ณ เมืองตงหลิง ในจวนเ้าเมือง
่นี้เสิ่นว่านโหลวสบายใจยิ่ง ไม่เพียงมีชนชั้นสูงคอยดูแล ผลประโยชน์ของเมืองตงหลิงเขาก็ได้ส่วนแบ่งไม่น้อย บรรยากาศทั้งในและนอกจวนอบอวลไปด้วยความรื่นเริง
ทว่าหลังจากสายลับคนหนึ่งเข้ามาในห้องตำรา ภายในห้องก็เกิดเสียงดังขึ้นทันที ก่อนจะมีเสียงะโด่าของเสิ่นว่านโหลว!
“เ้าว่าอะไรนะ! หายไปแล้วหรือ?”
เสิ่นว่านโหลวส่งคนไปจับตาดูพี่น้องตระกูลจั๋วกับลุงเยี่ยนอยู่ตลอด ทว่าเมื่อตอนเช้าตรู่กลับมีรายงานบอกว่าพวกเขาสามคนหายตัวไปแล้ว! จะให้เสิ่นว่านโหลวดีใจได้อย่างไร?
“ใช่แล้ว ท่านเ้าเมือง”
สายลับก้มหน้ากล่าวด้วยอารมณ์ตึงเครียด “จากการตรวจสอบของพวกเรา พวกเขาสามคนน่าจะหายไปพร้อมกัน อาจจะมีเส้นทางลับ...ถึงอย่างไรจั๋วฟู่ไห่ก็ทำการค้าในเมืองตงหลิงมาหลายสิบปี ไม่มีทางที่จะไม่เตรียมทางหนีให้ตัวเอง”
เสิ่นว่านโหลวเดินวนไปมา ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงกล่าวว่า “แล้วพวกจั๋วไท่หยวนว่าอย่างไร?”
“เรียนท่านเ้าเมือง จั๋วไท่หยวนปิดประตูจวนจั๋วแล้ว กำลังตรวจสอบทุกตารางนิ้ว แต่ตอนนี้ยังไม่พบเบาะแสใดๆ ทำได้เพียงยืนยันว่าเหตุเกิดเมื่อวานตอนบ่าย อีกทั้งพี่น้องตระกูลจั๋วฉลาดมาก พวกเขาขับไล่คนรับใช้ทุกคนออกไป จั๋วไท่หยวนจึงมิอาจถามหาความผิดใครได้...ใช่แล้วพวกเขามิได้เอากำไลสื่อิญญาไปด้วยซ้ำ ต่อให้ใช้ดวงตามหาสุญญตาก็มิอาจหาร่องรอยของพวกเขาพบ”
เมื่อได้ยินคำตอบของสายลับ เสิ่นว่านโหลวตัดสินใจทันที “่นี้เมืองตงหลิงตรวจเข้มงวด คนเข้าออกมีไม่มาก ถ้าพวกเขาออกจากเมืองน่าจะทิ้งร่องรอยเอาไว้บางส่วน...”
จากนั้นเสิ่นว่านโหลวออกคำสั่ง “ตรวจสอบ ไปตรวจสอบข้อมูลของทุกคนที่ออกจากเมืองใน่นี้! จากนั้นติดต่อกับจุดส่งข่าวทั้งหมด สร้างเครือข่ายค้นหาเบาะแสของพวกจั๋วอวิ๋นเซียน ตอนนี้พวกเขาไม่ต่างจากคนธรรมดา ต่อให้หลบหนีออกจากเมืองตงหลิงไปได้ ก็คงไม่มีทางออกจากเขตชายแดนไปได้ไกลนัก”
“รับทราบ ท่านเ้าเมือง!”
เมื่อสายลับถอยกลับไป เสิ่นว่านโหลวใช้กำไลสื่อิญญาติดต่อกับซีโหลวเหวินอวี่ทันที
……
บนทางหลวงตงเหยียน มีรถม้ากำลังวิ่งมุ่งหน้าไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ
และในเวลานี้เองมีลำแสงสิบสายพุ่งผ่านท้องฟ้ามาขวางทางด้านหน้าของรถม้า
“หยุด!”
