่าข้ามากมาย สวมมันไว้ก็คงไม่สวยเท่าข้า”
หลิวจูเอ๋อร์โกรธมากจนแทบกระอักเื นางเองก็เป็หญิงสาวที่ขาวเนียนสะอาดสะอ้าน อีกทั้งยังได้รูปร่างสะโอดสะองค์เช่นเดียวกับมารดา แม้ว่าตอนนี้ยังไม่ได้ชัดเจนนัก แต่รอจนอายุสิบห้าสิบหกก็คงลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น
หลังจากเก็บความคิด ก็เห็นหลิวชิวเซียงแบกหลิวชุนเซียงกำลังจะไปเปลี่ยนผ้าอ้อม จึงหันเหทิศทางคำพูด “อาเล็ก เหตุใดข้ารู้สึกว่าพวกนางขี้คร้านไม่น้อย”
“ไม่ได้ขี้คร้าน เพราะว่าคราวก่อน…” พูดถึงตรงนี้ หลิวเสี่ยวหลันก็นึกถึงสิ่งที่หลิวฉีซื่อกำชับไว้ กลัวว่านางจะไม่พอใจ จึงเอ่ยถามด้วยความหงุดหงิด “ไม่เกี่ยวกับพวกเ้าเสียหน่อย เพียงแต่จางกุ้ยฮัวเพิ่งคลอดชุนเซียง แม่บอกว่าให้นางเลี้ยงไปก่อน ปีหน้าให้นางคลอดลูกชายตัวอ้วนออกมา จะปล่อยให้บ้านพี่สามจบสิ้นตระกูลไม่ได้ เื่นี้ พ่อข้าไม่อนุญาต”
หลิวจู่เอ๋อร์ไม่เชื่อ จึงเอื้อมมือออกไปช่วยหลิวเสี่ยวหลันเสียบปิ่นปักผมไข่มุก แล้วยิ้มเล็กยิ้มน้อยแต่ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดต่อ
-----