“พ่อ ผมกลับมาแล้ว” เย่าจู่ชูปืนพก P228 ในมือในขณะที่ค่อยๆ ผลักประตูไม้แกะสลักของห้องหนังสือ
“อื้อ กลับมาก็ดีแล้ว ทานข้าวมาหรือยัง?” ชายชราที่ผมหงอกไปทั้งหัวไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามอง เขาง่วนอยู่กับการร่างคำปราศรัย
“ทานมาแล้ว ลูกแพร์ที่บ้านลุงสองหวานมาก ถ้าลุงยังไม่เก็บก็คงจะเน่าคาต้น” เย่าจู่เป็มิตรกับพ่อเช่นนี้ด้วยเหตุผลบางประการ พูดจาฟังดูแล้วมีสัมมาคารวะมาก
“จริงเหรอ? พ่อจะเตือนลุงเขาให้ในวันพรุ่งนี้ ไม่ใช่ว่าพ่อว่าแก แต่ไปเด็ดของคนอื่นโดยที่ไม่ขอเขาเรียกว่าขโมย พ่อเตือนแกมาั้แ่เล็ก ถึงจะเป็ของจากบ้านญาติก็ต้องบอกกล่าวกันก่อน มารยาทเล็กน้อยเหล่านี้เป็สิ่งจำเป็” เจิ้นถิงเพียรอบรมสั่งสอน
“ทราบแล้ว วันหลังผมจะระวัง พ่อ มีเื่หนึ่งที่ผมอยากจะถาม” ในขณะที่เย่าจู่เอื้อนเอ่ย น้ำตาทั้งสองสายก็ลากไหลผ่านใบหน้าของเขาอย่างอดกลั้น นิ้วหลุดออกจากไกของปืนพก “เหวินจิ้งและลูก อยู่ที่ไหน?”
“พ่อไม่ได้ตอบคำถามนี้กับแกไปแล้วั้แ่เมื่อ 9 ปีก่อนหรือ? เหวินจิ้งเสียชีวิตในขณะที่คลอดบุตร” เจิ้นถิงกล่าวอย่างไม่ถ่อมตนและไม่อวดดี แม้ว่าลูกชายจะเอาปืนจ่อศีรษะของเขา แต่ชายชราก็ยังคงสงบและผ่อนคลาย
“เลิกตอแหลได้แล้ว! ผมงัดโลงศพเหวินจิ้งดู! มันว่างเปล่า! ว่างเปล่า! มีแต่อากาศ!” เย่าจู่คำรามอยู่ 3 คราติดต่อกัน ะุเฉียดศีรษะของเจิ้นถิงไปถูกคัมภีร์โบราณบนชั้นหนังสือที่ด้านหลัง เืจากรอยแผลหยดลงตามรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า
“อ้ายซินเจียหลัวซื่อ เย่าจู่ ลูกชายผู้แสนดีของฉัน เจิ้นถิง พ่ออุทิศทั้งชีวิตเพื่อเลี้ยงดูแก แต่วันนี้ แกกลับตอบแทนพระคุณในการเลี้ยงดูของพ่อเยี่ยงนี้หรือ?” ในที่สุดเจิ้นถิงก็เงยหน้า สองพ่อลูกที่แยกจากกันมา 9 ปี สุดท้ายก็พบหน้ากันอีกครั้ง
เย่าจู่เติบใหญ่ รูปร่างสูงโปร่ง นอกจากนั้นก็ยังมีร่องรอยของกาลเวลาหลงเหลืออยู่บนใบหน้าของเขา รอยแผลเป็จากการสู้รบ เขาเป็ผู้ใหญ่แล้ว แต่เจิ้นถิงชราขึ้นมาก ผมสีเทาทั้งศีรษะ ผมขาวโพลนกระทั่งหาผมเส้นสีดำแทบจะไม่มี ราวกับว่ากาลเวลากำลังจะนำเขาไปสู่ความตาย จะลาจากโลกนี้ไปได้ทุกเมื่อ
