ตอนที่ 3 ข้าวหนึ่งชามมีค่าเท่าชีวิต
เวลาคล้อยเคลื่อนสู่ยามโพล้เพล้ เมื่อแสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า ทิ้งไว้เพียงริ้วสีส้มอมม่วงฉาบทาแนวทิวเขาอันห่างไกล หมู่บ้านชิงเหอถูกโอบล้อมด้วยไอเย็นแห่งราตรีกาล ควันไฟจากเตาครัวของแต่ละบ้านเริ่มลอยอ้อยอิ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า กลิ่นหอมจางๆ ของข้าวที่หุงสุกใหม่ปะปนมากับกลิ่นดินและกลิ่นควันไฟ กลายเป็กลิ่นอายอันเป็เอกลักษณ์ของชีวิตชนบทที่เรียบง่ายและแร้นแค้น
เสียงสลักไม้หน้าประตูโรงเก็บฟืนถูกดึงออกดัง แกร๊ก!
ประตูไม้เก่าซอมซ่อเปิดออกอย่างเชื่องช้าพร้อมกับเสียงเสียดสีอันน่ารำคาญ แสงสลัวจากตะเกียงน้ำมันก๊าดในตัวบ้านสาดส่องเข้ามา ทำให้เงาของจ้าวหลันผู้เป็แม่ทอดยาวน่ากลัวอยู่บนพื้นดิน
"ออกมา...กินข้าวได้แล้ว" น้ำเสียงของนางแ่เบาและแหบแห้ง แฝงไว้ด้วยความรู้สึกผิดและหวาดกลัวระคนกัน นางไม่กล้าแม้แต่จะสบตาลูกสาวของตัวเอง
หนิงหนิงค่อยๆ พยุงตัวลุกขึ้นยืน แตกต่างจากเมื่อหลายชั่วยามก่อนโดยสิ้นเชิง ร่างกายของเธอในตอนนี้ไม่เพียงไม่เ็ป แต่ยังรู้สึกเบาสบายและเปี่ยมไปด้วยพลังงานอย่างที่ไม่เคยเป็มาก่อน ราวกับว่าร่างกายที่เคยป่วยออดๆ แอดๆ มาตลอดสิบห้าปีได้รับการชำระล้างใหม่ทั้งหมด เธอตบเบาๆ ไปตามเสื้อผ้าที่เปรอะเปื้อนฝุ่นฟาง ดวงตาที่สงบนิ่งของเธอจ้องมองไปยังผู้เป็แม่
"แม่คะ" เธอเรียกด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แต่ชัดเจน "มีอะไรกินบ้างเหรอคะ?"
จ้าวหลันสะดุ้งเล็กน้อยกับน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปของลูกสาว มันไม่มีแววของความหวาดกลัวหรือน้อยเนื้อต่ำใจเหมือนเช่นเคย แต่กลับมีความเยือกเย็นบางอย่างที่ทำให้นางรู้สึกประหลาดใจ
"ก็ ก็ข้าวต้มเหมือนเดิมนั่นแหละ" นางตอบตะกุกตะกัก "รีบไปเถอะ อย่าให้ย่าของลูกต้องรอ"
หนิงหนิงพยักหน้ารับเบาๆ แล้วก้าวเดินออกจากโรงเก็บฟืน ทุกย่างก้าวของเธอมั่นคงและไม่โซซัดโซเซเหมือนเก่า สายลมยามค่ำคืนพัดโชยมาปะทะใบหน้า ให้ความรู้สึกสดชื่นจนน่าประหลาดใจ เธอมองไปรอบๆ หมู่บ้านด้วยสายตาใหม่ สายตาของสถาปนิกที่คุ้นเคยกับการวิเคราะห์โครงสร้างและสิ่งแวดล้อม
บ้านดินส่วนใหญ่สร้างอย่างตามมีตามเกิด หลังคามุงด้วยฟางข้าวที่เริ่มผุพัง ถนนดินขรุขระเป็หลุมเป็บ่อ ทุกสิ่งทุกอย่างสะท้อนภาพความยากจนข้นแค้นของยุคสมัยได้อย่างชัดเจน แต่ในความแร้นแค้นนั้น ก็ยังมีความงามตามธรรมชาติซ่อนอยู่ แนวต้นหลิวที่เอนลู่ลมริมลำธารเล็กๆ ทุ่งนาที่เพิ่งเก็บเกี่ยวเสร็จสิ้นเหลือเพียงตอซังสีทอง และขุนเขาตระหง่านที่ยืนหยัดเป็ฉากหลัง ทั้งหมดนี้คือโลกใหม่ของเธอ สนามรบที่เธอต้องเอาชนะให้ได้
