ในปี 1987 รัฐบาลจีนได้บรรลุข้อตกลงกับรัฐบาลอังกฤษในการรื้อถอนเมืองกำแพงเจียวหลง แม้ว่าจะประสบกับอุปสรรคและการต่อต้านมากมาย แต่ปัจจุบัน ่ต้นฤดูร้อนปี 1990 การรื้อถอนเมืองนี้ก็ได้เข้าสู่ขั้นตอนที่กำหนดไว้แล้ว ทางรัฐบาลได้มีการกำหนดแผนการชดเชยและการย้ายถิ่นฐานของผู้อยู่อาศัย และผู้อยู่อาศัยกลุ่มแรกก็ได้เริ่มย้ายไปยังหมู่บ้านใกล้เคียงแล้วเรียบร้อย
แก๊งต่างๆ ในเมืองกำแพงเริ่มอพยพออกไปแล้วเช่นกัน แต่ขณะอพยพนั้นก็ขยายอิทธิพลไปยังจิ่วหลง ฮ่องกง และย่านซินเจี้ย [1] ด้วย จนเกิดการต่อสู้แย่งชิงอำนาจกับแก๊งอื่นๆ ที่มีอยู่เดิมทั้งเปิดเผยและไม่เปิดเผยอย่างไม่หยุดหย่อนตามตรอกซอกซอยต่างๆ
แต่เดิมแก๊งเซียวฉีมีอิทธิพลแค่ในย่านเกาลูน ทว่าในยุคของชิงหลงนั้น อิทธิพลได้ขยายไปถึงย่านวั่งเจี่ยว และเมื่อชย่าลิ่วอีขึ้นเป็หัวหน้า เขาก็ได้เปิดบาร์และไนต์คลับอย่างยิ่งใหญ่ในย่านไท่จื่อ [2] และย่านเซินสุ่ยปู้ [3] ใกล้ๆ มงก๊ก อีกทั้งยังขยายลงไปทางใต้จนถึงย่านหงคั่น [4] อีกด้วย
สาเหตุที่กล่าวถึงชื่อสถานที่ต่างๆ มากมายก็เพื่อจะสื่อว่า— การขยายอิทธิพลอย่างแข็งขันของลูกพี่ชย่าได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อผลประโยชน์ของแก๊งอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแก๊งเหอเซิ่งซึ่งมีอิทธิพลอยู่ในย่านโหยวหม่าเตอะและย่านเจียนซาจวี่ [5]
หัวหน้าของแก๊งเหอเซิ่งนั้นชื่อ ‘เฝยชี’ หากยังจำกันได้ ชย่าลิ่วอีเคยตัดนิ้วพี่เขยของเขาไปหนึ่งนิ้ว
เฝยชีเห็นชย่าลิ่วอีปักธงแดงข้ามเขตมาเรื่อยๆ จนเกือบจะล้อมรอบแก๊งของเขาไว้ทั้งหมด เขาจึงแค้นใจมาก ทั้งเื่เก่าเื่ใหม่ผสมปนเปกันไปหมด เมื่อปีก่อนเขาเคยเปิดศึกใหญ่กับชย่าลิ่วอีที่ท่าเรือฮ่องกง ผลคือ ‘หงกุ้น’ ของฝ่ายเขาาเ็สาหัส ลูกน้องตายไปสามคน สุดท้ายก็ต้องล่าถอยกลับมาด้วยความพ่ายแพ้ อีกทั้งชย่าลิ่วอียังขู่ทิ้งท้ายไว้ด้วยว่าเจอหน้าเขาเมื่อไรจะกระทืบเมื่อนั้น ทำให้เฝยชีต้องปิดประตูอยู่แต่ในบ้านอย่างหวาดผวา วันๆ เอาแต่ปาเป้าปักเข็มใส่รูปของชย่าลิ่วอีเพื่อระบายแค้น
วันนี้ชย่าลิ่วอีพาเหอชูซานมากินข้าวที่ร้านในถิ่นของเฝยชี เฒ่าแก่ที่ปกติประจบสอพลอเฝยชีนั้นทำแบบเดียวกันกับชย่าลิ่วอี เขาอยู่ในวงการมานาน รู้ดีว่าต้องเอาตัวรอดอย่างไร ไม่ว่าใครจะเป็ใหญ่ เขาก็จะจ่ายค่าคุ้มครองและประจบประแจงทุกคนเพื่อให้สามารถค้าขายได้อย่างราบรื่น
เฒ่าแก่กำลังสนใจแต่เื่ค้าขาย ไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างมากนัก จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายดังมาจากข้างนอกว่า “หลีกไป! หลีกไป!”
