ไม่รอให้จิ่งฝานพูดต่อ อ๋าวหรานก็พลิกกระดาษในมือไปมา “หลังจากนั้นเ้าก็กลับไปหาพวกจ้าวตง เดิมทีคิดจะไปจัดการฝังศพเด็กในห้องใต้ดินให้เรียบร้อยแล้วจัดการพวกจ้าวตงไปด้วยเสียเลย แต่สุดท้ายกลับถูกเฒ่าหลิวน่ารังเกียจนั่นแสร้งทำตัวน่าสงสารหลอกเอาอีกจนเกือบจะได้แผลเก่าทับแผลใหม่อีกรอบ?”
จิ่งฝานหน้าร้อนขึ้นมา จากเขินอายก็กลายเป็โกรธแล้วชิงบันทึกการเดินทางในมือของอ๋าวหรานกลับไป “ไม่ต้องอ่านแล้ว”
อ๋าวหรานหัวเราะเสียงดัง ยังไม่ทันหัวเราะเสร็จก็ถือโอกาสตอนที่จิ่งฝานกำลังโกรธรีบพุ่งตัวไปบนโต๊ะเพื่อชิงบันทึกกลับมา แต่มือเพิ่งจะยื่นออกไปก็ถูกอีกฝ่ายจับเอาไว้แล้ว ดึงอยู่นานก็ดึงไม่ออกจึงอดโอดครวญออกมาไม่ได้ “ต้องทำถึงขนาดนี้เลยหรือ? ใจแคบเกินไปแล้ว เื่เล็กๆ น้อยๆ แค่นี้ก็ต้องแก้แค้นด้วย”
จิ่งฝานสาดสายตาไปมอง พูดน้ำเสียงอันตรายว่า “ใจแคบ?”
อ๋าวหรานถลึงตากลับไป “ยังไม่รู้ตัวอีก? รู้ตัวเสียบ้างก็ดีนะ”
จิ่งฝานแววตาดำคล้ำ มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย ทั้งร่างดูน่ากลัวยิ่งกว่าเดิม แรงมือที่จับข้อมืออ๋าวหรานอยู่ก็เพิ่มขึ้นหลายส่วนแล้วออกแรงแขนดึงเขาเข้ามา ทันใดนั้นร่างของอ๋าวหรานครึ่งหนึ่งก็ลงนอนพาดอยู่บนโต๊ะแล้ว หน้าอกที่ถูกคั่นไว้ด้วยผ้าครูดกับโต๊ะอย่างรุนแรงจึงรู้สึกเจ็บเล็กน้อย
เขากำลังคิดจะด่า แต่พอเงยหน้าขึ้นกลับพบว่าเขากับจิ่งฝานนั้นปลายจมูกแทบจะชนกันอยู่แล้ว ลมหายใจร้อนผ่าวของอีกฝ่ายแผ่กระจายลงบนหน้าของตน ทั้งอุ่นและชื้น ในดวงตาเรียวยาวนั้นสะท้อนเงาร่างของตัวเองอยู่ราวกับทั้งร่างถูกเขาขังไว้ในดวงตานั้นแล้วก็ไม่ปาน
ใกล้เกินไปแล้ว
รูขุมขนเล็กๆ บนใบหน้าของอีกฝ่ายก็ยังสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน อ๋าวหรานอดตกตะลึงไม่ได้ หนังตาสั่นสะท้านเล็กน้อยอย่างไม่ตั้งใจ ขนตาที่ดำยาวและละเอียดนั้นก็กะพริบขึ้นลงตามไปด้วย รูม่านตาดำราวกับขนกาทั้งคู่หดลงอย่างรุนแรง กลับแลดูน่าสงสารอยู่เล็กน้อย
“ขวัญอ่อนเสียจริง” เมื่อรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายถูกทำให้ใ จิ่งฝานก็หัวเราะออกมา น้ำเสียงเยาะหยันเต็มที่
...
