“ท่านหลิง แม้คำพูดของจ้าวจือชิงไม่น่าฟัง แต่ว่าการที่ไม่ให้คำนับท่านเป็พ่อบุญธรรม กลับมีเหตุผล” ชีเหนียงยื่นมือไปขวางเขา “ท่านเป็ถึงหัวหน้าโรงแพทย์หลวง เราเป็เพียงครอบครัวต่ำต้อยย่อมไม่อาจเอื้อม
ส่วนขาของลูกใหญ่ที่ได้รับความดูแลจากท่าน ค่ายาเท่าใด วันข้างหน้าเราต้องสะสางให้ชัดเจน เื่นับญาตินั้นก็ถือเป็โมฆะดีกว่า”
ใช่ว่าชีเหนียงไม่อยากนับญาติ เพียงแต่รู้สึกว่าตนเองโดนหลอก ถึงขนาดที่ว่าใกล้จะเป็ครอบครัวเดียวกันแล้ว แต่หลิงชางไห่กลับไม่เคยเปิดเผยเื่ราวของตนเองให้ฟังแม้สักนิด หากคนผู้นี้ยังมีเื่ปิดบังพวกนาง แล้วภายภาคหน้าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นพวกนางจะทำเยี่ยงไร?
เกิดคนผู้นี้ก่อเื่ในเมืองหลวงและมาหลบภัยที่อำเภอเฉา นางเป็ผู้ใหญ่ไม่เท่าไหร่ เพราะมีชีวิตมาสองชาติก็คุ้มค่าแล้ว แต่ลูกๆ ทั้งหลายยังมีชีวิตดีๆ รออยู่
“แม่หนูน้อย! ทำเช่นนี้ไม่ได้นะ! ข้ายอมรับว่า เริ่มแรกข้ามีใจคิดจะอยู่ที่นี่ เพียงเพื่ออยากมีข้าวร้อนๆ กินสักคำ เพียงแต่ต่อมา ข้าเห็นพวกเ้าคือครอบครัวจริงๆ นะ!”
หลิงชางไห่ถูกชีเหนียงพูดเช่นนี้พลันรู้สึกเสียใจจริงๆ ไหลไหลน้อยก้าวเท้าน้อยๆ วิ่งไปกอดเขาไว้
“ท่านแม่ ข้าชอบท่านปู่หลิง ข้าไม่อยากให้เขาไป! ท่านแม่ อย่าไล่ท่านปู่หลิงไปเลยนะ!” ไหลไหลน้อยมองชีเหนียงด้วยสายตาวิงวอน กระทั่งลั่วจิ่งซีก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ย
เพียงแต่เขาชำเลืองเห็นสายตาห้ามปรามจากมารดา อ้าปากได้เล็กน้อยแล้วก็ต้องหุบลงอย่างคนขลาด
ทั้งบ้านมีเพียงลั่วจิ่งเฉินที่เข้าใจความคิดของชีเหนียง เพียงแต่เมื่อเขาเงยหน้ามองสายตาที่วาววับของจ้าวจือชิง ฉับพลันก็รู้ว่าไม่ใช่แค่เพียงเขาผู้เดียวที่ล่วงรู้ความคิดของลั่วชีเหนียง
คนคนนี้ไม่ได้สติไม่ดีดั่งที่คาดจริงๆ! เพียงแค่เวลาสั้นๆ กลับเข้าใจนางถึงเพียงนี้!
“ท่านแม่ ท่านหลิงปิดบังเรา เขาทำไม่ถูกต้อง แต่ระยะเวลาที่อยู่ที่นี่ท่านหลิงก็ปฏิบัติต่อเราอย่างจริงใจเช่นกัน” ลั่วจิ่งเฉินขยับร่างกายไปเบียดจ้าวจือชิงให้ออกห่างจากนาง “แน่นอนว่าหากท่านแม่ไม่อยากนับญาติ เราก็ไม่มีทางห้ามแน่นอน”
หลิงชางไห่เพิ่งรู้ว่าลั่วชีเหนียงเหตุใดจึงโกรธเคืองเช่นนี้ จากนั้นจึงปล่อยไหลไหลน้อยและเดินไปสารภาพผิดกับชีเหนียง
คำเรียกท่านแม่ของลั่วจิ่งเฉิน ทำเอาชีเหนียงใเป็อย่างมาก ไม่ทันรอให้นางได้คิดใคร่ครวญว่าเกิดอะไรกับลั่วจิ่งเฉิน ก็ได้ยินเสียงของหลิงชางไห่พูดขึ้นมา
“ข้าไม่เคยคิดอยากปิดบังพวกเ้า นอกจากนี้ ข้าไม่ได้ทำงานมานานแล้ว ยามนี้ได้เกษียณและกลับบ้านเกิด หากไม่ใช่เพราะจำต้องใช้ตำแหน่งกดพวกคนในศาลไว้ ไม่ว่าอย่างไรข้าก็คงไม่มีทางเปิดเผยตัวตนแน่” หลิงชางไห่ปาดน้ำตาและแอบสังเกตชีเหนียงเล็กน้อย “ข้านั้นน่าสงสารนัก! เดิมคิดว่าอยากใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสงบสุข ตอนนี้กลับไม่สงบสุขเสียแล้ว ไม่แน่ว่าคนพวกนั้นคงมาหาข้าในวันรุ่งขึ้น ชีวิตที่สงบสุขของข้าคงไม่มีวันย้อนกลับได้แล้ว!”