ลูกน้องหลายคนเปิดทางให้เ้าพ่อที่มีร่างกายอ้วนท้วนสมชื่อ ‘เฝยชี’ และแฟนสาวที่แต่งตัวราวกับหลุดออกมาจากนิตยสาร ‘ไล่ซานเม่ย’ เข้ามาในร้าน
เฒ่าแก่ใจแป้ว แต่ก็ต้องฝืนยิ้มต้อนรับ “พี่เฝยชี! ยินดีต้อนรับครับ เชิญนั่งด้านนี้เลย!”
“ไม่เอาค่ะ หนูอยากนั่งตรงนั้น” ไล่ซานเม่ยพูดเสียงแหลมพร้อมกับชี้นิ้ว
พอดีกับที่กลุ่มของชย่าลิ่วอีได้ยินเสียงแล้วหันมามอง
ทั้งสองสบตากัน เฝยชีะโเสียงดัง “ชย่าลิ่วอี!”
ชย่าลิ่วอีเลิกคิ้วอย่างใจเย็น แล้วพูดออกมา “เฝยชี”
พร้อมกับคีบตูดไก่ให้เหอชูซานอย่างไม่ใส่ใจ
เหอชูซานกำลังเคี้ยวเห็ดหอมอยู่ พอได้ยินเสียงะโของเฝยชีก็ชะงักค้าง เขาก้มหน้ากลืนเห็ดหอมลงคอเงียบๆ เมื่อััได้ถึงความเ็าที่ซ่อนอยู่ภายใต้ท่าทีสงบนิ่งของชย่าลิ่วอีจากตูดไก่ชิ้นนั้น
พอได้ยินน้ำเสียงเรียบเฉยของชย่าลิ่วอี เฝยชีก็ทนไม่ไหว ชักปืนที่เหน็บไว้ข้างเอวออกมาทันที!
“ชย่าลิ่วอี! แกฆ่าคนของฉัน! ปล้นของของฉัน! แล้วยังกล้าพาลูกน้องไม่กี่คนมาเหยียบถิ่นฉันอีกหรือ!”
บอดี้การ์ดของชย่าลิ่วอีรีบลุกขึ้นมาแล้วชักปืน ลูกน้องของอีกฝ่ายก็ชักอาวุธออกมาเช่นกัน ทั้งสองฝ่ายยืนประจันหน้ากันเป็สองแถวเหมือนกำลังจัดแสดงอาวุธ
เฒ่าแก่ร้านที่ถือสมุดบัญชีอยู่ค่อยๆ ถอยหลังหลบออกมาอย่างเงียบเชียบ ไม่ลืมส่งสายตาให้ลูกน้องที่ยืนหน้าซีดอยู่ห่างๆ
ชย่าลิ่วอีวางตะเกียบลงอย่างเชื่องช้าแล้วลุกขึ้นยืน เขาบังเหอชูซานที่นั่งข้างๆ ไว้โดยไม่แสดงพิรุธใดๆ
“ถ้าแกกล้าฆ่าฉันก็ลงมือเลย ไม่อย่างนั้นก็เก็บปืนไปซะ อย่ามาทำให้คนอื่นกลัว” เขาพูดพร้อมกับหยิบทิชชูบนโต๊ะขึ้นมาเช็ดปาก
“ชย่าลิ่วอี แกอย่ามาล้ำเส้น!” เฝยชีพูดด้วยความโกรธ
“คนในวงการนี้มีใครบ้างที่ไม่รังแกคนอื่น” ชย่าลิ่วอีขยำทิชชูทิ้ง เขาหันไปจุดบุหรี่แล้วสูบเข้าปอดหนึ่งที ก่อนจะพ่นควันออกมาช้าๆ “ยิ่งไปกว่านั้น ฉันเองก็มีปัญญารังแกแกเหมือนกัน”
“แก!” เฝยชีโกธรจนคางสั่นแต่ก็ไม่กล้าเหนี่ยวไก