เมื่อก้าวเข้าสู่ตัวบ้าน กลิ่นข้าวต้มที่เจือจางยิ่งชัดเจนขึ้น บนโต๊ะไม้สี่เหลี่ยมเก่าคร่ำคร่า มีชามกระเบื้องบิ่นๆ วางอยู่สี่ใบ กับตะเกียบไม้ที่สีเริ่มซีดจาง กลางโต๊ะมีหม้อดินใบใหญ่ตั้งอยู่ ควันสีขาวลอยกรุ่นออกมาจากฝาหม้อที่ปิดไม่สนิท ข้างๆ กันนั้นมีจานใบเล็กใส่ผักดองเค็มสีเหลืองซีดวางอยู่เพียงจานเดียว
เสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังขึ้นจากหน้าประตูเรือน ทุกคนในห้องที่กำลังรออาหารเย็นอยู่เงียบงัน ต่างหันไปโดยไม่ได้นัดหมาย ย่าหวังที่กำลังบ่นพึมพำหงุดหงิดพลันชะงักเฉียบ ดวงตาเหี่ยวย่นที่มักเต็มไปด้วยความไม่พอใจช้อนขึ้นมองทางประตูอย่างหงุดหงิดในตอนแรก
แต่ทันทีที่ร่างบางของ หนิงหนิง ก้าวเข้ามาในแสงตะเกียง ทุกสายตากลับ แข็งค้าง ราวกับเวลาถูกหยุดไว้ชั่วขณะ
ย่าหวังลุกตัวขึ้นเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว ดวงตาขุ่นมัวเบิกกว้างอย่างไม่อยากเชื่อสิ่งที่เห็น
สวีเจี้ยนจวินที่ปกตินั่งนิ่งดั่งรูปปั้น ยังต้องกระพริบตาช้า ๆ ราวกับคิดว่าตนเองมองผิดไป
สวี่กังที่กำลังอมข้าวอยู่ถึงกับชะงัก ข้าวแทบจะร่วงออกมาจากปากด้วยซ้ำ
เพราะใบหน้าของหนิงหนิง ใบหน้าที่เมื่อเช้านี้ยังช้ำทั้งสองข้าง แก้มบวมแดงเหมือนโดนตบจนเนื้อยุบ
บัดนี้กลับเรียบลื่นเป็ปกติราวกับไม่เคยถูกแตะต้องแม้ปลายเล็บ
ไม่แม้แต่รอยแดง ไม่แม้แต่จุดบวม ไม่มีแม้แต่เงาของความเ็ปที่ควรจะมี
ย่าหวังหรี่ตาลงอย่างจับผิด “นี่มันอะไรกัน?” เสียงแคบสูงสั่นเล็กน้อย
สวีเจี้ยนจวินขมวดคิ้ว แต่ยังไม่พูด ได้แต่มองลูกสาวเหมือนกำลังประเมินบางสิ่ง
สวี่กังเบ้ปาก แต่แววตากลับหวาด ๆ ขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว
และท่ามกลางความตกตะลึงนั้น หนิงหนิงเพียงก้าวเดินเข้ามายืนอยู่อย่างสงบ ราวกับไม่เห็นสายตาทุกคู่ที่กำลังจ้องเธอราวกับตัวประหลาด
บรรยากาศเงียบงันหนักอึ้ง จนแม้แต่เสียงลมหายใจก็ดังเกินไป
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารหนักอึ้งและเย็นเยียบยิ่งกว่าลมหนาวนอกบ้าน
จ้าวหลันรีบเดินไปเปิดฝาหม้อแล้วเริ่มตักข้าวต้มใส่ชาม กลิ่นหอมอ่อนๆ ของข้าวลอยฟุ้งขึ้นมา แต่มันก็ไม่อาจกลบกลิ่นอายแห่งความกดดันนี้ได้เลย
นางตักข้าวต้มชามแรกจนเกือบเต็ม มีเนื้อข้าวข้นกว่าส่วนอื่นอย่างเห็นได้ชัด แล้วเลื่อนไปวางตรงหน้าสวี่กัง ชามที่สองมีเนื้อข้าวรองลงมา ถูกวางไว้ตรงหน้าสามี ชามที่สามสำหรับตัวนางเองมีแต่น้ำข้าวใสๆ กับเมล็ดข้าวเพียงเล็กน้อย และชามสุดท้าย นางตักให้ย่าหวังซึ่งมีความข้นพอๆ กับของสามี
จากนั้นนางก็ทำท่าจะปิดฝาหม้อ โดยไม่มีชามใบที่ห้าสำหรับหนิงหนิง
"นั่งลงสิ! จะยืนค้ำหัวผู้ใหญ่ไปถึงไหน!" ย่าหวังตวาดขึ้น ทำลายความเงียบอันน่าอึดอัด "แต่ไม่ต้องหวังว่าจะได้กิน! คนขโมยของอย่างแก ต้องอดข้าวเพื่อสำนึกผิด!"
สวี่กังยกช้อนขึ้นตักข้าวต้มคำโตเข้าปาก เคี้ยวเสียงดังจั๊บๆ แล้วพูดเสริมขึ้นอย่างยียวน "ใช่แล้วท่านย่า คนไม่ทำงานทำการ ยังจะขโมยของกินอีก ต้องอดสักสามวันให้เข็ด!"