“ข้าช่างน่าสงสาร! อายุปูนนี้ ยังถูกคนเล่นงาน ชีวิตข้าช่างอาภัพ! ไม่ง่ายดายกว่าจะได้ลูกสาวที่ใส่ใจและหลานที่น่ารัก กลับหมดสิ้นแล้ว ใครใช้ให้เ้าปากพล่อย เ้าคนปากพล่อย เ้าไม่ควรพูดมาก”
หลิงชางไห่แสร้งทำเป็ตบปากตนเอง ชีเหนียงมีหรือจะไม่รู้ว่าเขาจงใจ
นางเพียงแค่้ารู้ตื้นลึกหนาบาง ตอนนี้เขาบอกมาแล้ว แต่ไฉนตนเองกลับดูเหมือนเป็คนร้ายในสายตาของลูกๆ แทนกันนะ
“พอเถอะ อายุปูนนี้แล้วยังไม่รู้จักอาย ไม่รู้สึกเขินบ้างเลยนะ”
ชีเหนียงพูดออกมาเช่นนี้ หลิงชางไห่จึงรับรู้ได้ว่าเื่ราวถือว่าผ่านพ้นไปแล้ว
“แม่หนู เ้าวางใจได้ เื่ที่เ้าห่วงจะไม่เกิดขึ้น ชั่วชีวิตนี้ข้าอยู่ในกรอบ แม้ว่าจะมีความลับอยู่บ้าง แต่เื่เบื้องหน้านั้นล้วนชัดเจนกระจ่างแจ้ง”
ชีเหนียงพยักหน้า “ท่านอย่าโทษข้าที่ระแวง ลูกในบ้านหลายคน ข้าไม่คิดเพื่อตนเองก็ต้องคิดเพื่อพวกเขา”
“ข้ารู้ ข้ารู้ ในใจของเ้ามีเด็กๆ พวกนี้ ข้าเข้าใจหมด” หลิงชางไห่เห็นนางคุยง่ายขึ้น จึงถามอย่างไม่แน่ใจ “เช่นนั้นเราจะจัดพิธีนับญาติกันเมื่อใด?”
“รอผ่านไปสัก่ก่อน ตอนนี้คลื่นลมเพิ่งผ่านพ้น ยังไม่เหมาะให้ทำอะไรเอิกเกริกนัก”
คำพูดของชีเหนียงเป็การปลอบโยนให้เขาสบายใจอย่างไม่ต้องสงสัย
“ข้าอาศัยโอกาสนี้บอกกับพวกเ้าหน่อย ต่อไปกิจการชานมจะไม่ใช่ของสกุลลั่วเราแล้ว” เมื่อครู่ชีเหนียงคิดได้แล้ว ไม่ว่าจะยุคสมัยใด ที่พึ่งพิงเื้ัล้วนสำคัญอย่างมาก
คนอื่นดิ้นรนอยากหาที่พึ่งพิง ตอนนี้ที่พึ่งพิงมาเสนอถึงที่ เช่นนั้นนางยังจะเล่นตัวอะไรอีก
ชื่อเสียงเรียงนามเป็ของผู้ใดจะสำคัญอะไร กำไรอยู่ในมือเรา นางก็เลี่ยงปัญหาได้ มันคือการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว
“ข้าตัดสินใจร่วมกิจการกับหยางฮูหยิน ต่อไปร้านค้าจะแขวนป้ายชื่อของพวกเขา พวกเราเพียงแค่ขายแรงงานและฝีมือ”
แน่นอนว่านี่เป็เพียงกลยุทธ์ชั่วคราว หากวันหนึ่งตนเองยืนด้วยลำแข้งได้แล้ว การจะขยายธุรกิจก็เป็แค่เื่เล็ก
พูดจบ ชีเหนียงก็ไปบ้านผู้ใหญ่บ้าน ไม่ว่าเยี่ยงไร เื่นี้ก็ต้องบอกกับพี่หลิวก่อน หากร่วมทำธุรกิจนี้กับตู้ิเจวียน ปันผลจากกำไรสองส่วนของพี่หลิวนางอาจจะรักษามันไว้ไม่ได้
“ข้าน่ะไม่เป็ไร แต่ว่า…” พี่หลิวห่วงนางเล็กน้อย กิจการดีๆ ต้องยกให้เป็ของคนอื่น สำหรับการวางแผนของชีเหนียง พี่หลิวพอรู้อยู่ระดับหนึ่ง
