“บอกข้าที ว่าเ้ายินดีหมั้นกับเว่ยฉีเทียนนั่นหรือไม่?” เย่เฟิงเอ่ยถามขณะมองจ้าวซินอี๋ที่ดูทุกข์ใจ
“หากยินยอม วันนี้ก็คงมาหาเ้าไม่ได้” จ้าวซินอี๋กล่าวขณะมองเย่เฟิง นางคือองค์หญิงแห่งอาณาจักรจ้าว มีผู้คนมากมายเคารพนับถือ แม้ภายนอกสดใสร่าเริง แต่ความเป็จริงแล้วนางบอบช้ำทั้งนอกและใน แม้แต่ชีวิตของตัวเองก็ยังควบคุมไม่ได้ ไม่ต่างจากสตรีเชื้อพระวงศ์ในสมัยโบราณ สุดท้ายแล้วก็เป็ได้เพียงเครื่องมือทางการเมือง ช่างน่าเศร้ายิ่งนัก
“ที่ข้ามาครั้งนี้ก็เพื่อมาบอกลาเ้า อีกไม่นานข้าอาจได้แต่งเข้าอาณาจักรเว่ย ซึ่งอาจจะไม่ได้เจอกันอีกเลย” จ้าวซินอี๋กล่าว สุดท้ายก็มีน้ำตาไหลรินออกมาจากดวงตาคู่งามของนาง
“จำไว้ เ้าคือชายผู้เดียวที่ทำให้ใจข้าหวั่นไหว” จ้าวซินอี๋กล่าวต่อ จากนั้นเห็นนางเขย่งเท้า ก่อนริมฝีปากนางจะประทับไปที่แก้มของเย่เฟิง นาทีนี้เย่เฟิงต้องตัวแข็งทื่อ ซึ่งหลังจากจ้าวซินอี๋จูบแก้มก็ไม่กล่าวอะไรต่อ และรีบหมุนตัวเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
เย่เฟิงกะพริบตาปริบ ๆ ขณะมองแผ่นหลังของหญิงสาวที่เดินออกไป
‘จำไว้ เ้าคือชายผู้เดียวที่ทำให้ใจข้าหวั่นไหว’ ประโยคนี้ดังก้องในหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“เว่ยฉีเทียนเขาไม่มีสิทธิ์แต่งกับเ้า เ้ากับข้าต้องมีโอกาสได้พบกันอีกครั้ง!” เย่เฟิงกล่าว ทำจ้าวซินอี๋หยุดชะงักเล็กน้อย นางเม้มปากก่อนเดินออกไปจากที่นี่
ขณะมองเงาร่างอันงดงามที่ค่อย ๆ หายไปจากสายตาของตน เย่เฟิงก็รู้สึกถึงจิตใจอันสับสนวุ่นวาย ราวกับด้ายที่พันกัน เขามิอาจทนดูจ้าวซินอี๋ไปแต่งงานกับคนที่ไม่ชอบได้ ฉะนั้นจะต้องรอพิธีหมั้นในอีกสามวัน จากนั้นเย่เฟิงออกไปจากที่นี่ทันที แต่จู่ ๆ มีสองเงาร่างปรากฏตัวที่ด้านหลังกำแพง ซึ่งก็คือจ้าวซินอี๋และชุ่ยเอ๋อร์หญิงรับใช้ของนาง
“ชุ่ยเอ๋อร์เชื่อว่าคุณชายเย่เขาจะต้องหาวิธีทำให้การเกี่ยวดองนี้ล้มเหลว องค์หญิงเพคะ เหตุใดท่านจึงทำเช่นนี้?” ชุ่ยเอ๋อร์กล่าวขณะมองจ้าวซินอี๋ที่น้ำตาไหลปริ่มขอบตา
“เ้าไม่รู้ถึงความแข็งแกร่งของอาณาจักรเว่ย เขาคนเดียวจะหยุดการเกี่ยวดองครั้งนี้ได้อย่างไร?” จ้าวซินอี๋กล่าว
“เมื่อเกิดในตระกูลเชื้อพระวงศ์ บางทีชะตาข้าอาจถูกกำหนดมาแล้ว” จ้าวซินอี๋พูดกับตัวเอง จากนั้นนางและชุ่ยเอ๋อร์พากันกลับวังหลวง จ้าวซินอี๋นั้นเคยคิดอยากจะไปสถานที่อันแสนไกลกับเย่เฟิง ไปจากอาณาจักรจ้าว และไม่ยุ่งเกี่ยวกับเื่ทางโลกอีก แต่นางกลับทำไม่ได้ ประการแรก หากนางไปกับเย่เฟิง ทั้งสองจะต้องปิดบังตัวตนและใช้ชีวิตโดยไร้ซึ่งการต่อสู้ แต่เย่เฟิงโดดเด่นเพียงนั้น เขาจะเต็มใจไม่ยุ่งเื่ทางโลกและใช้ชีวิตกับนางอย่างสงบสุขได้หรือ? จ้าวซินอี๋ไม่อยากบังคับให้เย่เฟิงทำในสิ่งที่เขาไม่้า
