วันนี้เป็วันเปิดยุ้งฉางเก็บข้าว เว่ยซูหานตื่นแต่เช้าตรู่จุมพิตคนรักที่ลืมตาอย่างสะลึมสะลือ
“ชิงเอ๋อร์ อากาศหนาวเกินไป อย่าไปเปิดยุ้งฉางเองเลย เดี๋ยวข้าจะจัดการเอง”
เหยียนชิงหาวพลางส่ายหัวในอ้อมอกของอีกฝ่าย
"ไม่ได้ ข้าจะไป วันนี้เ้าเมืองก็มาเช่นกัน พี่ใหญ่ไม่อยู่ อากาศหนาวเกินไปห้ามท่านแม่ออกจากเรือนดีกว่า ถ้าข้าไม่ไปคงไม่เหมาะ”
เว่ยซูหานคิดไปคิดมาก็รู้สึกว่ามีเหตุผล จึงพยักหน้า "ก็ได้ แต่พอไปที่นั่นเ้าไม่ต้องยุ่ง ให้ข้าจัดการเอง”
เหยียนชิงบิดี้เี
“ข้าไม่ได้อ่อนแออย่างที่เ้าคิด ก่อนหน้านี้ข้าแค่ร่างกายอ่อนแอ แต่ตอนนี้ข้าดีขึ้นมากแล้ว เ้าไม่จำเป็ต้องกังวล ข้าเข้าใจ”
มีสุขภาพที่ดี ถึงจะทำงานได้มากขึ้น เขาต้องใส่ใจเป็พิเศษ
“จุ๊บ”
เว่ยซูหานจูบแก้มของเขา พวกเขาสองคนวุ่นวายกันอยู่บนเตียงพักหนึ่งจึงลุกขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและล้างหน้าแปรงฟัน
หลังจากรับประทานอาหารเช้ากับท่านแม่แล้ว ก็ได้ยินมารดากำชับอีกครา สองสามีภรรยาจึงขึ้นรถม้าไปยังเรือนแยก
เรือนที่พักอยู่ใกล้กับชานเมืองของเมืองฝูซัง ที่นั่นห่างจากความวุ่นวาย เป็สถานที่ที่คนเร่ร่อนรวมตัวกันอยู่ เรือนที่อยู่นอกเมืองกว้างขวาง แต่ไม่มีข้าวของเครื่องใช้ ห้องที่โล่งกว้างก็เอาของมาวางแล้ว
เหยียนชิงมาแต่เช้า แต่ลุงฝูและอิ้งหลีมาเร็วกว่าพวกเขา พวกเขาจัดให้คนตั้งหม้อขนาดใหญ่ไว้ด้านนอกประตูเพื่อนึ่งอาหารร้อนๆ กลิ่นหอมของอาหารทำให้คนเร่ร่อนบางคนเริ่มเดินวนไปวนมารอบๆ
อาจเพราะรู้ว่าเหยียนชิงจะมาด้วยตัวเอง คนอื่นๆ ก็มาเร็วกว่าบ่าวไพร่รวมถึงเหยียนิฮ่วนและท่านเ้าเมืองด้วย
เหยียนชิงเป็ฝ่ายทักทายท่านเ้าเมืองและคนอื่นๆ ก่อน เมื่อเหยียนชิงไม่ส่งสัญญาณ เว่ยซูหานก็ยืนเงียบๆ กับอิ้งหลีและคนอื่นๆ ที่อยู่ด้านหลัง
พูดคุยกันได้พอประมาณแล้ว หลังจากนั่งอยู่นานก็เริ่มแบ่งงานกัน อาหารในหม้อใบใหญ่หลายใบก็เริ่มสุกได้ที่แล้ว ด้านนอกประตูใหญ่มีคนต่อแถวรอกันไม่น้อย เหยียนชิงดึงเว่ยซูหานมาพูดกับทุกคน
“ข้าเป็แค่บัณฑิตที่ไม่รู้เื่อะไรมากมาย เพียงแต่มาช่วยดูเท่านั้น ยังต้องรบกวนญาติผู้พี่กับฮูหยินของข้า หากพวกท่านมีอะไรก็มาหาฮูหยินของข้าได้เลย เขารู้เื่งานมากกว่าข้า”
“อ้อ...”