“ผมเป็หนี้ชีวิตพ่อ! พ่ออยากให้ผมยิงหัวตัวเองและส่งคืนให้พ่อเมื่อใดก็ได้! แต่เหวินจิ้งและลูกของผมเป็ผู้บริสุทธิ์! ทำไม ทำไมพ่อต้องลงมือกับพวกเขา? นั่นมันหลานชายของพ่อนะ! ชีวิตน้อยๆ ที่ยังไม่ทันได้ััโลกนี้ด้วยซ้ำ!” เย่าจู่คร่ำครวญจนมือที่ถือปืนอยู่นั้นสั่นไหว
“เด็กที่เกิดจากจัณฑาล จะมาใช้นามสกุลอ้ายซินเจียหลัวซื่อของฉันหรือ? ถึงเราจะสืบเชื้อสายจากราชวงศ์ที่ถูกละเลย แต่เืของราชวงศ์ก็ไม่อาจแปดเปื้อน! ไม่อย่างนั้นพ่อจะไปอธิบายกับบรรพบุรุษหลังความตายได้อย่างไร?!” เจิ้นถิงคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว
“สารเลว! ในที่สุดพ่อก็ยอมรับแล้วว่าพ่อฆ่าพวกเขา! ผมรู้อยู่แล้ว! รู้ว่าพ่อเป็คนทำ!” ที่จริงแล้วเย่าจู่หวังลึกๆ ว่าพ่อจะไม่ยอมรับ แต่ตอนนี้เขาไม่อาจหาข้อแก้ตัวใดๆ ที่จะปล่อยพ่อไปได้อีกแล้ว
“ยิงสิ ตายด้วยน้ำมือของสัตว์เดรัจฉานเช่นแก ถือว่าพ่อช่างอับโชคนัก” เจิ้นถิงกล่าวโดยปราศจากความกลัวใด
“ไม่ ผมจะไม่ยิงพ่อให้ตายหรอก ผมจะให้พ่อได้ลิ้มลองรสชาติแห่งความทุกข์ทรมาน ให้พ่อได้เห็นการจากไปของสิ่งที่พ่อรักที่สุด ผม้าให้พ่อได้เข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง” เย่าจู่ส่ายศีรษะ “เอาล่ะ สิ่งที่พ่อควรมอบให้ผมั้แ่แรก เอาออกมาซะ! กุญแจของแดนสนธยา!”
“ฝันไปเถอะ! ในเมื่อแกตัดขาดจากตระกูล ชื่อของแกก็จะถูกลบออกจากแผนผังตระกูลด้วย! แกไม่ใช่ลูกหลานของอ้ายซินเจียหลัวซื่ออีกต่อไป แกไม่มีสิทธิ์ได้รับกุญแจของแดนสนธยา” เจิ้นถิงกล่าววาจาสิทธิ์
“ดูปากผมนะ ผมไม่ได้ใช้คำว่า ‘ได้โปรด’ ถ้ายังไม่เอาออกมา ผมจะให้พ่อได้ลองัักับเทคนิคการทรมานที่ผมเรียนมาจากปีศาจต่างชาติในสนามรบ 8 ปี!” เย่าจู่ลืมไปเสียสนิทว่าชายชราที่อยู่ตรงหน้านี้คือพ่อของเขาเอง ความอาฆาตแค้นจากการที่ภรรยาและลูกถูกสังหารทำให้เขากลายเป็สัตว์นรก
“สัตว์ร้ายเอ๋ย แกคิดว่าปืนต่างประเทศและปืนใหญ่สามารถทำให้ตาแก่คนนี้หวาดกลัวได้หรือ? ถ้ากล้าจริง แกก็สังหารพ่อเสียตอนนี้เลย หากตาแก่แม้แต่เพียงขมวดคิ้ว นั่นแปลว่าฉันไม่ใช่พ่อแก” เจิ้นถิงหนักแน่นยิ่งกว่าหินในห้องส้วม
“จริงเหรอ” เย่าจู่เล็งไปที่ต้นขาของเจิ้นถิง
“นายน้อย! ไม่ได้เด็ดขาดนะ!” พ่อบ้านไท่ะโลั่นและพุ่งตัวไปข้างหน้า เขาคุกเข่าลงแทบเท้าของเย่าจู่ น้ำตาของชายชราไหลพรั่งพรู “หลายปีมานี้ ไม่มีวันหรือเวลาไหนที่นายท่านไม่คิดถึงนายน้อยเลย นายน้อยจะสังหารบิดาผู้ให้กำเนิดได้อย่างไร?!”