มารดามันเถอะ อ๋าวหรานอดแอบด่าไปคำหนึ่งไม่ได้
ดูถูกกันเกินไปแล้ว
ภายในดวงตาสดใสคู่นั้นเริ่มมีไฟลุกโหมขึ้นมา มืออีกข้างที่ยังเป็อิสระนั้นกลับ เอื้อมไปบีบจมูกที่โด่งเป็สันของจิ่งฝานอย่างแรงสองที รวดเร็วเสียยิ่งกว่าการเดินทางของเสียงเข้าสู่หูคนเสียอีก บีบสะบัดจนผมข้างหูของเขาส่ายไปมา ปลายจมูกมีสีแดงขึ้นทันใดจนจมูกเริ่มแสบเล็กน้อย
น่าเสียดาย คิดจะทำเื่ชั่วกลับไม่คิดเผื่อทางหนีทีไล่ไว้ให้ตัวเองบ้าง เพราะมืออีกข้างยังถูกอีกฝ่ายจับไว้อยู่ ถึงอยากถอยหลังกลับก็คงทำไม่ได้จึงได้ถูกบีบไว้อย่างแรง
จิ่งฝานก็หาได้ออมมือไม่จึงใช้แรงเต็มที่ลากอ๋าวหรานออกมาจากโต๊ะ พลิกข้อมือแล้วรวบเขามาไว้ในอ้อมแขนอย่างแ่า แล้วแผ่นหลังของอีกฝ่ายก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าเขา ส่วนั้แ่ขาอ่อนลงไปยังคงพาดอยู่บนโต๊ะ โต๊ะเล็กๆ นั่นจึงถูกทำให้สั่นไหวอย่างแรงจนส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดออกมา
รวดเร็วเกินไปแล้ว อ๋าวหรานดึงสติกลับมาไม่ทันจึงถูกอีกฝ่ายกักไว้ในอ้อมแขนอย่างรุนแรง แผ่นหลังแนบชิดไปกับเขา ไม่สามารถออกแรงได้แม้แต่น้อย อีกมือหนึ่งอยากจะเอื้อมไปด้านหลังเพื่อไปตบหัวจิ่งฝาน แต่แล้วก็กลับถูกจับไว้อีก ข้อมือทั้งสองจึงถูกมือใหญ่เพียงข้างเดียวของอีกฝ่ายจับเข้าไว้ด้วยกันอย่างแ่า
การกระทำทั้งหมดนี้เสร็จสิ้นภายในชั่วพริบตา อ๋าวหรานตกลงสู่กรงขังของอีกฝ่ายจนหายใจเหนื่อยหอบ แต่กลับมองไม่เห็นสายตาเหนือศีรษะของอีกฝ่ายที่ดำมืดลงแล้วยังแฝงไปด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อย อ๋าวหรานพยายามดิ้นอย่างเอาเป็เอาตาย พูดด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราดว่า “เ้าเด็กบ้า ปล่อยนะ ข้าจะสู้กับเ้า!”
ถึงแม้จะเป็ไปไม่ได้เลยที่จะชนะ แต่จะให้ความน่าเกรงขามต้องมาแพ้ไม่ได้
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เหนือศีรษะก็มีเสียงหัวเราะแ่เบาลอยมาทันที เป็เสียงหัวเราะที่แหบต่ำเต็มไปด้วยกลิ่นอายของบุรุษเพศ แต่ก็ยังแฝงความเยาะหยันไว้เช่นเดิม “แม้แต่สลัดยังไม่หลุดด้วยซ้ำ ยังจะสู้อะไรได้อีก?”
