เช้าวันต่อมา ระหว่างทางออกจากป่าพลันมีกลุ่มเล็กแปลกประหลาดโผล่ขึ้นมา
เหตุที่เรียกว่ากลุ่มเล็กเพราะมีสองขบวนแยกฝั่งซ้ายขวาอย่างชัดเจน --- หากมิใช่เพราะทิศทางและระดับความเร็วที่แทบจะเท่ากัน มองดูแล้วยังคล้ายกับกลุ่มคนสองขบวนเล็กที่ร่วมเดินทางด้วยกันเป็ครั้งคราวเสียมากกว่า เดินอยู่บนถนนใหญ่คนละฝั่ง ตรงกลางยังรักษาระยะห่างมิใกล้มิไกล
ทางฝั่งเจียนั่วสายตามองตรง จัดขบวนเป็รูปสี่เหลี่ยมด้านเท่ามุ่งไปข้างหน้า ทางฝั่งโม่จ้านกลับเอ้อระเหยลอยชาย ทั้งเดินไปกินไป ทำตัวมิต่างกับกลุ่มนักท่องเที่ยวเดินเล่นในสวนสาธารณะอย่างมีความสุข
“พวกเขาพากันตึงเครียดสักหน่อยได้หรือไม่...” ฉีเอ่อร์เท่อลอบกลืนน้ำลายหลังเหลือบมองเก๋อจือที่กำลังเคี้ยวเนื้อแห้งคำใหญ่
“บอกแล้วว่าในป่ามีสัตว์ปีศาจระดับสูง สิ่งสำคัญที่สุดมิใช่การรีบหนีเอาตัวรอดโดยเร็วหรืออย่างไร?”
“กระทั่งเ้ายังมิกลัว พวกเขาจะกลัวอันใด?” หูฝูดีดหน้าผากฉีเอ่อร์เท่อหนึ่งครา
“ผู้อื่นบอกแล้วว่ามิ้าความช่วยเหลือเกินจำเป็ เ้าอยากหาเื่โดนจัดการก็ช่างเถิด แต่ระวังโดนเจียนั่วอบรมอีก”
ทันใดนั้น ขบวนคนสองกลุ่มพลันหยุดเคลื่อนที่ไปข้างหน้าในเวลาเดียวกัน
เจียนั่ว โม่จ้านและเก๋อจือเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว ต่างฝ่ายต่างกำอาวุธในมือไว้แน่น ตั้งใจมองดูสถานการณ์โดยรอบอย่างละเอียด หูฝูเห็นเช่นนั้นจึงพ่นใบยาสูบทิ้งทันทีก่อนส่งสัญญาณมือให้เก๋อหลินกับฉีเอ่อร์เท่อที่อยู่ด้านหลัง ลาถีเท่อยังมิมีท่าทีตอบสนองในตอนแรก ทว่ากลิ่นอายที่แผ่เข้ามาอย่างกะทันหันพลัน็ทำให้เด็กหนุ่มเผ่าหมานรับรู้ได้ว่าอาจจะมีศัตรูโจมตีเช่นกัน
“ธาตุน้ำแข็ง?...” เจียนั่วขมวดคิ้ว เอ่ยกับตนเองขณะมองไปยังป่าทึบด้านหน้า
เก๋อจือยกคทาสั้นขึ้นมา รอบไม้คทาปรากฏธาตุไฟไหลเวียน อีกฝ่ายคือสัตว์ปีศาจธาตุน้ำแข็ง ธาตุไฟเป็ธาตุหลักของหมวดโจมตี ภาระที่ตนต้องแบกไว้บนบ่าย่อมหนักที่สุด
ทว่าทุกคนรอนานกว่าหนึ่งจิบชาเต็ม สิ่งที่ส่งมาข้างหูยังคงเป็เพียงเสียงใบใม้เสียดสีกันดังซ่าๆ ฉีเอ่อร์เท่ออดทนต่อไปมิไหวจึงร้องะโไปยังทางที่ทุกคนต่างจับจ้อง
“ตัวอันใด! รีบไสหัวออกมาเดี๋ยวนี้!”
เสียงที่ตอบกลับเด็กหนุ่มยังคงเป็สายลมหนึ่งระลอก ราวกับสิ่งที่ทุกคนััได้เมื่อครู่เป็เพียงภาพลวงตา โม่จ้านอ้าปากคล้ายจะเอ่ยบางสิ่ง ทว่ามิรอให้เขาได้เอ่ยออกไปแม้แต่คำเดียว เจียนั่วพลันชิงลงมือก่อนเสียแล้ว
ธาตุน้ำแข็งจำนวนมากล้อมรอบกายเจียนั่วก่อนหมุนวนด้วยความเร็ว หมอกควันสีน้ำเงินอ่อนเข้มแตกต่างกันแผ่ปกคลุมรอบชุดเกราะก่อนจะไหลเวียนไปตามท่อนแขน ท้ายที่สุดรวมตัวอยู่บนหอกยาว ไอเย็นะเืถึงกระดูกแผ่กระจายออกมา ทำเอาโม่จ้านถึงกับถอยหลังออกไปหนึ่งก้าวโดยมิรู้ตัว
“อ๊ากก!!”