ประการที่สอง หากนางปฏิเสธการหมั้นหมายกับเว่ยฉีเทียน แต่หนีไปกับเย่เฟิงโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใด อาณาจักรเว่ยจะต้องไม่รามืออย่างแน่นอน กระทั่งเปิดากับอาณาจักรจ้าวด้วยสาเหตุนี้ ถึงเวลานั้นทุกพื้นที่ในอาณาจักรจ้าวจะถูกปกคลุมด้วยเพลิงา ทุกชีวิตจักสูญสิ้น ประชาชนจะประสบกับหายนะ นี่คือสิ่งที่จ้าวซินอี๋ไม่้าเห็น
นางจะเห็นแก่ความสุขส่วนตัวแล้วทอดทิ้งประชาชนได้อย่างไร ดังนั้นนางจึงยอมเสียสละความสุขของตน เพื่อแลกกับความสงบสุขของปวงประชานับล้าน และในฐานะผู้หญิง จ้าวซินอี๋ก็เป็ผู้รักษาสัจจะคนหนึ่ง
เมื่อกลับถึงสำนักยุทธ์เทียนเสวียน เงาแผ่นหลังของจ้าวซินอี๋ก็ยังคงตราตรึงอยู่ในใจของเย่เฟิงไม่จางหาย เขาทอดถอนใจและสลัดความคิดออกไป ก่อนจะเข้าสู่สภาวะบำเพ็ญ
บัดนี้ตบะของเย่เฟิงเสถียรภาพแล้ว การโจมตีของเขาก็เพิ่มพูนขึ้นอีกครั้งหลังจากการบรรลุอำนาจไฟ ส่วนอำนาจหอกอยู่ในจุดวิกฤตระหว่างขั้นผันแปรและขั้นกายา ดังนั้นเย่เฟิง้าใช้เวลาสามวันนี้ในการยกระดับอำนาจหอกให้เป็ขั้นกายา ซึ่งตอนนี้เขาอยู่ที่ห้องฝึกแห่งหนึ่งในสำนักยุทธ์เทียนเสวียน ห้องแห่งนี้สามารถเลียนแบบและสำแดงพลังของผู้ฝึกได้ และเมื่อผ่านวิธีการเช่นนี้จะทำให้ผู้ฝึกเข้าใจพลังของตนได้อย่างลึกซึ้ง
อย่างไรก็ตามห้องฝึกแบบนี้มีเพียงสามห้องเท่านั้น ยามปกติจะมีแค่บุคคลระดับสูงของสำนักยุทธ์เทียนเสวียนจึงจะมีสิทธิ์ใช้ห้องฝึกนี้ แต่เย่เฟิงในฐานะอัจฉริยะอันดับหนึ่งของสำนักยุทธ์ ย่อมมีสิทธิ์ใช้ห้องฝึกนี้เช่นกัน
“วูบ ครืน!” ทันใดนั้นค่ายกลภายในห้องฝึกถูกเปิด ตามมาด้วยเสียงประหลาดดังขึ้นต่อเนื่อง จากนั้นมีปราณแหลมคมพวยพุ่งออกมาที่กลางห้อง ก่อนจะกลายเป็รังสีหอกอันคมกริบ
รังสีหอกไร้เงาไร้ลักษณ์ มันเคลื่อนไหวไปทั่วห้วงอากาศ ทันใดนั้นแสงเยือกเย็นสาดส่องทั่วห้องฝึก ทุกรังสีหอกล้วนคมกริบและอัดแน่นไปด้วยพลังสังหารที่น่าหวาดกลัวราวกับทะลวงทุกสิ่ง
“รังสีหอกทรงพลังมาก!” เย่เฟิงนิ่งอึ้ง จากนั้นเขาใช้ย่างก้าวดาวตกผีเสื้อหลบหลีกรังสีหอกพวกนั้นอย่างต่อเนื่อง
