"ฮวาเหนียง สามีของข้าชอบอ่านหนังสือข้าอยากหาซื้อหนังสือให้เขาจำนวนหนึ่ง ท่านทราบหรือไม่ว่าในเมืองโยวหลันมีร้านหนังสือดีๆหรือไม่? "
"มีสิ ในเมืองโยวหลันมีร้านหนังสือใหญ่ร้านหนึ่งชื่อว่า ‘ร้านหนังสือซิงหลง’ อยู่บนถนนสายเดียวกับร้านของข้า เป็ร้านใหญ่ที่แห่งนั้นมีหนังสือมากมาย เ้าอยากหาหนังสืออะไร ที่นั่นมีแน่นอน! "
"แล้ว… เถ้าแก่ร้านนั้นเป็คนอย่างไร? "
ฮวาเหนียงรู้สึกประหลาดใจนักจะซื้อหนังสือ เหตุใดจึงต้องถามเกี่ยวกับเถ้าแก่ละเอียดถึงเพียงนี้ด้วย
แต่นางก็ไม่ได้ถามอะไร"ตัวเถ้าแก่ไม่ใช่คนดีอะไร พูดถึงการเปิดร้านหนังสือ อย่างไรก็ควรมีความรู้อ่านตำรามาบ้างแต่เขาแทบไม่รู้หนังสือเลย นอกจากนั้น คนทำการค้า ใครบ้างไม่มีลูกไม้ คนผู้นั้นอุปนิสัยไม่ค่อยดีนักไม่เช่นนั้นในตัวเมืองจะมีร้านหนังสือใหญ่แค่ร้านเดียวได้อย่างไร! หากร้านหนังสือของเขาได้กำไรงามร้านหนังสือร้านอื่นก็มีรายได้เพียงเศษเสี้ยว! จึงได้แต่ทยอยกันปิดร้าน"
เซี่ยยวี่หลัวรู้สึกห่อเหี่ยวใจเล็กน้อยถามต่อ "เช่นนั้นยังมีร้านหนังสืออื่นอีกหรือไม่? "
ฮวาเหนียงคิดครู่หนึ่ง"ข้าจำได้ว่ามีร้านเปิดใหม่หนึ่งร้าน แต่หน้าร้านเล็กเกินไป ชื่อ ‘ห้องหนังสือซานเว่ย’ อยู่ในตรอกเล็กด้านหลัง หน้าร้านเล็กจะวางหนังสือได้สักกี่เล่มหนังสือในนั้นย่อมมีไม่ครบ หากเ้าจะซื้อหนังสือ ก็ไปร้านหนังสือซิงหลง ที่นั่นมีหนังสือเยอะต้องหาเล่มที่เ้าอยากได้พบแน่นอน! "
เซี่ยยวี่หลัวกล่าวขอบคุณฮวาเหนียงแล้วจึงพาเด็กสองคนกลับไป
ก่อนกลับ นางไปดูร้านหนังสือทั้งสองร้านก่อน
ร้านหนังสือซิงหลง เพราะเปิดมานานหลายปีและเถ้าแก่ก็เป็คนในท้องที่ การค้าถือว่าไม่เลว
เพิ่งถึงหน้าประตูร้านหนังสือซิงหลงก็เห็นคนผู้หนึ่งนอนอยู่บนเก้าอี้โยก ท้องอ้วนกลม ในมือถือไหสุรา จิบสุราคำแล้วคำเล่า
เหตุใดคนผู้นี้ถึงนอนดื่มสุราอยู่หน้าร้านหนังสือทั้งที่ยังเป็่กลางวัน?
เมื่อคนที่เดินเข้าออกเห็นคนที่นอนอยู่บนเก้าอี้โยกต่างก็พยักหน้ากล่าวทักทาย “ท่านเยี่ย...”
“เถ้าแก่เยี่ย...”
ท่านเยี่ย เถ้าแก่เยี่ย ได้ยินมาว่าเถ้าแก่ร้านหนังสือซิงหลงชื่อเยี่ยซิงหลง
ยังไม่ได้เดินเข้าไปใกล้ก็ได้กลิ่นสุราฉุนลอยมาจากตัวคนผู้นั้น เถ้าแก่ร้านขายหนังสือกลับถือไหสุรานั่งดื่มสุราอยู่หน้าร้านั้แ่่กลางวันนี่เป็ร้านสุราหรือร้านหนังสือกันแน่!
อย่างนี้ไม่ให้เกียรติปัญญาชนเกินไปแล้ว!