เจียนั่วเปล่งเสียงคำราม ขาขวาก้าวถอยหลังหนึ่งก้าว ร่างคล่องแคล่วมีพลังมิต่างกับเกาทัณฑ์ที่ถูกง้างตึงจนงอไปด้านหลัง ครั้นเกาทัณฑ์เงินขึงตึงจนถึงขีดสุดพลันกลับสู่สภาพเดินอย่างฉับพลัน หอกยาวในมือซ้ายของเจียนั่วถูกซัดออกมิต่างกับสายฟ้าแลบ หอกยาวที่ถูกล้อมรอบด้วยพลังธาตุน้ำแข็งจับตัวเป็ของแข็งส่งเสียงกรีดผ่านกลางอากาศ ทิ้งไว้เพียงควันตามท้ายหนึ่งสายที่ค่อยๆ สลายหายไป
“...อู๊ดๆๆๆ!!”
สัตว์ปีศาจที่หลบซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้ถูกแทงอย่างแม่นยำพลันส่งเสียงร้องน่าเวทนาออกมา
เจียนั่วรีบวิ่งเข้าไปด้านหน้า พวกโม่จ้านไล่ตามอยู่ด้านหลัง สิ่งที่เห็นคือภาพน่าเวทนาของหมูป่าที่รอบกายเต็มไปด้วยเกราะน้ำแข็งแตกร้าวถูกหอกยาวแทงทะลุ ถึงแม้ร่างกายจะถูกแทงทะลุ ทว่าหมูป่ายังคงอาศัยความอยากมีชีวิตรอดลากหอกยาววิ่งไปไกลสิบกว่าหมี่ กระทั่งหอกธาตุน้ำแข็งรุกรานอวัยวะภายใน ท้ายที่สุดกระทั่งเืสีสดยังจับตัวเป็น้ำแข็งสีแดงเข้มก่อนจะค่อยๆ ล้มลงกับพื้น
เจียนั่วเดินไปข้างศพหมูป่าก่อนดึงหอกยาวออก ธาตุน้ำแข็งพลอยเลือนหายไปในคราวเดียวกัน หอกยาวมิแม้แต่จะเปื้อนคราบเื ไอน้ำแข็งบนเสื้อเกราะทอประกายยามอยู่ใต้แสงอาทิตย์ ผนวกกับใบหน้าที่ราวกับรูปปั้นแกะสลักฉายแววดุดัน ทำให้ราวกับร่างทั้งร่างของเจียนั่วถูกเทพาเข้าสิง ทั้งหยิ่งยโส สง่างามและแข็งแกร่ง
นี่คือครั้งแรกที่อีกสามคนในอัศวินกลุ่มเล็กได้เห็นถึงความองอาจสง่างามยามอยู่ในสนามรบของเจียนั่ว กระทั่งหูฝูที่รอบรู้และมากประสบการณ์ยังอ้าปากอย่างมิอยากจะเชื่อ
ยามเจียนั่วเข้ามาเป็หัวหน้าอัศวินรักษาการณ์ ในฐานะที่ตนเป็อดีตหัวหน้าอัศวินรักษาการณ์รู้สึกมิยินยอมอย่างยิ่ง ดึงดันจะประลองกับเด็กหนุ่มเ็าผู้นี้ให้จงได้ ดังนั้นยามอยู่ต่อหน้าท่านเ้าเมือง ตนถูกอีกฝ่ายกดเอาไว้จนมิอาจขยับกายแม้แต่น้อยด ทำได้เพียงยอมรับในความสามารถของอีกฝ่าย
ทว่าเมื่อดูจากในยามนี้ นับว่ายามนั้นเจียนั่วไว้หน้าตนมากแล้วจริงๆ อัศวินเวทผู้หนึ่งใช้เพียงพละกำลังทางกายก็สามารถจัดการตนจนล้มหมอบ บ่งบอกได้เพียงว่าความต่างของศักยภาพนั้นห่างไกลกันจนอยู่ในระดับสามารถบดขยี้ ถูกท่านเ้าเมืองขนานนามว่า “อัจฉริยะที่มิอาจพบเห็นทุกยุคสมัย” จะเป็ผู้ไร้ความสามารถที่ใช้เส้นสายได้อย่างไร?