“ฟึ่บ!” หอกัเงินประกายพลันปรากฏในมือเย่เฟิง จากนั้นกระหน่ำแทงไม่หยุดยั้ง เพื่อเข้าปะทะกับรังสีหอกที่พุ่งเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง
“ฟิ้ว ครืน!” รังสีหอกมีจำนวนนับไม่ถ้วนและยังไร้เงาไร้ลักษณ์ เย่เฟิงจึงทำได้เพียงอาศัยประสาทััอันเฉียบไวของตนในการหลบหลีกและต่อต้าน แต่ก็ทำให้เขาหลีกเลี่ยงที่จะไม่าเ็จากรังสีหอกไม่ได้ ผ่านไปประมาณหนึ่งก้านธูป ตามตัวของเย่เฟิงก็เต็มไปด้วยาแหลายแห่ง ทั้งยังกระอักเืไม่หยุดจนเสื้อผ้าของเขาเปียกโชกไปด้วยเื
ทว่าเย่เฟิงกลับไม่สนใจสิ่งเหล่านี้ เขาจมอยู่ในสภาวะการปะทะกับรังสีหอกพวกนั้นที่พุ่งเข้ามาไม่หยุดยั้ง
อำนาจหอกขั้นผันแปร่ปลายถูกปลดปล่อย ทุกครั้งที่แทงหอกจะอัดแน่นไปด้วยพลังแห่งอำนาจที่ทรงอานุภาพ จนทั่วทั้งห้องต้องเต็มไปด้วยรังสีหอกนับไม่ถ้วน และทุกรังสีหอกมีพลังเพียงพอที่จะสังหารผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 1
หากเปลี่ยนเป็ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 1 คนอื่น คงไม่มีทางอยู่ในห้องฝึกนี้ได้นานเป็แน่ แต่อาจจะถูกรังสีหอกพวกนั้นไล่ออกจากห้องฝึก หรืออาจจะถูกโจมตีจนาเ็สาหัส ร้ายแรงที่สุดก็อาจจะสิ้นชีพ แต่เย่เฟิงกลับต่างออกไป เขาไม่เพียงแต่ไร้เทียมทานในหมู่ผู้ฝึกยุทธ์ระดับเดียวกัน แต่ยังมีพลังจิตที่เหนือกว่าผู้ฝึกยุทธ์ทั่ว ๆ ไป ผนวกกับความรู้ที่เขามีต่ออำนาจหอกอย่างล้ำลึก รวมทั้งท่าร่างอันน่ามหัศจรรย์ แม้เผชิญหน้ากับรังสีหอกทรงอานุภาพมากมายมหาศาลเช่นนี้ แต่ก็ต้านทานได้ง่าย ๆ ส่วนาแนั้นเป็สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว
เมื่อเวลาผ่านไป าแตามร่างเย่เฟิงมีมากขึ้นเรื่อย ๆ เสื้อผ้ามีแต่เืสีแดงฉาน สภาพก็ดูไม่ได้เช่นกัน
แต่เย่เฟิงกลับยืนหยัดอย่างไม่ย่อท้อ ไม่คิดจะหยุดการฝึกแต่อย่างใด นั่นเป็เพราะภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เย่เฟิงรู้สึกว่าศักยภาพทุกด้านของตนถูกยกระดับขึ้นไปอีกขั้น โดยเฉพาะศักยภาพด้านหอก เขายิ่งรู้จักมันมากขึ้นกว่าเดิม ทำให้รังสีหอกที่เย่เฟิงแทงออกไปทรงพลัง กระทั่งการควบคุมพลังแห่งอำนาจก็ดียิ่งขึ้นเช่นกัน
ขณะนั้นแสงแห่งอำนาจแผ่ปกคลุมร่างเย่เฟิง พลังแห่งอำนาจพวยพุ่งออกมาจนหอกัเงินประกายในมือค่อย ๆ หลอมรวมกับร่างเย่เฟิง ทำให้ทุกส่วนของร่างกายแฝงไปด้วยพลังแห่งอำนาจ
“พลังแห่งอำนาจกำลังจะหลอมกับร่างกาย นี่คือเวลาสำคัญ ข้าต้องทำให้ดี ๆ” เย่เฟิงคิดในใจ จากนั้นปลดปล่อยพลังจิตเพื่อเรียนรู้พลังแห่งอำนาจอันบริสุทธิ์นั่น