เซี่ยยวี่หลัวไม่ได้เดินขึ้นหน้าเพียงมองอยู่ในตำแหน่งที่ไม่ห่างนัก เห็นคนผู้หนึ่งที่แต่งตัวดูยากจนเดินออกมาจากด้านในร้านหนังสือ
คนผู้นั้นดูแล้วก็อายุไม่น้อยเส้นผมส่วนหนึ่งเป็สีขาวแล้ว หางตาก็มีรอยย่นชัดเจน
เพียงเห็นเยี่ยซิงหลงถือไหสุราลุกขึ้นยืน“เฮ้ เ้าบัณฑิตยากจน วันนี้เ้าซื้อหนังสืออะไร? ”
บัณฑิตผู้นั้นกล่าวด้วยท่าทางเก้อเขิน“ท่าน… ท่านเยี่ย ข้า ข้าไม่ได้ซื้อหนังสืออะไรเลย! ”
“ไม่ได้ซื้อ? ” เยี่ยซิงหลงเหมือนจะไม่เชื่อ “เพราะข้าไม่มีตำราดี ไม่เข้าตาเ้าเลยงั้นหรือ?”
บัณฑิตผู้นั้นรีบกล่าว“ไม่ใช่ ไม่ใช่ ท่านเยี่ย ท่านเข้าใจผิดแล้ว คือ… ไม่มี… ไม่มีที่ข้าอยากได้! ”
เยี่ยซิงหลงกล่าวด้วยสีหน้าดูแคลน“เ้าเลือกมาหนึ่งชั่วยามกว่ายังไม่พบที่เ้าอยากได้? เ้าเห็นว่าร้านหนังสือของข้าเป็สถานกุศล ให้เ้ามาอ่านหนังสือโดยไม่คิดเงิน?หรือเห็นร้านข้าเป็บ้านเ้า คิดอยากมาก็มา คิดอยากไปก็ไป? ”
เพราะวาจาเยาะเย้ยถากถางของเยี่ยซิงหลงบรรดาลูกค้าภายในร้านหนังสือและผู้คนที่เดินผ่านไปมา ต่างเข้าไปมุงดูสถานการณ์
เดิมทีบัณฑิตผู้นั้นก็รู้สึกลำบากใจอยู่แล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึงเวลาที่ถูกคนมากมายมุงดู ใบหน้าขึ้นสีแดงยิ่งกว่าเดิม “ท่าน ท่านเยี่ย…ข้า ที่บ้านข้ายังมีธุระ ร้านท่านมีหนังสือมากมาย พรุ่งนี้… พรุ่งนี้ข้าจะมาซื้อ! ”
เยี่ยซิงหลงหัวเราะอย่างเ็า“พรุ่งนี้จะมาซื้อ? เ้าบัณฑิตยากจน เ้ามีเงินหรือ? เ้าจะเอาอะไรมาซื้อ? กระเป๋าสะอาดเกลี้ยงเกลายิ่งกว่าใบหน้าเสียอีกคาดหวังให้เ้าซื้อ เช่นนั้นพระอาทิตย์คงต้องขึ้นทางทิศตะวันตก! ”
บัณฑิตผู้นั้นถูกกล่าววาจาเหน็บแนมจนใบหน้าขึ้นสีแดงก่ำกัดริมฝีปากด้วยความรู้สึกอับอายเป็อย่างมาก เพียงได้ยินเยี่ยซิงหลงชี้บัณฑิตผู้นั้นพร้อมกล่าวกับลูกจ้างภายในร้าน“ต่อไปหากเ้าบัณฑิตยากไร้นี่กล้าเข้ามาในร้านหนังสืออีก เห็นหนึ่งครั้งก็ตีหนึ่งครั้ง!”
ลูกจ้างในร้านรีบขานตอบ“ขอรับ ขอรับ! ”
เยี่ยซิงหลงกล่าวต่อ “ทุกท่านลองพิจารณาดูบัณฑิตยากจนผู้นี้ มาร้านข้าหลายครั้งแล้ว แต่ละครั้งอยู่นานหนึ่งชั่วยามกว่า กลับไม่ซื้อตำราแม้แต่เล่มเดียวเช่นนี้คิดมาอ่านโดยไม่เสียเงินชัดๆ หากเป็ภัตตาคาร ก็เท่ากับกินแล้วไม่จ่ายไม่ใช่หรือ? ทุกคนต้องจำใบหน้านี้ไว้ให้ดี อย่าโดนเ้าบัณฑิตยากไร้ผู้นี้เอาเปรียบล่ะ!”