ทหารเกราะทมิฬสิบคนะโลงมาจากล้อเหินเวหา ผู้นำก็คือแม่ทัพค่ายที่สามแห่งกองทัพเกราะทมิฬ...เหลียนเว่ยฉี
รถม้าเปิดออก ชายชราผอมแห้งคนหนึ่งเดินออกมาจากรถ ประสานมือกล่าวด้วยความเกรงใจ “ข้าหวังเจิ้งหยาง เป็อาจารย์ของสถาบันเซียนตงหลิง ท่านแม่ทัพทุกท่านโปรดหลีกทางด้วย”
ใช่แล้ว ชายชราคนนี้ก็คืออาจารย์เฒ่าของสถาบันเซียนตงหลิง และเขาก็คือคนเดียวที่จั๋วอวิ๋นเซียนสามารถขอร้องให้ช่วยได้
คนที่มีป้ายพิเศษสำนักเซียนเทียนซู แสดงว่าสถานะของหวังเจิ้งหยางคงไม่ธรรมดาแน่ อย่างน้อยเมื่อก่อนต้องมีสถานะสูงส่ง และหวังเจิ้งหยางมอบป้ายพิเศษให้จั๋วอวิ๋นเซียนอย่างไม่ลังเล แสดงว่าเขาเห็นจั๋วอวิ๋นเซียนเสมือนศิษย์ของตัวเอง ตั้งความหวังกับจั๋วอวิ๋นเซียนไว้สูงมาก ต้องไม่มีเจตนาร้ายแน่
จากที่รู้จักกันมาหกปี จั๋วอวิ๋นเซียนจึงรู้ว่านิสัยของอาจารย์เฒ่าเป็คนรักคุณธรรม ดังนั้นเขาไม่กังวลว่าอาจารย์เฒ่าจะไม่ช่วยเหลือ
“ที่แท้ก็เป็อาจารย์ของสถาบันเซียนนี่เอง เสียมารยาทแล้ว!”
เหลียนเว่ยฉีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย แสดงท่าทีค่อนข้างเกรงใจ “ข้าคือแม่ทัพค่ายที่สามของกองทัพเกราะทมิฬเหลียนเว่ยฉี ได้รับคำสั่งจากจอมทัพให้มาจับคนร้ายหลบหนี ท่านอาจารย์โปรดให้ความร่วมมือด้วย”
สถาบันเซียนอยู่ในการดูแลของสำนักเซียน และสำนักเซียนก็คือรากฐานการสืบทอดวิถีเซียน ได้รับการคุ้มครองจากพันธมิตรศักดิ์สิทธิ์ ทั้งพึ่งพาอาศัยราชสำนักและควบคุมกันและกันอีกด้วย ว่ากันตามจริงแล้วหากมีเื่ที่เกี่ยวพันถึงสำนักเซียน แม้แต่ฮ่องเต้ก็ไม่อยากยุ่งเกี่ยว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกเหลียนเว่ยฉี
“ข้างกายของข้ามีศิษย์คนหนึ่งจริงๆ กำลังเตรียมตัวไปเข้าศึกษาที่สำนักเซียนเทียนซู ไม่ได้ทำผิดอะไร ท่านแม่ทัพโปรดกลับไปเถอะ”
หวังเจิ้งหยางโบกมือ ท่าทางเด็ดเดี่ยวมาก
เหลียนเว่ยฉีขมวดคิ้ว เขาฝืนกลั้นความโกรธกล่าวว่า “อาจารย์เฒ่า ถึงแม้สถาบันเซียนตงหลิงจะเป็อิสระ แต่ก็เป็ส่วนหนึ่งของต้าถังเช่นกัน มีหน้าที่ปกป้องแคว้นเช่นกัน จะปกป้องคนร้ายได้อย่างไร!”