“ที่แท้ก็เป็เช่นนี้...”
“ได้ยินมาตั้งนานแล้วว่าฮูหยินน้อยเหยียนดูแลเื่ในจวน ตอนนี้เห็นแล้วดูท่าจะเป็เื่จริง ฮ่าๆๆ...”
เสียงที่ดังขึ้นในฝูงชนดังขึ้นตามมาด้วยเสียงทักทายอย่างมีมารยาทกับเว่ยซูหาน เว่ยซูหานยกมือคำนับอย่างมีมารยาท เหยียนชิงเห็นดังนั้นก็ถอยไปด้านหลังแล้วเดินขึ้นไปบนเวที รับสมุดบัญชีที่เฉินเซียงส่งให้
หลังจากอ่านอย่างละเอียดแล้ว ก็ประสานมือคารวะท่านเ้าเมืองที่นั่งอยู่ด้านข้าง
“ใต้เท้าถังเชิญดูนี่ขอรับ”
เ้าเมืองเมืองฝูซัง ถังเจิง อายุเกือบห้าสิบปี เส้นผมเริ่มขาวโพลน แต่จิตใจดี ใบหน้าของเขาแดงเรื่อและดูเป็มิตร เขาเป็คนดี มีลูกชายสองคนประจำการที่ชายแดน ว่ากันว่าเป็แพทย์ทหาร เหยียนชิงเคยได้ยินแต่ไม่เคยพบหน้ามาก่อน ตระกูลถังเป็ตระกูลด้านการแพทย์ เดิมทีไม่อยากให้ใต้เท้าลู่เป็ขุนนาง เพราะไม่อยากตัดการสืบทอดของตระกูล ดังนั้นจึงสอนลูกๆ ชายของเขาให้เป็หมอ
ถังเจิงได้รับความรักจากชาวเมืองฝูซัง เขาให้ความสำคัญกับตระกูลเหยียนมาก ในชาติที่แล้วตระกูลเหยียนได้รับความเดือดร้อนก็มีใต้เท้าถังคอยพูดให้ หลังจากนั้นเขาก็ถูกลดตำแหน่งเพราะไปขัดแข้งขัดขากับิชินอ๋อง จึงลาออกจากตำแหน่งและไม่สนใจเื่โลกภายนอก
เหยียนชิงเคารพชายชราผมขาวคนนี้มาก
“คุณชายดูแล้วก็น่าจะพอ ข้าไม่ดูแล้ว”
ถังเจิงชำเลืองมองเด็กหนุ่มที่อายุน้อยกว่าลูกชายของเขา เมื่อคิดถึงเื่ต่างๆ เขาก็อดถอนหายใจไม่ได้ คุณชายใหญ่คนนี้เหมือนกับนายท่านเหยียนจริงๆ ทำสิ่งนี้ก็เพื่อมิตรภาพกับโลกมนุษย์ ช่างน่าชื่นชมจริงๆ
เหยียนชิงวางสมุดบัญชีลงบนโต๊ะแล้วพยักหน้าอย่างนอบน้อม “ขอบคุณใต้เท้าที่วางใจ”
จากนั้นสายตาเขาก็มองไปยังเงาร่างที่วุ่นวายของเว่ยซูหานซึ่งอยู่ไกลออกไป เขาเองก็อยากช่วยเช่นกัน แต่เว่ยซูหานห้ามไม่ให้ใครเข้าไปยุ่ง
ถังเจิง มองตามสายตาของเขาและพูดว่า
“ได้ยินมานานแล้วว่าคุณชายรองเคารพฮูหยินชายมาก วันนี้ข้าเห็นกับตาตนเองแล้ว"
นี่เป็ครั้งแรกที่เขาได้เห็นภรรยาชายได้รับการยอมรับเช่นนี้ เขาทำตัวเหมือนเป็นายหญิง แม้ว่าบุรุษเป็ช้างเท้าหน้า แต่ภรรยาชายที่เข้ามาในเรือน จริงๆ เพราะตำแหน่งที่ต่ำต้อยของเขา เขาจะกล้าออกมาเปิดเผยตัวได้อย่างไร?