ลูกน้องของชย่าลิ่วอีขึ้นชื่อว่าบ้าดีเดือด ไม่กลัวตายเหมือนหัวหน้า ถ้าเขาพลาดยิงชย่าลิ่วอีเข้า มีหวังได้โดนเก็บเป็รายต่อไปเป็แน่ แถมศึกครั้งก่อนก็ทำให้เขาและแก๊งเหอเซิ่งบอบช้ำหนัก ถ้าเขาฆ่าหัวหน้าแก๊งเซียวฉีที่มีพวกอยู่ทั่วเกาลูน อีกทั้งรองหัวหน้าแก๊งอย่างชุยตงตงก็ขึ้นชื่อว่าโเี้ เขาคงต้องโดนคนเ่าั้เอาคืนให้ผู้เป็หัวหน้าแน่ เขาหนีไม่พ้นหรอก
เฝยชียังคงคิดไม่ตกอยู่อย่างนั้น ขณะเดียวกันชย่าลิ่วอีก็หันหลังกลับพร้อมกับลากตัวเหอชูซานที่นั่งนิ่งราวกับท่อนไม้ให้ลุกขึ้นมา “อาหย่ง อาเปียว ไปเอารถมา”
บอดี้การ์ดสองคนที่ไม่ได้ดื่มเหล้ารับคำสั่ง เก็บปืน แล้วไปเอารถทันที
เฝยฉีมองชย่าลิ่วอีพาลูกน้องขึ้นรถสองคันแล้วขับออกไปจนลับสายตา
“บ้าเอ๊ย!” เขาตบโต๊ะแล้วสบถออกมา “ชย่าลิ่วอี! สักวันข้าจะต้องเอาคืนให้ได้!”
ชย่าลิ่วอีให้ลูกน้องขับรถฝุ่นตลบไปส่งเหอชูซานที่บ้านในเมืองกำแพงเจียวหลงก่อน
เหอชูซานนั่งกอดกระเป๋าอยู่เบาะหลัง ไม่พูดอะไร บรรยากาศเงียบงันไปพักหนึ่ง ชย่าลิ่วอีจึงถามเขา “เป็อะไร กลัวหรือ”
เหอชูซานเงยหน้ามองคนขับแต่ก็ยังไม่พูดอะไร
ชย่าลิ่วอีเห็นท่าทีอึกอักของเหอชูซานก็รู้ว่ามีเื่อยากจะพูด เมื่อรถจอดที่เมืองกำแพงเจียวหลงแล้ว เขาจึงไล่บอดี้การ์ดไปขึ้นรถอีกคันหนึ่งแล้วเปิดกระจก จุดบุหรี่ พร้อมกับเอนหลังพิงเบาะ “อยากพูดอะไรก็พูดมา”
เหอชูซานก้มหน้ากอดกระเป๋าแน่นแล้วค่อยๆ เปิดปากพูด “ครั้งหน้า... อย่าพาผมไปที่แบบนั้นอีกได้ไหม”
“แม่งเอ๊ย!” ชย่าลิ่วอีพอจะเดาออกว่าเหอชูซาน้าพูดอะไร เขาใช้มือขวาที่ไร้เรี่ยวแรงทุบไปที่กระจกรถ “อย่ามาทำตัวบิดไปบิดมาเหมือนเด็กผู้หญิงได้ไหม! ฉันไม่รู้ว่าเฝยชีจะมา!”
“ต่อให้เขาไม่มา การที่พี่พาลูกน้องไปกินข้าวในถิ่นของเขาก็ถือว่าเป็การยั่วยุแล้ว ผมไม่อยากเข้าไปยุ่งกับเื่แบบนี้ของพวกพี่” เหอชูซานพูด
ชย่าลิ่วอีนั่งนิ่งอยู่สักพักหนึ่งหลังจากดับบุหรี่ แล้วชี้ไปนอกหน้าต่างรถ “ไสหัวไปซะ”
โคตรไม่อยากคุยกับไอ้เด็กเวรนี่เลย!