ไม่รู้ผ่านไปนานเพียงใด ความคิดของเย่เฟิงผสานเป็หนึ่ง พลังแห่งอำนาจที่โคจรรอบตัวก็ยังคงหลอมรวมกับร่างกายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเย่เฟิงรับมือกับรังสีหอกไร้ที่สิ้นสุด ขณะเดียวกันก็เรียนรู้พลังแห่งอำนาจที่หลั่งไหลสู่ร่างไปด้วย เพียงพริบตาก็ผ่านไปสองวัน อำนาจหอกที่หลอมรวมกับร่างเย่เฟิงนั้นก็ถึงจุดอิ่มตัวในที่สุด เมื่อผ่านการเรียนรู้ที่ลึกซึ้ง พลังแห่งอำนาจในกายก็แปรเปลี่ยนเป็พลังของตน
บัดนี้เย่เฟิงรับรู้ได้ถึงพลังอันบริสุทธิ์สายหนึ่งที่ไหลอยู่ในร่างกายเขา มันผสมผสานกับพลังหยวนในกายอย่างต่อเนื่อง ทำให้พลังโจมตีของเขาเปี่ยมด้วยพลังแห่งอำนาจที่ทรงอานุภาพ ร่างกายของเย่เฟิงราวกับเป็อำนาจหนึ่ง ซึ่งอำนาจหอกขั้นกายาเพียงแค่โจมตีสุ่ม ๆ ก็สำแดงรังสีหอกแห่งอำนาจที่กล้าแกร่งได้แล้ว ทั้งยังอัดแน่นไปด้วยพลังแห่งการทำลายล้างที่น่าทึ่ง
“สำเร็จแล้ว!” เย่เฟิงระบายยิ้มด้วยความดีใจ ผ่านการชำระล้างอำนาจหอกมาสองวัน ในที่สุดอำนาจหอกของเขาก็ทลายกำแพงขั้นผันแปร่ปลาย ก้าวเข้าสู่ขั้นกายา หลังจากอำนาจหอกบรรลุขั้นกายา พลังต่อสู้ของเย่เฟิงก็เพิ่มพูนขึ้นอีกครั้ง แม้ตบะจะยังอยู่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 1 แต่พลังแห่งอำนาจกับตบะขั้นพลังแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ตบะของผู้ฝึกยุทธ์จะแข็งแกร่งหรืออ่อนแอก็ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม ทรัพยากร พร์ และอื่น ๆ ส่วนพลังแห่งอำนาจขึ้นอยู่กับการเรียนรู้และสติปัญญา มีเพียงความเข้าใจของตน พลังเก่าจะก่อเกิดเป็พลังใหม่ และพลังใหม่นี้จะมีศักยภาพกว่าเก่าหลายเท่า
นี่ก็คืออำนาจ ผู้ฝึกยุทธ์หลายคนต่าง้าพลังเช่นนี้ แต่คนส่วนใหญ่ที่บรรลุขั้นยุทธ์แท้กลับไม่มีโอกาสััพลังนี้ เพราะสิ่งเหล่านี้จะขึ้นอยู่กับสติปัญญาของตนเองล้วน ๆ
อย่างไรก็ตามเหล่าอัจฉริยะผู้มีสติปัญญาอันล้ำเลิศมักจะเรียนรู้พลังแห่งอำนาจได้ แต่ที่อาณาจักรจ้าวมีไม่กี่คนที่บรรลุพลังแห่งอำนาจ ทุกคนที่บรรลุได้นั้นก็ล้วนเป็ยอดฝีมือ แต่อำนาจที่พวกเขาเรียนรู้ยังอยู่ขั้นพื้นฐาน มีคนจำนวนน้อยมากที่พลังแห่งอำนาจจะบรรลุขั้นผันแปร ส่วนผู้ที่มีพลังแห่งอำนาจขั้นผันแปร่ปลาย พวกเขามักจะใช้เวลาหลายสิบปี หรือกระทั่งเป็ร้อยปี
คนรุ่นเยาว์เฉกเช่นเย่เฟิง ผู้มีพลังแห่งอำนาจขั้นกายาแทบไม่มีเลย แม้แต่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์เทวะ อำนาจที่เรียนรู้ก็อยู่แค่ขั้นผันแปร่ปลายเท่านั้น