เหยียนชิงยิ้ม
“เมื่อไม่แบ่งแยกระหว่างคนสูงส่งกับต่ำต้อย ย่อมไม่แบ่งแยกว่าชายหรือหญิง คนดีอย่างเขาทำไมต้องได้รับความต่ำต้อย กฎหมายของแคว้นเทียนซูไม่ได้ระบุว่าภรรยาชายต้องด้อยกว่าผู้เป็สตรี”
ชาติที่แล้วเขาสงสารเว่ยซูหานมาก ทั้งๆ ที่เป็ซื่อจื่อผู้มีชื่อเสียงแต่กลับถูกเหยียนิฮ่วนทรมานจนอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่เช่นนั้น ตอนนั้นเขาเองก็คิดว่าหากพี่ใหญ่ไม่หนีการแต่งงาน ชีวิตของเว่ยซูหานจะต้องดีขึ้นมากเป็แน่ ดังนั้น ในเมื่อตอนนี้เว่ยซูหานเป็ฮูหยินของเขา เขาก็จะทำให้เว่ยซูหานเป็ฮูหยินที่สง่างามและมีอำนาจ
ถังเจิงพยักหน้า ยกมือขึ้นลูบเครา “เหตุผลของคุณชายรอง ข้านับถือยิ่งนัก เ้าคล้ายกับพ่อของเ้ามาก”
เขาจำได้ว่าภรรยาของนายท่านเหยียนหรือมารดาแท้ๆ ของเหยียนชิง ก็มีชาติกำเนิดที่ไม่ดีนัก ถูกคนกล่าวหามากมาย แต่กลับถูกนายท่านเหยียนปกป้อง และยกฐานะให้เป็ฮูหยินใหญ่ของตระกูลเหยียน
เข้าใจหลักการวิถีไม่แบ่งแยกสูงต่ำ แต่จะมีสักกี่คนในโลกนี้ที่สามารถเอาหลักการนี้ไปทำ? สถานการณ์ส่วนใหญ่ก็ทำไปเพื่อผลประโยชน์ทางโลก
เหยียนชิงเงียบได้แต่ยิ้ม อันที่จริงบิดาของเขาไม่สนใจว่าคนอื่นจะคัดค้านการปกป้องมารดาที่เกิดมาในชนชั้นต่ำต้อยหรือไม่
ถังเจิง หรี่ตาลงและลูบเคราของเขาหลังจากนั้นไม่นานเขาก็พูดขึ้นว่า
“ข้าได้ยินมาว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนคุณชายรองให้ฮูหยินน้อยนำขบวนสินค้าไปที่ชายแดน ทั้งยังบังเอิญได้ช่วยรองแม่ทัพฮั่วในสนามรบหลายครั้ง เหล่าทหารล้วนยกย่องว่าฮูหยินน้อยมีความสามารถมาก ไม่ทราบว่าเื่นี้จริงหรือไม่?”
