“เหิงเยว่”
“เพคะ”
“เ้ามาดูนี่สิ” หญิงสาวค่อยๆ ก้มมองตามจุดที่องค์ชายรองชี้ไป นางเห็นใบของต้นเฟยฉีเป็รูปร่างประหลาด ใบมีสามแฉก และทุกใบมีสีเหลืองแซมม่วง
“ใบเฟยฉีมีลักษณะเยี่ยงนี้เหรอเพคะ”
“ใบเฟยฉีมีลักษณะแปลกกว่าพืชทั่วไปจึงค่อนข้างมองเห็นชัด เ้าลองเด็ดใบขึ้นมาสิ แล้วดมกลิ่นดู” หญิงสาวทำตามอย่างว่าง่าย โดยทุกอิริยาบถอยู่ในสายพระเนตรขององค์ชายรองเสมอ
“กลิ่นไม่ดีเลย” เหิงเยว่ยู่หน้าแล้วเบี่ยงออก ชายหนุ่มหัวเราะเล็กน้อยเพราะท่าทางตลกนั่น
“นี่เป็กลิ่นเฉพาะของมัน เ้าเก็บได้ตามสบาย” หญิงสาวพยักหน้าแล้วเก็บสมุนไพรใส่ห่อผ้าอย่างระวัง ก่อนจะหยิบเกินมาอีกหลายใบ เพราะเริ่มอยากเรียนรู้วิธีการใช้สมุนไพรพวกนี้ด้วยเหมือนกัน
“เ้าเก็บไปมากเยี่ยงนั้นกลัวไม่พอฤา” หญิงสาวส่ายศีรษะ
“ข้าอยากลองปรุงยาขึ้นมาบ้าง เพื่อจะช่วยเหลือพระสนมได้ไม่มากก็น้อย” องค์ชายรองยิ้มอย่างเมตตาก่อนพยักหน้าเห็นด้วย ทั้งสองเดินวนเก็บสมุนไพรอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเร่งเดินทางกลับเข้าที่พัก
“เอาห่อสมุนไพรนั้นมาเถิด เ้าถือไว้อาจเดินไม่สะดวกนัก”
“ไม่เป็ไรเพคะ เป็หน้าที่ของข้า”
“บางที เ้าไม่ควรทำห่างเหินกับข้าเกินไปนัก ในป่าดงเร้นห่างจากผู้คน เหตุใดยังวางตัวกลัวว่าข้าจะเสียเกียรติเสมอเช่นนี้ และทางเดินลดหลั่นไม่ได้ระดับ เ้าเป็หญิงอย่างไรเสียก็ไม่เหมือนชายเช่นข้า หยุดดื้อแล้วส่งห่อสมุนไพรมา” เหิงเยว่ได้ยินดังนั้นจึงยอมทำตามความประสงค์ขององค์ชายรอง โดยยื่นห่อสมุนไพรให้ด้วยกิริยาอ่อนน้อม ชายหนุ่มเอื้อมไปรับแล้วหันกลับมาลอบอมยิ้มหนึ่งครั้ง ก่อนพาสาวงามเดินกลับยังที่พักได้ทันพระอาทิตย์ตกดิน
ณ ตำหนักทอง ซูเจียวอาบน้ำชำระล้างร่างกายด้วยสมุนไพรบำรุงผิวชนิดต่าง ๆ เพื่อให้ผิวพรรณผุดผ่องราวกับเทพธิดา นางสั่งให้นางกำนัลทั่วทั้งวังหลวง แบ่งหน้าที่กันดูแลรับใช้อย่างใกล้ชิด ส่วนหนึ่งมีหน้าที่ดูแลอาหารการกิน เพื่อให้นางได้รับแต่อาหารที่เข้าไปบำรุงผิวพรรณวรรณะให้ผ่องใส่อยู่เสมอ ส่วนที่สองคือสูตรยาต่าง ๆ นางอบน้ำแร่แช่น้ำนม เพื่ออีกไม่กี่ปี นางจะได้เป็บรรณาการส่งไปยังนครใหญ่ นครแห่งอำนาจและเกียรติยศ ซูเจียวหรี่ตาลงทบทวนเื่ราวต่าง ๆ ที่ผ่านมา วันนี้อำนาจทั้งหมดอยู่ในมือนางแต่ผู้เดียว และนับจากนี้จะทำทุกวิถีทางเพื่อพิชิตใจองค์รัชทายาทให้จงได้
“ข้างามเยี่ยงนี้ มีฤา องค์รัชทายาทจะปฏิเสธ” ราชธิดาซูเจียวยกแขนขึ้น แล้วเลื่อนมองเรียวแขนขาวละเอียดของตัวเองอย่างนึกภูมิใจ
“และเมื่อถึงตอนนั้นที่ข้าได้ขึ้นเป็องค์ชายา อำนาจมากมายล้นมือเช่นนั้น สาวงามทั่วทั้งสี่แคว้นจะต้องพากันริษยาในบารมีแห่งข้า” เสียงหัวเราะของซูเจียว ดังลอดออกมาจากห้องสรงน้ำเป็ระลอก
“ราชธิดาซูเจียวหัวเราะคนเดียวอีกแล้ว เ้าได้ยินฤาไม่” นางกำนัลที่นั่งเฝ้าอยู่กระซิบกับเพื่อนสาว แล้วตั้งใจฟังเสียงหัวเราะอันน่ากลัวของนางอย่างเงียบๆ