แต่เย่เฟิงที่อายุไม่ถึง 17 ปีกลับมีอำนาจอยู่สามชนิด อำนาจหอกในนั้นบรรลุขั้นกายาแล้ว สติปัญญาเช่นนี้เรียกได้ว่าผิดมนุษย์มนามาก แต่ในขณะที่เย่เฟิงเรียนรู้อำนาจหอกอยู่ในห้องฝึก ทุกกองกำลังในเมืองหลวงต่างได้รับเทียบเชิญ ซึ่งทางราชวงศ์เป็คนส่งเทียบเชิญนี้ เพื่อเชิญพวกเขาเข้าร่วมพิธีหมั้นระหว่างองค์ชายอาณาจักรเว่ยกับองค์หญิงอาณาจักรจ้าวที่จะจัดขึ้นในวังหลวง
เื่นี้สร้างความผันผวนให้กับเมืองหลวงไม่น้อย ทุกกองกำลังต่างเตรียมส่งผู้ฝึกยุทธ์ไปเข้าร่วมพิธีหมั้นนี้
สำนักยุทธ์เทียนเสวียนที่เป็หนึ่งในสี่สำนักยุทธ์ศึกษาแห่งอาณาจักรจ้าว ย่อมได้รับเทียบเชิญเช่นเดียวกัน
การหมั้นขององค์หญิงคือเื่น่ายินดี องค์าาแห่งอาณาจักรจ้าวจึงถ่ายทอดคำสั่งลงมา พระราชทานอภัยโทษและลดภาษีเหลือครึ่งหนึ่ง ทำให้ประชาชนรู้ซึ้งถึงความเมตตาขององค์าา ขณะเดียวกันทุกคนก็ให้ความสนใจกับพิธีหมั้นนี้
ผ่านไปอีกหนึ่งวัน เย่เฟิงออกจากการปิดด่าน ตอนนี้าแทั้งหมดของเขาหายเป็ปกติ ไม่เห็นแม้แต่รอยแผลเป็ ดวงตาลึกล้ำคู่นั้นก็เผยประกายเฉียบคม ประหนึ่งรังสีหอก แต่เย่เฟิงเพิ่งออกจากห้องฝึก เขาก็ถูกฉินเจิ้นถิงเรียกพบ
ภายในห้องที่ตกแต่งอย่างโอ่อ่า ฉินเจิ้นถิงกำลังจับด้ามพู่กันวาดภาพทิวทัศน์อย่างระมัดระวัง เมื่อเห็นเย่เฟิงเข้ามา เขาก็หยุดวาดภาพทันที แต่เมื่อเขาหันไปมองเย่เฟิงก็อดหลับตาเล็กน้อยไม่ได้ มิกล้าสบตาตรง ๆ
“อำนาจหอกของเ้ายกระดับอีกแล้วหรือ!” ฉินเจิ้นถิงกล่าวด้วยความประหลาดใจ ก่อนหน้านี้ความสำเร็จด้านอำนาจของเย่เฟิงล้ำหน้าเขาไปมาก บัดนี้เย่เฟิงยังบรรลุอีกครั้ง ช่างน่าหวาดกลัวยิ่งนัก
“ถูกต้อง” เย่เฟิงตอบกลับพลางยิ้มจาง ๆ
“งั้นตอนนี้อำนาจของเ้าอยู่ระดับอะไรแล้ว?” ฉินเจิ้นถิงเอ่ยถามเพื่อหยั่งเชิง
“ขั้นกายา” เย่เฟิงตอบกลับอย่างไม่ปกปิดใด ๆ
“อะไรนะ?”
เมื่อฉินเจิ้นถิงได้ยินคำตอบของเย่เฟิง เขาก็ต้องเบิกตาโพลงด้วยความใ
“อำนาจหอกของเ้าบรรลุขั้นกายาแล้วจริง ๆ งั้นหรือ?” ฉินเจิ้นถิงเอ่ยถามด้วยเสียงอันสั่นเทาเล็กน้อย เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีผู้ใดที่สามารถบรรลุพลังแห่งอำนาจขั้นกายาได้ แม้จะเป็เฒ่าจิงอาจารย์ของฉินเจิ้นถิง อำนาจที่ควบคุมอยู่ก็อยู่เพียงขั้นผันแปร่ปลาย และยังห่างกับขั้นกายามาก
ทว่าเย่เฟิงอายุยังไม่ถึง 17 ปี พลังแห่งอำนาจก็บรรลุขั้นกายาแล้ว เรียกได้ว่าวิปริตผิดมนุษย์มนา