เหยียนชิงหันกลับไปมองเขาอย่างถ่อมตัวและตอบด้วยรอยยิ้มว่า “ที่ใต้เท้าถังได้ยินมานั้นเป็เื่จริงขอรับ”
ถังเจิงหัวเราะ
“ลูกข้าก็อยู่ในกองทัพชายแดนเหนือเช่นกัน ข่าวนี้ได้ยินมาบางส่วน ในกองทัพมีข่าวลือหนาหู ทุกคนบอกว่าฮูหยินน้อยมีวรยุทธ์ เกิดมาเพื่อเป็แม่ทัพขี่ม้าในสนามรบ”
เหยียนชิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะจ้องมองเงาร่างของเว่ยซูหานที่อยู่ไกลออกไปแล้วกล่าวเสียงแ่เบา
“ใต้เท้าท่านอย่าเอาข่าวลือมาพูดเลย ตอนนี้ซูหานเป็ภรรยาของข้า ต้องสงบเสงี่ยมหน่อยถึงจะดี”
คนมากคำพูดก็มาก คนที่มีเจตนาอื่นก็ยิ่งมาก แบบนี้จะเป็ภัยคุกคามต่อความปลอดภัยของเว่ยซูหาน
รอยยิ้มของ ถังเจิง ไม่ลดน้อยลง เขามองไปที่อีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม หลังจากนั้นสักพัก ก็ถอนหายใจออกมาไม่กล่าวอะไรอีก
นับั้แ่เว่ยซูหานมีชื่อเสียงที่ชายแดน เขาก็ได้รับจดหมายจากแม่ทัพชายแดนและบุตรชายหลายฉบับ แล้วให้เขาหาโอกาสไปบอกฮ่องเต้ แม่ทัพที่เก่งกาจนั้นเริ่มขาดแคลน จะขาดเว่ยซูหานก็คงเป็ไปไม่ได้
ตอนนี้ในราชสำนักอาจจะเริ่มคึกคักกันอีกครั้ง เื่ราวของตระกูลเว่ยในตอนนั้นมีข้อพิพาทกันมาก แต่เซียนตี้ทรงมีพระราชโองการไว้เพียงฉบับเดียว คนที่ปกป้องตระกูลเว่ยก็ไม่มีทางพลิกสถานการณ์กลับมาได้ แต่ตอนนี้มีผู้คนไม่น้อยที่้าให้เว่ยซูหานกลับมาเป็แม่ทัพตระกูลเว่ยอีกครั้ง
เหยียนชิงเข้าใจความหมายแฝงในรอยยิ้มของเขา ดีที่เขาไม่ได้วิพากษ์วิจารณ์มากนัก เขาเปิดประเด็นสนทนาอย่างอ้อมค้อม ยังไม่ถึงเวลาเพราะฉะนั้นอย่ารีบร้อน รอให้เขาไปที่เมืองหลวงก่อนค่อยลงมือ ตอนนี้ตัวแปรที่เป็ประโยชน์ต่อเว่ยซูหานทั้งหมดก็เก็บไว้ก่อน วันหน้ายังมีเื่ที่ต้องใช้อีก
อย่างไรก็ตาม ท่าทีของเ้าเมือง เหยียนชิงเองก็อยากให้เว่ยซูหานรู้ ดังนั้นระหว่างการแจกอาหารจึงให้เว่ยซูหานเป็ฝ่ายขอคำชี้แนะจากเขาหลายเื่ หลังจากส่งเสบียงเสร็จตลอด เ้าเมืองก็ชื่นชมเขาเป็พิเศษ
เมื่อเ้าเมืองกำลังจะกลับจวน เห็นว่าถังเจิงพูดถึงเื่เก่าๆ ของแม่ทัพเว่ยกับเว่ยซูหาน เหยียนชิงจึงหาโอกาสให้เว่ยซูหานและอิ้งหลีเข้าไปเยี่ยมเยือนท่านเ้าเมืองเป็การส่วนตัวในนามของการหารือเื่การบรรเทาทุกข์
“ซูหาน ไปจวนเ้าเมืองคราวนี้ จำไว้ว่าอย่าใจร้อน อย่าเสียมารยาท”
เหยียนชิงกำชับอย่างกระตือรือร้น กังวลว่าเว่ยซูหานจะพูดจาไม่คลุมเครือเพราะรีบร้อนเกินไป
เว่ยซูหานพยักหน้า “ข้ารู้” เขาเข้าใจเื่พวกนี้ดี
“ไปเถอะ” เหยียนชิงโบกมือให้เขา “ข้าจะจัดการที่นี่ให้เรียบร้อยแล้วกลับบ้านไปรอเ้า”
เว่ยซูหานจัดเสื้อคลุมของเขาให้เรียบร้อยพลางกล่าวว่า “ยุ่งมาทั้งเช้าเ้าก็เหนื่อยแล้ว กลับไปก็พักผ่อนให้เต็มที่ ให้เฉินเซียงอุ่นเหล้าขับลมหนาวให้เ้า”