เมื่อเ้าอยู่ในมือข้าก็ทำอะไรไม่ได้ทั้งนั้น...ตลอดไป
อ่อนแอราวกับลูกสัตว์ตัวน้อยก็ไม่ปาน เมื่อถูกนักล่าที่ยิ่งใหญ่ควบคุมไว้แล้วยังคิดจะแสดงเขี้ยวเล็บอะไรอีก จิ่งฝานแค่อยากให้เขามองสถานการณ์ตอนนี้ให้ชัดเจน
อ๋าวหรานคิดอยากจะะเิลงอีกรอบ อีกฝ่ายโอหังเกินไปแล้ว ทำเขาแค้นจนรู้สึกเข็ดฟันยิ่ง แต่ร่างกายท่อนบนกลับถูกอีกฝ่ายกักขังไว้ในอ้อมแขนเสียแล้วจนไม่มีแม้แต่แรงจะต่อต้านเลยสักนิด
โชคดีที่เท้ายังเป็อิสระอยู่ อ๋าวหรานจึงออกแรงที่่เอวแล้วเตะขาขวาขึ้นบน พุ่งเป้าไปที่ศีรษะของจิ่งฝาน
จิ่งฝานหันศีรษะหลบ อ๋าวหรานกำลังรอให้เขาหลบอยู่พอดี ขาขวายังไม่ทันถึงพื้น ่เอวก็ออกแรงแล้วเตะขาซ้ายขึ้นไปอีก หน้าแข้งจึงปะทะเข้ากับศีรษะของจิ่งฝานอย่างพอดิบพอดี นับเป็ท่าที่ค่อนข้างมีความยากยิ่ง ถ้านี่เป็ภาพยนตร์ย้อนยุคในปัจจุบัน ฉากนี้ก็เรียกได้ว่าเป็ฉากต่อสู้อันดุเดือดน่าตื่นเต้นฉากหนึ่งเลยทีเดียว
ไม่รู้ว่าศีรษะของฝ่ายเป็อย่างไรบ้าง แต่หน้าแข้งเขาเริ่มชาแล้ว ด้วยการกระทำนี้จึงทำให้อีกฝ่ายคลายมือออกเล็กน้อย
ได้โอกาสแล้ว!
กำลังคิดจะหนีออกไป กลับไม่คิดว่าปฏิกิริยาตอบกลับของอีกฝ่ายนั้นรวดเร็วมาก แรงที่มือจึงเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลทันที อ๋าวหรานยังไม่ทันได้หยัดกายขึ้นก็ถูกรั้งกลับไปเหมือนเดิมแล้ว
ไปๆ มาๆ ตอนนี้อ๋าวหรานเริ่มเหงื่อโซมกายแล้ว แล้วยังทำให้คนเหนือศีรษะโกรธขึ้นมาแล้วจริงๆ จึงออกแรงกดคนในอ้อมแขนให้แน่นขึ้น อ๋าวหรานรู้สึกว่ากระดูกของตัวเองเแทบจะถูกป่นเป็ผุยผงอยู่แล้ว
คนเหนือศีรษะใช้มือข้างหนึ่งดึงคางให้ศีรษะเขาหันไปทางขวาแล้วก้มศีรษะลง โดยไม่ทันให้อ๋าวหรานได้รู้สึกสั่นกลัว อีกฝ่ายก็กัดลงมาอย่างรุนแรงบนบ่าเขา หาได้ออมแรงสักนิดไม่!