นางรู้ว่าชีเหนียง้าต่อเติมบ้านใหม่ก่อนปีใหม่ รู้ว่านางอยากทำหลุมดินในบ้าน ยังรู้อีกว่านางอยากให้เด็กๆ ได้อิ่มท้อง มีเครื่องนุ่งห่มและได้เล่าเรียนศึกษา แต่ละเื่นั้นมีสิ่งใดบ้างไม่ต้องใช้เงิน
“ทว่าก็ดี ้ามีคนคุ้มกะลาหัว หากมีเื่อะไรอีกก็มีคน้าคอยค้ำยันให้ เป็การเลี่ยงปัญหาได้บ้าง” พี่หลิวกลัวว่าคนที่เข้มแข็งอย่างนางจะดื้อรั้นอีก จึงพยายามชักแม่น้ำทั้งห้ามาพูดถึงประโยชน์ของการยกกิจการให้กับตู้ิเจวียน
“ข้าก็คิดเช่นนั้น ตอนนี้รากฐานของเราเปราะบาง แม้กิจการจะสร้างเงินให้แค่ไหน ก็จำเป็ต้องมีบุญวาสนาหนุนนำด้วย ตอนนี้นี่คือทางเลือกที่ดีที่สุด”
ชีเหนียงคือคนที่เด็ดขาด ในเมื่อตัดสินใจแล้ว ก็ตื่นแต่เช้าไปหาตู้ิเจวียน
......
“ข้าเองไม่มีเงื่อนไขใดๆ เพียงแค่ช้อนหลอดดูดจำต้องสั่งทำจากช่างไม้หลี่ในหมู่บ้านต้าสือ แก้วดินเผาก็ต้องใช้อันที่เคยใช้มา”
ตอนนี้ที่ชีเหนียงทำได้คือรักษาสิทธิ์ให้หลิวเหยียนกับช่างไม้หลี่ แม้ว่าตอนแรกหลิวเหยียนจะช่วยเหลือตนเองเพราะเห็นแก่พี่หลิว จึงยอมลดราคาค่าผลิตลงและเร่งผลิตสินค้ามาส่งให้ตนเองก่อน น้ำใจเหล่านี้นางไม่อาจลืมได้
สำหรับเงื่อนไขที่ชีเหนียงกล่าวมา ตู้ิเจวียนเองก็คิดได้
“รู้อยู่แล้วว่าเ้าคือคนที่ให้ความสำคัญกับเพื่อนฝูง วางใจได้ เื่เหล่านี้ข้าตามใจเ้า” ตู้ิเจวียนรู้สึกว่าตนดูคนไม่ผิด บวกกับรู้สึกผิดในใจที่ฉวยวิกฤติของนางให้เป็โอกาสของตน ด้วยเหตุนี้ขอเพียงไม่เกินกว่าเหตุไป นางก็จะรับปากทั้งหมด
“กำไรของร้าน เ้าหกข้าสี่ เ้าอย่าได้ปฏิเสธเลย สูตรทั้งหมดเป็ของเ้า คนที่ลำบากตรากตรำก่อตั้งกิจการก็คือเ้า ข้าเพียงแค่ลงทุนร้านค้า ได้สี่ส่วนถือว่าเอาเปรียบมากแล้ว”
ชีเหนียงคาดไม่ถึงว่าตู้ิเจวียนจะยอมถอยให้ถึงขั้นนี้ ทำให้นางรู้สึกว่าตนเองเป็คนใจแคบอยู่บ้าง
“เอาล่ะ อย่างอื่นยังไม่ต้องพูดถึง นี่คือหนังสือสัญญา เ้าดูก่อน หากไม่มีอะไรแล้ว เราไปดูร้านกัน ข้าเฝ้าคอยการตกแต่งที่เ้าพูดถึงอย่างมาก”
ตู้ิเจวียนเกิดความคิดนี้ก็เพราะตอนที่จัดงานเลี้ยงวันเกิดของหยางหนิงครั้งนั้น เคยได้ยินชีเหนียงพูดถึงสถานที่แสนสบายในการดื่มชานม นางจึงมีความคิดที่อยากจะเห็นมันสักครั้ง ว่าการตกแต่งที่ชีเหนียงพูดไว้มันมีหน้าตาเช่นใด
-----