อีกฝั่งหนึ่ง ลาถีเท่อกับเก๋อจือนิ่งงันเป็ไก่ไม้[1]ไปเสียนานแล้ว โม่จ้านเองก็ตกตะลึงจนพูดมิออกเช่นกัน
การผสมผสานระหว่างทักษะการต่อสู้และพลังเวทอย่างสมบูรณ์แบบปรากฏอยู่ตรงหน้า นำพาความตกตะลึงมาสู่โม่จ้านยิ่งกว่าพลังเวทอันเรียบง่ายนับร้อยเท่า โม่จ้านจดจ้องเจียนั่วตามิกะพริบ คล้ายกับจะจ้องมองความองอาจห้าวหาญของอัศวินเวทจนมีดอกไม้เบ่งบานออกมา
เจียนั่วรับรู้ได้ถึงสายตาร้อนแรงของโม่จ้าน เขาควงหอกยาวกลางอากาศคล้ายกำลังโอ้อวดก่อนเสียบไว้บนตะขอกลัดด้านหลังอย่างชำนาญ เพียงแต่มิมีผู้ใดสังเกตเห็นว่ามุมปากของเจียนั่วเก็บซ่อนรอยยิ้มพึงพอใจเอาไว้ได้เป็อย่างดียิ่งนัก
“เห็นแล้วใช่หรือไม่ สังหารหมูป่าหุ้มเกราะน้ำแข็งระดับเจ็ดด้วยหนึ่งหอกภายในเสี้ยววินาที นี่ก็คือความสามารถแท้จริงของอัศวินที่แข็งแกร่งที่สุดในกองอัศวินรักษาการณ์ของพวกเรา”
หลังฉีเอ่อร์เท่อได้สติจากความตกตะลึงจึงสาวเท้าก้าวยาวไปยังข้างกายโม่จ้านอย่างมั่นอกมั่นใจ หากฉีเอ่อร์เท่อเป็สัตว์กลายร่าง เกรงว่าหางคงจะชี้ขึ้นฟ้าเสียแล้ว
มุมปากของเก๋อจือกระตุกอย่างมิอาจควบคุม ตอบกลับด้วยหนึ่งการกลอกตาขาว
“ชิ มิได้เก่งเองสักหน่อย มีอันใดให้ภาคภูมิใจ...”
หลังทุกคนเก็บกวาดสนามรบเสร็จเรียบร้อยจึงพากันเร่งเดินทางต่อ ระหว่างทั้งสองฝ่ายยังคงมิพูดจากันดังเดิม ทว่าความคิดในใจของแต่ละคนเปลี่ยนไปอย่างไรนั้นก็มิอาจล่วงรู้เสียแล้ว
ระหว่างเดินทาง โม่จ้านยังคงอยู่ในสภาพครุ่นคิดั้แ่ต้นจนจบ เก๋อจือพลันคิดว่าโม่จ้านได้เห็นความองอาจห้าวหาญของเจียนั่วแล้วรู้สึกท้อใจอยู่บ้าง คิดอยากจะเข้าไปใกล้เพื่อปลอบโยนอีกฝ่าบ ทว่ากลับถูกลาถีเท่อห้ามเอาไว้
“โม่เจ๋อเอ่อร์มิใช่ผู้ที่จะะเืใจเพียงเพราะผู้อื่นเผยกระบวนท่า”
ลาถีเท่อเอ่ยเสียงเบาชิดใบหูเก๋อจือ ชี้ไปยังผีเสื้อตัวหนึ่งที่เกาะอยู่เหนือศีรษะของโม่จ้าน
“เ้าดู สีหน้าของโม่เจ๋อเอ่อร์จดจ่อถึงเพียงนั้น เห็นได้ชัดว่ากำลังใคร่ครวญบางสิ่ง อย่าไปรบกวนเขา”
...แล้วมันต่างอันใดจากยามปกติงั้นหรือ?