“ทำไมจะไม่ได้? หมู่บ้านวิปลาส ครอบครัววิปลาส! มีอะไรที่ทำไม่ได้อีก!” เย่าจู่หัวเราะ “ตาแก่ จะเอากุญแจออกมาหรือจะให้ฉันทรมานจนตาย! เลือกเอา!”
“ถ้ากล้าก็ยิงเลย!” เจิ้นถิงผงกศีรษะ
“อย่า! กุญแจอยู่นี่!” พ่อบ้านไท่หยิบกุญแจโบราณซึ่งมีความยาวเท่าฝ่ามือออกมาจากกระเป๋ากางเกง
“ตาไท่! ใครขอให้แกเอากุญแจออกมา?! ออกไปให้พ้น!” ใบหน้าของเจิ้นถิงเขียวคล้ำ
“นายท่าน ช่างเถอะ! หยุดดื้อเสียที หลายปีมานี้ เราทำมามากเกินไปแล้ว ผิดมากเกินไปแล้ว นายหญิงตรอมใจเสียชีวิตเพราะบาปของเรา ร่ำไห้ไม่เว้นวันกระทั่งสิ้นชีวิต ทุกเทศกาล นายท่านก็ไปร้องไห้คร่ำครวญต่อหน้าหลุมศพของนายหญิง ในสายตาบ่าว เห็นแล้วช่างปวดหัวใจ ความขมขื่นนี้ ทำให้ข้าใจสลาย!” พ่อบ้านไท่กล่าววิงวอน
“เจิ้นถิง! คอยดูไฟแผดเผาที่แดนสนธยาได้เลย!” เย่าจู่คว้าเอากุญแจและหมุนตัววิ่งออกไป
“ตาไท่! แกทำอะไรลงไป!” เจิ้นถิงเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ เขารู้สึกเหมือนจิติญญาหลุดลอยไป
และ ณ ขณะนั้น ที่ประตูหลังท่ามกลางูเาเทียมของคฤหาสน์จักรพรรดิ เซี่ยวอี๋กำลังเฝ้าเส้นทางเดียวที่ใช้ออกจากบ้านไว้ หญิงสาวถูกปิดกั้นไว้ด้วยกำแพงหมอกควัน แต่ภายในบ้าน หมอกควันไม่ได้หนามาก ทัศนวิสัยในการมองเห็นอยู่ที่ระยะ 10 เมตร เธอกำปืนพกรุ่น 92 ไว้ในมือ รอเหยื่อ รอโทรศัพท์จากเสิ่นิ น่าเสียดายที่ไม่มีมาทั้งคู่
ในขณะที่เซี่ยวอี๋เริ่มผ่อนคลาย เสียงฝีเท้าก็ดังแว่วมา เซี่ยวอี๋ตื่นตัวขึ้น เพราะเธอเคยได้ยินเสียงอันละเอียดอ่อนเช่นนี้มาก่อน เธออยู่กับเสิ่นิมานาน ตาบ๊องนี่ชอบแอบเข้าไปขโมยของกินในห้องเธอตอนดึกๆ ทำให้ความสามารถในการป้องกันการรุกรานของเธอพัฒนาขึ้น
เซี่ยวอี๋ปลดเซฟปืนอย่างเงียบเสียง เธอหันปืนไปยังทิศทางที่เสียงแว่วมา และเมื่อเธอเห็นเงาร่าง เธอก็เตรียมเหนี่ยวไก
ความเศร้าโศกและความโกรธของเย่าจู่ทำให้เขาลดความระวังตัวลง ณ ่เวลาที่เซี่ยวอี๋เหนี่ยวไก เขาก็เพิ่งจะรู้ตัวว่ามีปืนซุ่มยิงอยู่
เขาใช้วิชาตัวเบาเบี่ยงตัวไปด้านข้าง เพื่อเลี่ยงะุ เซี่ยวอี๋จ้องด้วยความตกตะลึง ะุที่ควรจะยิงถูกหน้าอกเพียงเฉี่ยวเข้าิับริเวณไหล่ของเย่าจู่ เย่าจู่ยิงกลับด้วยแบ็คแฮนด์ ะุพุ่งเข้าที่ไหล่ขวาของเซี่ยวอี๋เต็มๆ!