“ข้าผู้เป็ราชธิดาสูงศักดิ์แห่งจ้านหลิว ถูกท่านพ่อบรรณาการไปเพื่อเป็ชายาแห่งรัชทายาทโจวอี้เฟย จะมีใครเหมาะสมกับองค์รัชทายาทเช่นข้าอีกล่ะ” ซูเจียวถูเรียวแขนเล็กของตัวเองอย่างถนอม พร้อมวาดความหวังสวยหรูอย่างตั้งมั่น
“ส่วนเ้า ซูเจิน” เสี้ยววินาทีแห่งความคิด ภาพของน้องสาวที่เปรียบเสมือนเหล็กแหลมค่อยทิ่มแทงหัวใจมาั้แ่วัยเยาว์ ก็แทรกเข้ามาให้นางได้ระลึกถึง
“วาสนาช่างอาภัพนัก แม้เกิดมามีชาติตระกูลสูงส่งเป็ถึงราชธิดาแห่งแคว้นจ้านหลิว แต่เพราะความหน้าโง่คิดเทียบบารมีแข่งกับข้า จุดจบย่อมเป็เช่นนี้ หากยังมีชีวิตอยู่ก็เหมือนตายทั้งเป็ เพราะใครฤาจะเหลียวแล” หญิงสาวยิ้มย่องออกมา แล้ววักน้ำชำระร่างกายต่ออย่างสมใจ
หลังจากสูญเสียองค์ชายาซูลี่ไป ราชวังก็เงียบเหงาไม่ครึกครื้นเช่นกาลก่อน องค์าาหมกตัวอยู่แต่ในห้องทรงงาน ไม่ออกไปพบปะผู้คน เหล่าขุนนางเริ่มหมดกำลังใจ ต่างเฝ้าเวียนดูแลองค์าาอย่างใกล้ชิด ก่อนสารจากนครใหญ่จะถูกส่งมาแสดงความเสียใจ เหล่าขุนนางส่งต่อกันเป็ทอด ๆ อย่างว่องไวตามหน้าที่
“เ้ารีบนำสารนี้ไปมอบแก่พระาาโดยด่วน” หลังจากได้รับคำสั่ง จึงรีบนำสารขึ้นถวายแด่าาซูเฟยเถาทันทีไม่รอช้า
“มีสารจากนครใหญ่มาพ่ะย่ะค่ะ” พระาาได้ยินดังนั้นจึงหันวรกายมาแล้วรับสารนั้นไป เมื่อขุนนางทำหน้าที่เสร็จจึงกลับมายืนที่เดิม ก่อนพระาาจะเปิดอ่านอย่างตั้งใจ
“การจากไปขององค์ชายาซูลี่แห่งแคว้นจ้านหลิว ข้ารู้สึกเสียใจยิ่งนัก นับเป็การสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ ข้าในนามพระมหาจักรพรรดิขอแสดงความเสียใจเป็อย่างยิ่ง หากมีสิ่งใดที่ข้าจักพอช่วยเหลือได้ ขอให้องค์าาซูเฟยเถาแจ้งจุดประสงค์มา แล้วข้าจะสนองกลับเพื่อเป็การปลอบขวัญและส่งกำลังใจด้วยความบริสุทธิ์ใจอย่างถึงที่สุด” พระาาอ่านจบ ค่อย ๆ วางสารในมือลงช้า ๆ ในเวลานี้แม้เป็สารจากองค์จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ที่ ปกครองเหล่าแคว้นต่าง ๆ มากมาย กลับไม่สามารถทำให้เขาคลายทุกข์ลงได้
“ข้าขอบใจพวกเ้า ที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาดูแล เวลานี้ข้ายอมรับว่ายากทำใจได้ แต่ข้าขอเวลาไม่นาน ทุกอย่างจะกลับสู่สภาวะปกติ” เหล่าขุนนางและทหารก้มรับคำ อย่างน้อยพวกเขาก็รู้สึกโล่งใจที่องค์าามิได้ฟูมฟายมากเกินไปนัก ยังพอมีสติรู้หน้าที่ของตนอยู่บ้าง
“ลูกสาวข้าเป็อย่างไรบ้าง” องค์าาตรัสถามเสนาบดี ก่อนที่สายตาเลิ่กลั่กของเหล่าขุนนางจะส่อไปมาอย่างใช้ความคิด แล้วหันไปสะกิดคนด้านข้างให้ทูลถวาย
“ว่าอย่างไร”
“ราชธิดาอยู่ที่ตำหนักทองเช่นเดิม มิได้ออกไปไหนพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีพูดตะกุกตะกัก
“นางคงเสียใจอย่างมาก” พระาานึกแล้วรู้สึกสงสารซูเจียวอย่างจับใจ ก่อนเหล่าเสนาบดีจะหันมองหน้ากัน แล้วทำหน้าถอดสีกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“ท่านเสนาบดี หากนางอยากได้อะไร ข้ามอบหมายให้เ้าจัดการแทนข้าทุกอย่าง ตอนนี้นางเหลือตัวคนเดียวความรู้สึกย่ำแย่เช่นนี้คงไม่ต่างจากข้าเท่าใดนัก”
“พ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีรับคำ ก่อนเหลือบมองไปยังสหายสนิท ที่ยืนอยู่ด้านข้างอย่างรู้ความหมายกัน ในทุกค่ำคืนเสียงร้องรำทำเพลงของเหล่านางกำนัล มักดังลอดออกมาจากตำหนักทองเสมอ คล้ายกับว่ากำลังเฉลิมฉลอง ท่ามกลางความเงียบเหงาของวังหลวง
หลังจากถวายงานให้องค์าาเสร็จสิ้นเหล่าเสนาบดี จึงแยกย้ายเดินทางกลับจวน หากแต่หนึ่งในนั้นจับกลุ่มคุยกันถึงเื่ของราชธิดาซูเจียว
“เหตุใดท่านจึงไม่ทูลองค์าาไปตามความเป็จริง ว่าราชธิดามิได้ฟูมฟายอย่างที่องค์าาคิด”
“การจะทูลเช่นนั้นได้ ต้องให้พระองค์เห็นด้วยองค์เองก่อน หากเกิดความผิดพลาดตำแหน่งข้าหลุดจากเสนาบดีท่านจักรับผิดชอบเช่นไร สายใยแห่งการเป็พ่อลูก เืย่อมข้นกว่าน้ำ เช่นนั้นน้ำอย่างข้าหากทูลไปแล้วพระองค์มิเชื่อ ดีไม่ดีโทษถึงถูกเนรเทศ ท่านจะให้ข้าเสี่ยงเช่นนั้นฤา”
“เห้อ...ข้าเองก็ขลาดเขลา มิกล้าทูลเช่นกัน เหล่าขุนนางย่อมเห็นการกระทำของราชธิดากันหมด ดูไม่เหมาะไม่ควรในเวลานี้ เช่นนั้นแล้วควรทำอย่างไร” เสนาบดีส่ายศีรษะหมดหนทาง พลางเบี่ยงตัวเดินออก ปล่อยให้เป็ชะตาของแคว้นจ้านหลิว
องค์รัชทายาทเดินตามชิงจูขึ้นมายังยอดเขาสูงลิบและพบว่ามันคือสำนักของใครบางคนที่เขาไม่รู้จัก สองเท้าของโจวอี้เฟยเดินเสมอกันพลางส่งสายตากวาดตามองรอบ ๆ เป็สำนักที่ซ่อนเร้นจากโลกภายนอกได้ดี อีกทั้งบรรยากาศอันเงียบสงบเหมาะแก่การฝึกเวท ปริศนามากมายผุดขึ้นอยู่ภายในอย่างฉับพลัน
“สถานที่แห่งนี้เป็ที่ใดกัน เหตุใดจึงหลบเร้นได้ลึกลับถึงเพียงนี้” ชายหนุ่มนึกทบทวนอย่างเงียบ ๆ
“แม่นางอยู่ด้านนั้น เราจะแลกของกันด้านใน” ชิงจูหันใบหน้าไร้ความสะท้านกลับมาแล้วกล่าวบอกอย่างราบเรียบ องค์รัชทายาทยังคงอยู่ในท่วงท่านิ่งเฉย ใบหน้าเรียบตึงแล้วก้าวเท้าตามหญิงปริศนาผู้นั้นเข้าไป ผ่านประตูเข้าสู่สำนักที่ทำจากไม้เนื้อดีกึ่งเก่า บ่งบอกว่าสำนักนี้ตั้งอยู่มานานหลายหมื่นปี รวมถึงข้าวของเครื่องใช้ล้วนทำจากไม้เนื้อดีที่มีอยู่ตามธรรมชาติ เมื่อเดินลึกเข้ามามีทางลดเลี้ยวแยกออกหลายสายบ้างขึ้น้า บ้างลดหลั่นไปตามไหล่เขา ดูลึกลับเหนือความคาดหมาย ทว่าระหว่างทางเดินได้กลิ่นหอมของดอกไม้อ่อน ๆ เตะจมูกอยู่ตลอดเวลา
ก่อนบานประตูหินขนาดใหญ่ตรงหน้าจะเลื่อนออกช้า ๆ เผยให้เห็นห้องลับด้านใน เขาเดินก้าวเท้าตามหญิงปริศนาอย่างเงียบ ๆ พลางสังเกตสิ่งต่าง ๆ รอบตัว ก่อนจะหันไปเห็นร่างของซูเจินนอนหลับไม่ได้สติ เพราะฤทธิ์ของบางสิ่งบางอย่าง เพียงพริบตาเดียวร่างของหญิงสาวก็หายวับกลับมายังอ้อมกอดของชายหนุ่ม ก่อนชิงเถาและชิงจูจะเบิกตากว้าง พลางตั้งท่ารับมือกับพลังเวทอันกล้าแกร่งนั้น