หวังเจิ้งหยางไม่ได้โมโห เพียงเอ่ยถามโดยตรง “แม่ทัพเหลียนมีราชโองการหรือไม่?”
“คือว่า...เื่เร่งด่วนจึงมิได้พกติดตัว”
“เช่นนั้นพวกเ้ามีป้ายนำจับหรือไม่?”
เมื่อได้ยินคำถามของหวังเจิ้งหยาง เหลียนเว่ยฉีก็รู้แล้วว่าเื่นี้มิอาจจบลงด้วยดี ไม่ว่าราชสำนักหรือกฎวิถีเซียน ก็ยังไม่สามารถกำหนดโทษจั๋วฟู่ไห่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงลูกของเขา ดังนั้นเขามิอาจออกใบนำจับได้
“อาจารย์เฒ่า ท่านรู้หรือไม่ว่า ท่านกำลังปกป้องลูกของคนร้ายที่สมคบคิดกับปีศาจ หรือว่าท่านจะละเลยคำสั่งสอนของเหล่าเซียน?”
ถึงแม้เหลียนเว่ยฉีจะหวั่นเกรงต่อสำนักเซียนอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้กลัวอาจารย์เฒ่าแค่คนหนึ่ง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงภูมิหลังของเขา แม้ไม่มีใครสนับสนุน อย่างมากก็ถูกลงโทษเท่านั้น
“เื่ของจั๋วฟู่ไห่ ข้าเคยได้ยินมาบ้างแล้ว ถูกหรือผิด เราต่างรู้ดีอยู่แก่ใจ”
หวังเจิ้งหยางเค้นเสียงเย็น ยังคงกล่าวด้วยความยึดมั่น “ยิ่งไม่ต้องพูดถึง จั๋วฟู่ไห่ยังไม่ได้รับโทษ ลูกของเขาเกี่ยวข้องอะไรด้วย? เื่ที่ควรทำพวกเ้าก็ทำไปหมดแล้ว สิ่งที่ควรได้พวกเ้าก็นำไปหมดแล้ว เหตุใดต้องทำร้ายเด็กสองคนด้วย...”
“อย่าพูดจาไร้สาระ!”
เหลียนเว่ยฉีหมดความอดทนแล้ว ใบหน้าเต็มไปด้วยจิตสังหาร “ไอ้แก่! ส่งคนตระกูลจั๋วมาเสีย มิเช่นนั้นพวกเ้า...ตาย!”
เมื่อกล่าวจบทหารเกราะทมิฬรอบด้านค่อยๆ ล้อมวงเข้ามา ต่างยกหน้าไม้ในมือขึ้น ขอเพียงมีคำสั่งพวกเขาพร้อมโจมตีในทันที!
“ข้าได้รับคำไหว้วานมา จึงต้องทำให้สำเร็จ”
หวังเจิ้งหยางไม่ได้เคลื่อนไหว เพียงหยิบป้ายรูปกระบี่ชิ้นหนึ่งออกมาจากอก “พวกเ้า หลีกทางเถอะ!”
“นั่นมัน...กระบี่อาญาเทียนซู!”