“โอ๊ย!” เซี่ยวอี๋เจ็บจนกระทั่งขาแข้งอ่อนตกลงจากูเาเทียม เืสดทะลักออกมาจากรูบนหัวไหล่
เย่าจู่ไม่ได้สนใจตามล่าอีกต่อไป เขาไม่ได้จัดการกับาแที่แขนด้วยซ้ำ ผีูเาเย่าจู่หนีออกไปทางประตูหลังคฤหาสน์จักรพรรดิ
“นี่กะจะไม่ให้ฉันใส่บิกินี่แล้วใช่ไหม?” เซี่ยวอี๋มองไปที่รูเืที่ไหล่ น้ำตาของเธอเอ่อไหลออกมาพร้อมกับเื เดิมที่คิดว่าตัวเองทนทานต่อความเ็ปได้ แต่พอถูกยิงเข้าถึงสองหนในเวลาเพียงหนึ่งเดือน เธอก็คับแค้นใจจนสุดจะทน
“เธอไม่เป็ไรใช่ไหม?!” เย่าจู่เพิ่งจากไปไม่นาน ไพรซึ่งพันมือเหมือนเกี๊ยวก็รีบวิ่งเข้ามา
“ไม่โดนจุดสำคัญ แค่เจ็บเฉยๆ” หลายวันที่ใช้เวลาร่วมกัน เซี่ยวอี๋กับไพรก็สนิทกันมากขึ้น นอกจากนี้ทั้งคู่ยังมีงานอดิเรกที่เหมือนกันคือเกลียดเสิ่นิเข้าไส้ นั่นยิ่งทำให้มิตรภาพของพวกเธอลึกซึ้งขึ้นไปอีก
“นายน้อยกับหัวขโมยสัปดนต้องกลับมาในไม่ช้าแน่ จัดการาแตัวเองก่อน ห้ามเืซะ ฉันจะตามผีูเาไปเอง!” ไพรหันหลังวิ่งไปยังประตูหลัง
“มือเธอยังขยับไม่ได้! ไล่ตามไปไม่เท่ากับรนหาที่ตายเหรอ?” เซี่ยวอี๋ะโอย่างแตกตื่น
“ไม่ต้องห่วง ขอแค่ไม่ใช่ในระยะซุ่มยิง ขาก็เตะเขาตายได้!” ไพรมั่นใจในการต่อสู้ระยะประชิด ต่อให้ใช้ฟัน ตนก็สังหารเขาได้
การเสียเืทำให้เซี่ยวอี๋วิงเวียนศีรษะ เธอไม่รู้ว่าตัวเองเอนตัวอยู่นานแค่ไหน อาจจะเผลอหลับไปในไม่ช้า มือใหญ่คู่หนึ่งอุ้มเธอขึ้นจากพื้น และเมื่อเธอลืมตาขึ้น ปรากฏว่าเป็เสิ่นิ ท่าเดินของเขาช่างน่าขันพิลึก
“เสิ่นินายาเ็หรือเปล่า?” เซี่ยวอี๋รู้สึกประหลาดใจ
“อื้อ แต่ไม่หนักเท่าคุณ” เสิ่นิเอาเทปกาวสองเส้นปิดห้ามเืของเซี่ยวอี๋ไว้
“ผีูเาหนีไปแล้ว ไพรกำลังไล่ตามเขาไป!” เซี่ยวอี๋กล่าวอย่างเร่งรีบ “รีบไปช่วยเร็วเข้า!”