“อ๊า…” เมื่อถูกกัดไปทีหนึ่ง อ๋าวหรานก็เจ็บจนต้องร้องออกมา
“ซี้ด...ปล่อยนะ เจ็บ...” เสียงพูดว่า ‘เจ็บ’ คำนั้นสั่นเล็กน้อย
จิ่งฝานกลับยิ่งออกแรงมากกว่าเดิม
อ๋าวหรานพยายามดิ้นจนโต๊ะสั่นไปด้วย ร่างกายท่อนบนไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย เจ็บขนาดนี้เืต้องออกแล้วแน่ๆ
ในเมื่อดิ้นไม่หลุด อ๋าวหรานที่เจ็บจนลืมสิ้นทุกอย่างแล้วนั้นก็ก้มหน้า อ้าปากแล้วกัดลงไปอย่างรุนแรงบนข้อมือของอีกฝ่าย แค่ครู่เดียวในปากก็ได้กลิ่นเืแล้ว
เมื่อรับรู้ได้ถึงรสและกลิ่นเื อ๋าวหรานก็รีบปล่อยแล้วถุยออกมาหลายครั้ง แต่ในลำคอกลับยังเต็มไปด้วยรสเื
เมื่อเห็นว่าเขาปล่อยแล้ว จิ่งฝานก็ผ่อนแรงฟัน ค่อยๆ เงยศีรษะขึ้น
อ๋าวหรานซึ่งกำลังคิดจะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกก็กลับไม่เห็นว่าจิ่งฝานจะปล่อยมือแม้แต่น้อย จึงสูดลมหายใจแล้วดันท้องแขนไปด้านหลัง “ยังไม่ปล่อยมืออีก เสมอกันแล้วนะ ห้ามเอาคืนอีกล่ะ!”
เขาถูกเสียงนี้ทำให้ดึงสติกลับมาได้ จิ่งฝานจึงค่อยๆ คลายมือลง ดวงตายังคงดำมืด
เมื่อได้รับอิสระ อ๋าวหรานก็รีบถอยห่างไปสามฉือ1 ก่อนออกห่างยังไม่ลืมแย่งบันทึกการเดินทางที่ถูกโยนไปบนตั่งมาด้วย ระหว่างที่ขยับตัว รอยฟันบนบ่าก็เสียดสีเข้ากับเสื้อผ้า เจ็บจนอ๋าวหรานต้องซี้ดปาก
โหดร้ายเกินไปแล้ว ไม่เคยเจอผู้ใดร้ายกาจเท่านี้มาก่อน
ใจแคบเกินไปแล้ว
แล้วด่ากราดไปทีหนึ่งว่า “เ้าต้องเกิดปีจอแน่ๆ”
พอจิ่งฝานสาดสายตามา อ๋าวหรานก็เงียบเสียงลง
มารดามันเถอะ หาเื่ไม่ได้...หาเื่ไม่ได้เลยจริงๆ
เมื่อออกห่างจากเขามาหลายเมตรแล้ว อ๋าวหรานถึงค่อยผ่อนคลายลง พลิก บันทึกการเดินทางในมือไปมา ถึงแม้จะถูกทับจนยับยู่ยี่ไม่เป็รูปเป็ร่าง แต่อย่างน้อยก็ยังสมบูรณ์ดี แต่ก็อดลูบปลายนิ้วไปที่รอยฟันบนบ่าไม่ได้ เจ็บจนต้องสูดลมหายใจอีกรอบ รู้สึกอดเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันไม่ได้ “เ้านี่ทำรุนแรงเกินไปแล้วกระมัง”
แล้วจิ่งฝานก็ยื่นข้อมือออกมาให้เขาดู...เืไหลเป็ทาง
เยี่ยม ถือว่าข้าไม่ได้พูดก็แล้วกัน
“วันหน้าหากจะสู้กัน พวกเราค่อยมาสู้กันอย่างผ่าเผย เช่นนี้ราวกับคนบ้าตีกันก็ไม่ปาน”
จิ่งฝานเลิกตาขึ้นครึ่งหนึ่ง ส่งเสียงดังเฮอะออกมาเบาๆ “เ้าสู้ได้หรือ? ผลสรุปไม่เหมือนกันตรงไหน?”
...
เช่นนั้นถือเสียว่าข้าไม่ได้พูด!