ผู้คนที่มุงดูต่างหัวเราะขำขัน
บัณฑิตผู้นั้นรู้สึกอับอายจนไม่กล้าเงยหน้าเขาแต่งตัวดูยากจน เสื้อผ้าเต็มไปด้วยรอยปะ เท่าที่ดู ฐานะทางบ้านคงลำบากไม่น้อย
เวลานี้ถูกเยี่ยซิงหลงจับตัวมาประจานต่อหน้าผู้คนมากมายสำหรับคนเรียนหนังสือ ก็ไม่ต่างจากถูกจับเปลื้องผ้ามายืนต่อหน้าทุกคนให้พวกเขาเยาะเย้ยคนผู้นั้นดิ้นจนหลุดจากพันธนาการของลูกจ้าง ก่อนวิ่งหนีไปด้วยความอับอาย
วิ่งไปไกลแล้ว ยังได้ยินเสียงเยาะเย้ยถากถางของเยี่ยซิงหลง“เ้าบัณฑิตบ้า บัณฑิตยากไร้ ไม่มีเงินก็อย่าเรียนหนังสือ สามสิบแล้วยังสอบเป็ซิ่วไฉไม่ได้ยังจะเรียนหนังสือไปทำบ้าอะไร! รีบไปทำไร่ไถนาเถอะ มาเอารัดเอาเปรียบที่ร้านข้า ไม่ดูเสียบ้างว่าข้าเป็ใคร!”
ทุกคนหัวเราะลั่นอีกครั้ง
ถ้อยคำเยาะเย้ยถากถางรุนแรงนักเซี่ยยวี่หลัวขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้ การเรียนหนังสือเป็สิทธิของทุกคน ใครกล่าวว่าอายุมากและฐานะทางบ้านยากจนจะเรียนหนังสือไม่ได้กัน?
เยี่ยซิงหลงผู้นี้ เห็นได้ชัดว่าเพียงใส่ชุดบัณฑิตแสร้งทำตัวเป็ปัญญาชนด้านหนึ่งก็หาเงินจากคนเรียนหนังสือ อีกด้านหนึ่งก็ทำเื่ลบหลู่คนเรียนหนังสือ
มันน่าแค้นนัก!
เมื่อผู้คนที่มุงดูแยกย้ายกันไปเยี่ยซิงหลงจึงหยิบไหสุรากลับไปนอนบนเก้าอี้โยกจิบสุราต่อ ทั้งยังฮัมเพลงไปด้วย!
เซียวจื่อเมิ่งรู้สึกประหลาดใจ“พี่สะใภ้ใหญ่ เขากำลังร้องเพลงอะไรงั้นหรือเ้าคะ? ”
หลังจากเซี่ยยวี่หลัวฟังสองประโยคใบหน้าก็ขึ้นสีแดงทันที
นางรีบปิดหูของเซียวจื่อเมิ่งและพานางเดินออกห่าง “ไม่ได้ร้องเพลงอะไร เพียงร้องบทเพลงทั่วไปเท่านั้น! ”
แม่เ้า ในสมองเยี่ยซิงหลงผู้นี้เต็มไปด้วยเื่สกปรกเลอะเทอะร้องเพลงลามกเพลงแล้วเพลงเล่า คนน่ารังเกียจพรรค์นี้ เปิดร้านหนังสือใหญ่ขนาดนี้ได้อย่างไรกัน?
คิดจะร่วมงานกันในระยะยาวเช่นนั้นอุปนิสัยใจคอของผู้ร่วมงานก็ต้องผ่านเกณฑ์ด้วย เซี่ยยวี่หลัวไม่อยากหาเื่ใส่ตัวโดยใช่เหตุ
เยี่ยซิงหลงไม่ใช่คนที่มีอุปนิสัยดีเซี่ยยวี่หลัวไม่มีทางร่วมงานกับเขาเป็อันขาด นางไปที่ห้องหนังสือซานเว่ย
เทียบกับร้านหนังสือซิงหลงที่ตั้งอยู่ริมถนนสายใหญ่ในตัวเมืองที่ดูเจริญรุ่งเรืองรอบข้างมีผู้คนเดินขวักไขว่ ครึกครื้นเป็พิเศษ ห้องหนังสือซานเว่ยแห่งนี้ดูเงียบเหงากว่ากันมาก
ประการแรกคือสถานที่ตั้งที่นี่แทบไม่มีผู้คน นอกจากคนที่เดินผ่านไปเป็ครั้งคราว ก็ไม่มีคนอื่นอีก นอกจากนั้นขนาดของห้องหนังสือซานเว่ย เทียบไม่ได้กับพื้นที่หนึ่งในสามส่วนของร้านหนังสือซิงหลงด้วยซ้ำ
สถานที่ตั้ง จำนวนลูกค้าที่ผ่านไปมาและขนาด ล้วนไม่อาจเทียบได้
มีลูกค้าเข้าไปเพียงบางครั้งบางคราวกระดิ่งตรงหน้าประตูส่งเสียงไพเราะเสนาะหูไปในอากาศ เซี่ยยวี่หลัวดูอยู่ข้างนอกพักหนึ่งเห็นคนสองคนที่ท่าทางเหมือนบัณฑิตเดินเข้าไปซื้อหนังสือ จากนั้นจึงออกจากร้านไป