“ผมทราบแล้ว คุณเสียเืไปมาก ต้องพักผ่อน” เสิ่นิไม่ได้รีบไล่ตามไป แต่เขากลับอุ้มเซี่ยวอี๋กลับไปที่ห้องพักอย่างรวดเร็ว จัดการกับาแของเธอ หลังจากที่แขวนขวดกลูโคสแล้ว ชายหนุ่มก็หยิบปืนไรเฟิล Mosin Nagant ขึ้นอีกครั้ง
“ขอโทษที่ไม่ได้ดูแลคุณ ถ้าเป็ไปได้ ผมอยากให้คนที่โดนยิงคือผม” ก่อนจากไป เสิ่นิหันกลับไปมองเธอด้วยความรู้สึกผิด
“นายมางี่เง่าอะไรตอนนี้? รีบตามผีูเาไปซะ!” เซี่ยวอี๋ไม่รู้ว่าเอ็นเส้นไหนของเสิ่นิผิดปกติ ดูท่าทางเพี้ยนๆ ใครไม่รู้ก็คงคิดว่าเขาชอบเธอ
“ผมจะพาไพรกลับมา” หลังจากเสิ่นิออกไปจากห้อง เฝิงเฉวียนที่ด้านนอกประตูก็เปลี่ยนเป็ชุดปฏิบัติการตอนกลางคืน เตรียมพร้อมออกศึก
“นายช้าจัง ไปกันเถอะ” เฝิงเฉวียนกล่าว ในขณะที่กำลังจะออกเดินทาง เขากลับถูกเสิ่นิคว้าคอเสื้อไว้
ด้วยความสูงของเสิ่นิ เขายกนายน้อยตระกูลเฝิงขึ้นจนขาทั้งสองขาลอยขึ้นไปในอากาศถึงสิบห้าฟุต
เป็การตักเตือนซึ่งๆ หน้า เสิ่นิกล่าวทีละคำอย่างดุร้าย “นายควรนั่ง เมื่อฉันบอกให้นายนั่ง นายควรยืน เมื่อฉันบอกให้นายยืน อย่าถามฉันว่าทำไม? อย่าตั้งข้อสงสัยในการเตรียมการของฉัน ความเป็มืออาชีพของฉันคือเหตุผลที่นายเชิญฉันมา ขอบคุณฉิบหายที่นายทำตัวเป็ฮีโร่ อีกนิดเดียวนายเกือบจะทำผู้ช่วยของฉันตาย อีกนิดเดียว ฉันก็จะอัดนายให้ตาย”
“ความเย่อหยิ่งของนายช่างเหมือนพี่ใหญ่ของฉัน เขาชอบยกตัวฉันลอยเคว้งกลางอากาศ ทำอย่างไรได้ ใครใช้ให้ผมเพิ่งจะแตกเนื้อหนุ่มล่ะ ทำอย่างไรก็ไม่สามารถเอาชนะเขาได้” เฝิงเฉวียนซึ่งอยู่กลางเวหาอบรมอย่างไรก็ไม่เข้าหัว หน้าของเขานิ่งเหมือนไม่ได้รู้สึกผิดใดๆ ในขณะที่พูด เข็มเงินสองเล่มซึ่งความยาวเท่ากับท่อนแขนก็ปักลงที่กรามของเสิ่นิ “ถ้านายไม่ใช่พี่ชายของฉัน นั่นหมายความว่าความสัมพันธ์ของเราไม่ได้เหนียวแน่นขนาดให้นายมากล่าวหาฉัน และนายก็ยั่วโมโหฉันผิดเวลา ฉันให้หนนี้หนเดียว ถ้าครั้งหน้านายยังคิดที่จะยกตัวฉันอีก ฉันจะตัดเพื่อนกับนาย”
เสิ่นิไม่ได้บ้า เขาแค่อยากให้นายน้อยตรงหน้านี้เข้าใจความสำคัญในสถานการณ์ ชายหนุ่มวางเฝิงเฉวียนลง และกล่าวอีกเพียงหนึ่งประโยค “อยู่ที่นี่ก่อน รออีกสักพักแล้วค่อยตามออกไป”
ถึงเฝิงเฉวียนจะไม่พอใจอย่างยิ่งต่อความก้าวร้าวของเสิ่นิ แต่ในที่สุด ครั้งนี้เขาก็เชื่อฟัง ไม่คิดจะออกไปหาเื่ลำบาก อย่างไรเสีย ตนก็จ่ายเงินไปแล้ว ถ้าต้องตายก็ให้บอดี้การ์ดคนนี้ตายแทนก็แล้วกัน!