“ไปล่ะ วันนี้ทั้งวันข้าไม่อยู่กับเ้าแล้ว ไม่เช่นนั้นคงรู้สึกอยากจะเชือดเ้าขึ้นมาจริงๆ” อ๋าวหรานโกรธเกรี้ยว พูดพลางก็เดินไปที่หน้าประตูพลาง
จิ่งฝานเลิกคิ้ว แววตาซับซ้อน
แค่เปิดประตูลมก็หอบหิมะพัดเข้ามาแล้วร่วงลงบนใบหน้าทีละเกล็ดๆ รู้สึกเย็นไปทั้งร่าง ซึ่งประจวบเหมาะกับเมื่อครู่ที่เพิ่งจะเหงื่อออกพอดีจึงช่วยทำให้ความร้อนที่ไม่รู้มาจากไหนสงบลงได้
แต่ทันทีที่เท้าข้างหนึ่งเหยียบประตู อ๋าวหรานก็นึกอะไรขึ้นมาได้จึงหันศีรษะไปถามว่า “อิทธิพลที่อยู่เื้ัพวกเมิ่งชิงภายหลังสืบรู้หรือไม่?”
จิ่งฝานมองบ่าที่ถูกเขาใช้มือปิดไว้ซึ่งยังพอมองเห็นรอยฟันที่ซ่อนไว้ได้อยู่รางๆ กลืนน้ำลายลงคอแล้วส่ายหน้า “ไม่เลย รู้แค่เพียงว่าเรียกกันว่า ‘นายหน้า’ ส่วนเื่อื่นล้วนสืบอะไรไม่ได้สักอย่าง พวกเขาปากแข็งมาก จนตายก็ไม่ยอมพูด”
“ตายแล้วหรือ?” อ๋าวหรานพูดอย่างตกตะลึง จิ่งฝานในตอนนั้นน่าจะยังไม่ฆ่าพวกเขามิใช่หรือ
“อืม”
“ตายได้อย่างไร? หรือถูกพวกเ้าฆ่า?”
“ไม่ใช่ ฆ่าตัวตาย”
“ฆ่าตัวตาย?! โหดขนาดนั้นเลยหรือ?” คนพวกนี้ช่างไม่รักชีวิตเลยเสียจริง อ๋าวหรานรู้สึกยากจะเชื่อ “เช่นนั้นภายหลังพวกเ้ายังสืบอยู่อีกหรือไม่?”
“สืบ” จิ่งฝานพยักหน้า “แต่ก็สืบอะไรไม่ได้เลย อิทธิพลของอีกฝ่ายเกี่ยวพันกันอย่างซับซ้อน แล้วยังจัดการอย่างเข้มงวด แต่ละที่ล้วนไม่เหมือนกัน การกระจายตัวก็ไม่มีกฎระเบียบใดๆ ยากจะหาจุดเชื่อมโยงที่คล้ายกัน จึงไม่รู้ว่าควรเริ่มลงมือจากตรงไหน”
ลึกเกินไปแล้ว แผ่นดินใหญ่นี้ช่างอยู่น้ำลึกเสียจริง ส่วนตระกูลต่างๆ ที่ลอยอยู่เหนือน้ำเกรงว่าคงเป็เพียงกลุ่มอิทธิพลที่เห็นได้ชัดเจนเท่านั้น ส่วนที่ลึกลงไปยังมีที่ไม่รู้อีกมาก หากเกิดความวุ่นวายขึ้นมาเกรงว่าคงจะวุ่นเสียจนฉุดไม่อยู่แน่
หลังจากอ๋าวหรานจากไป จิ่งฝานก็ยกมือขึ้นมองร่องรอยบนข้อมือ รอยฟันลึกๆ กลุ่มหนึ่ง...เยี่ยมมาก คนผู้หนึ่งกลับทิ้งร่องรอยไว้ให้ฝ่ายตรงข้าม
หลังจากจ้องมองรอยฟันนี้เสียเนิ่นนาน แววตาก็เปลี่ยนไป ในที่สุดจิ่งฝานก็ยกข้อมือขึ้นมาไว้ตรงหน้าของตัวเอง แล้วค่อยๆ ก้มหน้าลง เข้าใกล้รอยฟันไปทีละนิด
สามฉือ1 (三尺)หมายถึงสามฟุต