เก๋อจือจ้องมองโม่จ้านอยู่ครึ่งค่อนวัน ยังคงดูมิออกว่าระหว่างใช้ความคิดใคร่ครวญกับนิ่งเงียบมิพูดมิจาแตกต่างกันอย่างไร ก่อนหันไปทางลาถีเท่อโดยที่มีเครื่องหมายคำถามเต็มหัว เด็กหนุ่มเผ่าหมานหลุดหัวเราะไร้เสียง จากนั้นล้วงเอาผลผิงกั่วมายัดปากเก๋อจือ
ตนอยู่ในกิลด์มาจนเติบใหญ่ คบค้ากับคนแต่ละประเภทมามิน้อย คุ้นเคยกับการอ่านสีหน้ามาแต่ไหนแต่ไร ยามแรกสีหน้าของโม่เจ๋อเอ่อร์ค่อนข้างหมดอาลัยตายอยากอยู่บ้างจริงๆ ทว่าหลังจากนั้นพลันเปลี่ยนเป็จดจ่อ และการกุมปลายคางคือการแสดงออกว่าเขากำลังครุ่นคิดปัญหาอยู่
คงมิได้คิดว่าจะเรียนวิชาเวทอย่างไรกระมัง... ลาถีเท่อมองเก๋อจือที่แทะผลผิงกั่วอย่างไร้ความคิดก่อนส่ายหน้าด้วยความจนปัญญา
หากนำคนมาเปรียบเทียบกันคงต้องตายกันไปข้างหนึ่ง ของอย่างพร์มิใช่สิ่งที่อาศัยความขยันแล้วจะได้มา เพียงแต่ในฐานะคนธรรมดาที่มิมีพร์ด้านพลังเวทเหมือนกัน กระทั่งผู้แข็งแกร่งอย่างโม่จ้านยังครุ่นคิดว่าทำอย่างไรจึงจะก้าวหน้า แน่นอนว่าตนที่ยังห่างไกลจากระดับเพียงอาศัยความพยายามก็มิจำเป็ต้องพึ่งพร์ยังต้องพยายามมากขึ้นอีกเช่นกัน
โม่จ้านที่จมอยู่ในโลกของตนเองมิได้รู้สักนิดว่าลาถีเท่อกินน้ำแกงไก่ที่ตนเคี่ยวเอาไว้หนึ่งหม้อจนบวมน้ำ เด็กหนุ่มเผ่าหมานเดาถูกเพียงครึ่ง โม่จ้านกำลังคิดเื่พลังเวทอยู่จริง ทว่ามิได้กำลังคิดว่าจะเรียนอย่างไร แต่กำลังคิดว่าจะต่อกรกับพลังเวทอย่างไร
ความแข็งแกร่งของเจียนั่วมิมีสิ่งใดให้นึกสงสัย ทว่าผู้ที่มีความสามารถถึงเพียงนี้ นึกมิถึงว่าจะเป็เพียงหัวหน้ากองอัศวินรักษาการณ์ เช่นนั้นพลังของอัศวินในสันตะสำนักและในแต่ละราชอาณาจักรจะต้องแข็งแกร่งจนอยู่ในระดับใด? หากวันหนึ่งวันใดต้องเผชิญหน้ากับพวกเขา ตนต้องใช้วิธีการใดจึงจะสามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้?
เก๋อจือเคยบอกเอาไว้ว่าความแข็งแกร่งด้านพลังเวทของเก๋อจือนับว่าอยู่ในระดับกลางขึ้นไป กระนั้นฝีมือยังนับว่าแย่กว่าโม่จ้านกับลาถีเท่อมากโข มิผิดที่กล่าวว่าจอมเวทระดับสูงเป็กระบองนักฆ่าที่ใช้ต่อกรกับกองทัพ ทว่าหากตกอับอยู่เพียงตัวคนเดียวก็จะเสี่ยงอันตรายอย่างมาก ด้วยระดับความเปราะบางทางร่างกายของจอมเวท ตนมีความมั่นใจหกส่วนว่าสามารถเอาตัวรอดได้หลังสังหาร เหตุที่กล้าเพ้อฝันเช่นนี้เป็เพราะเชื่อมั่นในทักษะของตนเองอย่างมาก
แต่ทว่าหลังจากได้เปิดหูเปิดตาเกี่ยวกับอัศวินเวทอย่างเจียนั่ว ช่างมิต่างอันใดกับการตีแสกหน้าตนจนถึงกับบวมจริงๆ เดิมทีอัศวินก็เป็ดาวข่มของนักรบ การต่อสู้ระยะใกล้เข้าประชิดตัวยาก การต่อสู้ระยะกลางยังต่อยตีมิถึง พอเป็การต่อสู้ระยะไกลยังถูกทำร้ายด้วยพลังเวท จะหนีก็หนีมิได้ ทันทีที่เผชิญหน้าเกรงว่าคงทำได้เพียงถูกจับโดยละม่อม
อ๊ากก ปวดกระบาล
โม่จ้านเกากลางกระหม่อมด้วยความร้อนใจมิเป็สุข ถือเสียว่าผลผิงกั่วในมือคือศีรษะของเจียนั่ว จัดการบิหนึ่งครั้งก่อนจะกัดลงไปคำใหญ่
เชิงอรรถ
[1] นิ่งงันเป็ไก่ไม้ 呆若木鸡 เป็สำนวนหมายถึง เหม่อค้างด้วยความตกตะลึงหรือตื่นตระหนกจนแข็งทื่อราวกับไม้สลักรูปไก่