พูดจบเว่ยซูหานกับอิ้งหลีก็ขึ้นรถม้าไปยังจวนตระกูลถัง เหยียนชิงถูมือที่แข็งชาเล็กน้อยแล้วเดินกลับเรือนชั้นในกับเหยียนิฮ่วน
เหยียนิฮ่วนโกรธที่เหยียนชิงให้เว่ยซูหานและอิ้งหลีไปเยี่ยมเ้าเมือง โอกาสได้สร้างความสัมพันธ์กับเ้าเมืองเช่นนี้กลับไม่มอบให้เขา! เขาไม่รู้จริงๆ ว่าเหยียนชิงกินน้ำแกงเสน่ห์อะไรของเว่ยซูหานถึงได้ไปสนับสนุนบุตรชายของขุนนางผู้กระทำความผิด แต่แน่นอนว่าเขาไม่กล้าแสดงให้เหยียนชิงเห็น ตอนนี้เหยียนชิงมีท่าทางของประมุขตระกูลมากขึ้นเรื่อยๆ จนไม่อาจล่วงเกินได้
ตอนนี้เหยียนชิงคร้านจะสนใจเหยียนิฮ่วนแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก ขอเพียงอยู่นิ่งๆ ไม่อาละวาดก็พอแล้ว
หลังจากยุ่งวุ่นวายมาพักหนึ่ง ก็ใกล้เที่ยงแล้ว หลังจากล้างมือล้างไม้ก็ดื่มน้ำแกงไปครึ่งชาม เตรียมจะเดินทางกลับจวนกับเฉินเซียงและหลินชวน
“คุณชายรอง”
เหยียนชิงที่กำลังจะเดินออกจากประตูใหญ่พลันได้ยินเสียงที่เปี่ยมไปด้วยพลัง เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นชายวัยกลางคนร่างอวบอ้วนคนหนึ่งเดินเข้ามาหา ผมขาวโพลน มีหนวดใต้จมูก หน้าใหญ่หัวโตเหมาะกับดวงตาที่หรี่เล็ก ท่าทางเฉลียวฉลาดที่มีมาแต่เกิด ภายนอกสวมชุดผ้าแพร ด้านนอกสวมเสื้อคลุมหนังจิ้งจอกสีเทาอ่อนทำให้เขาดูโดดเด่นเป็พิเศษ
เหยียนชิงยิ้มแล้วเดินเข้าไปประสานมือคารวะ “เถ้าแก่ม่อ”
ผู้มาคือม่ออู๋เว่ยบิดาของโม่เสียวเสี่ยว เ้าของธุรกิจภัตตาคารหลายแห่งของตระกูลม่อในเมืองฝูซาง แม้ว่าจะไม่สามารถเทียบกับตระกูลเหยียนได้ แต่ก็นับว่าเป็ตระกูลต้นๆ ของเมืองฝูซาง โดยพื้นฐานแล้วเขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับตระกูลเหยียน
ม่ออู๋เหยียนเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้ม “คุณชายรองจะกลับเรือนแล้วหรือ?”
เหยียนชิงพยักหน้า “ขอรับ”
ม่ออู๋เว่ยเดินมาตรงหน้าเขา
“อากาศหนาวมาก นี่ก็ใกล้เที่ยงแล้ว ข้าน้อยสั่งให้คนจัดสำรับไว้ ไม่ทราบว่าจะเชิญคุณชายรองไปรับประทานอาหารกลางวันร่วมกันสักมื้อได้หรือไม่?”
“เอ่อ...”
เหยียนชิงอยากจะปฏิเสธ เขาไม่้าติดต่อกับตระกูลม่อมากเกินไป
เมื่อเห็นเขาลังเล ม่ออู๋เว่ยก็กล่าวขึ้นมาว่า
“ขอบอกตามตรง วันนี้เป็วันเปิดโรงน้ำชาของลูกสาวข้าพอดี อยู่ไม่ไกลนัก หวังว่าคุณชายรองจะไปเยี่ยมชมสักหน่อย”
“ยินดีกับเถ้าแก่ม่อ ในเมื่อเป็เช่นนี้ ข้าน้อยก็ไม่ควรปฏิเสธ”
พูดมาถึงตรงนี้ เหยียนชิงก็ปฏิเสธไม่ได้ จึงสั่งให้หลินชวนกลับจวนก่อน แล้วให้เฉินเซียงไปเตรียมของขวัญ ส่วนตนเองก็เดินตามม่ออู๋เว่ยไปขึ้นรถม้าคันเดียวกัน