เหลียนเว่ยฉีจิตใจสั่นไหว สายตาแฝงด้วยความลังเลและซับซ้อน ถ้ากล่าวว่าป้ายพิเศษสำนักเซียนเทียนซูเป็เพียงแค่สถานะ เช่นนั้นกระบี่อาญาเทียนซูก็เป็ตัวแทนของอำนาจในสำนักเซียนเทียนซู
ผู้ที่กระบี่อาญาเทียนซู มีอำนาจระดมยอดฝีมือของสำนักเซียนเทียนซู
เมื่อคิดได้เช่นนี้เหลียนเว่ยฉีจะกล้าลงมือได้อย่างไร รีบใช้กำไลสื่อิญญาติดต่อกับจอมทัพเพื่อรายงานเื่นี้...แต่ผลลัพธ์เป็อย่างที่เขาคิด ห้ามลงมือเด็ดขาด
ถึงแม้จะไม่ยินยอม แต่สุดท้ายเหลียนเว่ยฉีก็ยังพากองทัพเกราะทมิฬจากไป
……
หลังจากกองทัพเกราะทมิฬจากไปแล้ว ก็มีเงาออกมาจากรถ นางก็คือจั๋วอวี้หวั่น
ความจริงแล้วในรถมีเพียงจั๋วอวี้หวั่นคนเดียว จั๋วอวิ๋นเซียนมอบป้ายพิเศษสำนักเซียนเทียนซูให้นางแล้ว
จากคำพูดของจั๋วอวิ๋นเซียน ตอนนี้เขาไร้หนทางบำเพ็ญเซียนแล้ว ต่อให้ไปสำนักเซียนเทียนซู ก็ยากจะทำอะไรได้ ไม่สู้ให้โอกาสจั๋วอวี้หวั่น หากในอนาคตนางประสบความสำเร็จ นางจะสามารถล้างความอัปยศให้ตระกูลจั๋วได้ หรือแม้กระทั่งช่วยบิดาได้
ส่วนจั๋วอวิ๋นเซียนไปกับลุงเยี่ยน ถึงอย่างไรป้ายพิเศษสำนักเซียนเทียนซูก็มีเพียงชิ้นเดียว ต่อให้เป็หวังเจิ้งหยางก็มิอาจทำลายธรรมเนียมของสำนักเซียนได้ บวกกับสถานะของลุงเยี่ยนค่อนข้างอ่อนไหว พวกเขาที่ไม่ได้รับการคุ้มกัน หากเปิดเผยตัวจะมีอันตรายได้ ไม่สู้ซ่อนตัวในที่มืดดีกว่า
“ขอบคุณท่านอาจารย์ที่ช่วยชีวิต”
จั๋วอวี้หวั่นหมอบกราบด้วยความจริงใจและซาบซึ้ง
หวังเจิ้งหยางรีบพยุงจั๋วอวี้หวั่น เขาส่ายศีรษะพลางถอนหายใจ “ข้าบอกแล้ว ได้รับคำไหว้วานมาก็ต้องทำให้สำเร็จ แม่หนูจั๋วไม่จำเป็ต้องขอบคุณ...น่าเสียดายที่ข้าแก่ชราแล้ว สูญเสียพลังไปหมดแล้ว จึงมิอาจช่วยตระกูลจั๋วของพวกเ้าได้”
กระบี่อาญาเทียนซูอาจจะมีประโยชน์ แต่สำนักเซียนกับราชสำนักถ่วงดุลกันและกัน หวังเจิ้งหยางจึงมิอาจยุ่งเกี่ยวกับราชสำนักได้
จั๋วอวี้หวั่นเข้าใจข้อนี้ดี จึงมิได้โกรธอาจารย์เฒ่า เพียงแต่นางกังวลเื่น้องชาย แต่กลับช่วยอะไรไม่ได้
หวังเจิ้งหยางรู้ความกังวลของเด็กสาวจึงกล่าวว่า “เ้าไม่ต้องกังวลเื่จั๋วอวิ๋นเซียนหรอก เขามีเส้นทางของเขา ข้าเชื่อว่าเขาต้องไม่ทำให้คนที่ห่วงใยเขาผิดหวังเป็แน่...เช่นนั้นเ้าก็ต้องมีชีวิตให้ดี เมื่อพวกเ้าทั้งสองเจอกันอีกครั้ง จะเป็วันที่ตระกูลจั๋วกลับมารุ่งโรจน์”
“ท่านอาจารย์กล่าวได้ถูกต้อง ข้าจะต้องพยายาม”
จั๋วอวี้หวั่นตั้งสติอีกครั้ง เริ่มมั่นใจกับอนาคตยิ่งขึ้น