เหอชูซานรีบคว้ากระเป๋าแล้วเปิดประตูรถออกไปอย่างรวดเร็วราวกับว่าอยากจะหนีไปจากเขาให้เร็วที่สุด
ชย่าลิ่วอีโกรธจนพูดไม่ออก เขาสูบบุหรี่เข้าปอดเฮือกใหญ่อย่างหัวเสีย แล้วก็สำลักควัน “แค่กๆๆ!”
เขาปัดขี้บุหรี่ที่เสื้อสูทอย่างทุลักทุเล จากนั้นก็ทุบกระจกรถอย่างแรง
เขาแค่อยากให้เด็กบ้านนอกคนนี้ได้ลองชิมร้านอร่อยๆ เท่านั้น! ช่างไม่เห็นค่าความหวังดีของคนอื่นเลย!
เขาโมโหอยู่ที่เบาะหลังรถครู่หนึ่ง พอเห็นท่าไม่ดี บอดี้การ์ดก็รีบเข้ามาถาม “พี่ใหญ่ครับ”
“พวกแกกลับไปก่อน” ชย่าลิ่วอีสั่ง
“เอ่อ...” บอดี้การ์ดลังเล
ชย่าลิ่วอีโบกมืออย่างหงุดหงิด
บอดี้การ์ดเห็นว่าเ้านายกำลังหงุดหงิด ดูท่าทางแล้วคงอยากอยู่คนเดียวสักพัก อย่างไรเสียแถวนี้ก็เป็เขตของพวกเรา ไม่น่าจะมีเื่อะไรเกิดขึ้น พวกเขาเลยเบียดกันขึ้นรถคันเดียวแล้วก็ขับออกไป
ชย่าลิ่วอีสูบบุหรี่จนหมดมวนที่เบาะหลัง ก่อนจะย้ายไปนั่งที่คนขับ แล้วขับรถมุ่งหน้าไปยังบ้านพักตากอากาศริมทะเล
บ้านพักตากอากาศสุดหรูที่เคยเป็ที่อยู่อาศัยของหัวหน้าใหญ่ชิงหลงได้กลายเป็บ้านร้างที่ผู้คนต่างร่ำลือว่ามีอาถรรพ์ไปเสียแล้วหลังจากที่เ้าของบ้านและคนรับใช้ถูกฆาตกรรมทั้งหมด ชย่าลิ่วอีได้จ้างนักพรตเต๋ามาทำพิธีปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายแล้ว แต่เขาก็ไม่ได้กลับมาอยู่ที่นี่อีกเลย
แสงไฟหน้ารถส่องสว่างท่ามกลางเส้นทางอันมืดมิด เขาขับรถขึ้นไปตามถนนเลียบชายทะเลที่เงียบสงบเพียงลำพัง ไม่นานก็หยุดลงหน้าบ้านพักที่ดูน่ากลัว
ประตูเหล็กขนาดใหญ่ประดับรูปสิงโตแกะสลักนั้นเต็มไปด้วยสนิม บนนั้นมีกระดาษสีเหลืองลงอักขระที่เขียนด้วยลายมือแสนยุ่งเหยิงแปะอยู่หลายแผ่น พวกมันปลิวไสวไปตามแรงของลมทะเล
ชย่าลิ่วอีลงจากรถ หันหน้าไปทางบ้านพักหลังเล็กที่ทั้งมืดมิดและเย็นะเื เขาก้มหน้าจุดบุหรี่
เขาสูบบุหรี่หนึ่งที จากนั้นก็ย่อตัวลงแล้วเสียบบุหรี่มวนนั้นไว้ที่รอยแตกของประตูเหล็ก
“พี่ใหญ่ พี่ครับ ผมขับรถผ่านมาเลยแวะมาเยี่ยมครับ”
เขายังคงนั่งยองๆ ก่อนจะจุดบุหรี่อีกมวนด้วยสีหน้าเรียบเฉย แล้วพูดช้าๆ “เื่ในแก๊งราบรื่นดี เยี่ยมไปเลยครับ”
“ผมก็สบายดี”
“ผมจะหาคนที่ทำร้ายพวกพี่ให้เจอ แล้วจะฉีกมันเป็ชิ้นๆ”
เมื่อสิ้นประโยค เขาก็เงียบไปสักพักเพราะไม่มีอะไรจะพูดอีกแล้ว จากนั้นจึงแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า
ดวงดาวนับไม่ถ้วนส่องประกายระยิบระยับราวกับเศษแก้วที่กระจัดกระจายอยู่บนผ้าสีดำ
ทำให้เขานึกถึงคราบเืที่สาดกระเซ็นกระจายบนพื้นข้างสระว่ายน้ำ
บุคคลที่สำคัญที่สุดสองคนของเขาอยู่บนท้องฟ้า เหนือดวงดาว ไกลจากเขาเหลือเกิน
ถึงแม้ปัจจุบันเขาจะเป็มหาเศรษฐี มีธุรกิจที่ราบรื่นรุ่งเรือง มีบริวารมากมาย สั่งการอะไรก็ได้ดั่งใจ แต่อีกด้านหนึ่งเขาก็ยังคงรู้สึกว่าตัวเองไม่มีอะไรเลย แม้กระทั่งเด็กหนุ่มที่ยังไม่ประสีประสาก็ยังดูถูกและไม่อยากคบค้าสมาคมกับเขา
เขาไม่เหมือนเด็กหนุ่มอายุ 18 ปีที่ไร้เดียงสาและกล้าหาญ ในมือมีเพียงมีดสองเล่มและความมุ่งมั่น ถึงกระนั้นก็ยังมีครอบครัว มีความหวัง และมีสิ่งที่ต้องปกป้องด้วยชีวิตอยู่
ลมทะเลพัดโหมกระหน่ำในความมืด ทำให้เสื้อผ้าและเส้นผมของเขาปลิวไสว บุหรี่ที่เสียบอยู่บนรั้วเหล็กถูกพัดขึ้นไปในอากาศ จากนั้นประกายไฟก็ดับวูบหายไปในความมืดมิด
……
ครึ่งชั่วโมงต่อมา ชย่าลิ่วอีขับรถไปตามถนนเล็กๆ แสนคดเคี้ยวเพื่อมุ่งหน้ากลับเข้าเมือง
เขาขับรถไปตามถนนที่เงียบเหงา ปราศจากรถและผู้คนในยามดึก ขณะขับผ่านถนนใกล้กับเมืองกำแพงเจียวหลง เขาเงยหน้าขึ้นโดยไม่รู้ตัว
สายตาของเขาเหลือบเห็นเงาประหลาดข้างทางวิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เงาร่างนั้นมีหลังโก่งสูงราวกับแบกอะไรบางอย่างขนาดใหญ่เอาไว้ เงานั้นเดินโซเซไปตามถนนด้วยความเร็วสูงสุดเท่าที่เขาสามารถทำได้
ชย่าลิ่วอีเหยียบเบรก เขาขมวดคิ้วมองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะลดกระจกรถลงพร้อมกับะโด้วยความสงสัยว่า “เหอชูซาน”
เงาร่างนั้นหยุดกะทันหัน ชย่าลิ่วอีจึงปล่อยเบรกให้รถไหลไปข้างหน้าเล็กน้อย แสงไฟจากหน้ารถจึงส่องไปยังใบหน้าที่ตื่นตระหนกของเหอชูซาน
และพ่อของเหอชูซานที่ฟุบหน้าอยู่บนหลังของเขา
เชิงอรรถ
[1] ย่านซินเจี้ย คือ ย่านนิวเทอร์ริทอรีส์ในฮ่องกง
[2] ย่านไท่จื่อ คือ ย่านปรินซ์เอ็ดเวิร์ดในฮ่องกง
[3] ย่านเซินสุ่ยปู้ คือ ย่านชัมชุยโปในฮ่องกง
[4] ย่านหงคั่น คือ ย่านฮุงฮอมในฮ่องกง
[5] ย่านเจียนซาจวี่ คือ ย่านจิมซาจุ่ยในฮ่องกง