สวีเจี้ยนจวินยังคงนิ่งเงียบราวกับรูปปั้นหิน มีเพียงจ้าวหลันที่หน้าซีดเผือด นางมองลูกสาวด้วยแววตาละห้อย แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยปากขัดแม่สามี
นี่คือฉากความอดอยากในครอบครัวที่แท้จริง มันไม่ใช่แค่การไม่มีข้าวกิน แต่คือการถูกกีดกันและลงทัณฑ์โดยใช้ อาหาร เป็อาวุธ ข้าวหนึ่งชามในบ้านหลังนี้ ไม่ได้มีค่าแค่ประทังชีวิต แต่มันคือสัญลักษณ์ของอำนาจ ความรัก และการยอมรับ
แต่หนิงหนิงในวันนี้ไม่ใช่สวีหนิงคนเดิมอีกต่อไป
เธอไม่ร้องไห้ ไม่แสดงท่าทีหวาดกลัวหรืออ้อนวอน เธอกลับเดินตรงไปที่โต๊ะอย่างสงบนิ่ง หยิบชามกระเบื้องเปล่าใบหนึ่งที่วางซ้อนกันอยู่บนชั้นข้างๆ แล้วเดินกลับมายืนข้างโต๊ะ ดวงตาของเธอจ้องตรงไปยังย่าหวัง
"ท่านย่าคะ" เธอเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ "คนเราคือเหล็ก ข้าวคือเหล็กกล้า ไม่กินหนึ่งมื้อก็หิวจนทนไม่ไหว เมื่อวานฉันทำงานในนามาทั้งวันั้แ่เช้าจรดเย็น ได้รับคะแนนแรงงานมา 5 คะแนนเต็ม"
ทุกคนบนโต๊ะชะงัก แม้แต่สวีเจี้ยนจวินก็ยังเหลือบตามามองลูกสาวเป็ครั้งแรก
หนิงหนิงพูดต่ออย่างไม่หยุด "ตามกฎของคอมมูนประชาชน คะแนนแรงงานสามารถแลกเป็ส่วนแบ่งอาหารได้ ข้าวในหม้อนี้ ส่วนหนึ่งก็มาจากคะแนนแรงงานของหนู การที่ท่านย่าขังหนูไว้ในโรงเก็บฟืน ถือเป็การลงโทษไปแล้ว แต่การไม่ให้หนูกินข้าวที่หนูทำงานหามาเอง นี่มันขัดต่อกฎของส่วนรวมไม่ใช่เหรอคะ?"
"แก!" ย่าหวังตบโต๊ะเสียงดังปัง! จนชามข้าวต้มสั่นะเื "นังเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม! แกกล้ายกกฎของคอมมูนมาอ้างกับฉันรึ! ฉันเป็ย่าของแกนะ! ฉันจะให้แกกินหรืออด มันก็เป็สิทธิ์ของฉัน!"
"งั้นพรุ่งนี้เช้า หนูจะไปถามท่านผู้ใหญ่บ้านหลี่ดู" หนิงหนิงสวนกลับทันทีโดยไม่หลบสายตา "ถามให้แน่ใจไปเลยว่า คะแนนแรงงานที่สมาชิกคอมมูนหามาได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง ผู้าุโในบ้านมีสิทธิ์ยึดไปได้ตามใจชอบหรือไม่ ถ้าท่านผู้ใหญ่บ้านบอกว่าได้ ต่อไปหนูก็จะไม่ปริปากบ่นอีกแม้แต่คำเดียว"
คำว่า ผู้ใหญ่บ้านหลี่ เป็ดั่งสายฟ้าที่ฟาดลงกลางวงข้าว!
ใบหน้าของย่าหวังแปรเปลี่ยนจากแดงก่ำเป็ซีดเผือด นางกำหมัดแน่นจนเส้นเืปูดโปน ความโกรธปะทะกับความกลัวอย่างรุนแรงในใจ การทะเลาะในบ้านเป็เื่น่าอาย แต่การให้คนนอกอย่างผู้ใหญ่บ้านเข้ามาตัดสิน ยิ่งน่าอายกว่าเป็ร้อยเท่า! และที่สำคัญ นางรู้ดีว่ากฎของคอมมูนเป็อย่างไร ถ้าเื่นี้ถึงหูผู้ใหญ่บ้านจริงๆ คนที่จะเสียหน้าและถูกตำหนิก็คือตัวนางเอง!
"แก แกมัน นังหลานอกตัญญู!" นางเค้นคำพูดออกมาได้เพียงเท่านั้น
หนิงหนิงไม่สนใจคำด่าทอ เธอยื่นชามในมือออกไปตรงหน้าหม้อข้าวต้ม สายตาของเธอยังคงจับจ้องที่ย่าหวังไม่วางตา เป็การท้าทายอย่างเงียบงันที่ทรงพลังยิ่งกว่าการโต้เถียงใดๆ
บรรยากาศตึงเครียดจนแทบหายใจไม่ออก สวี่กังหยุดเคี้ยวข้าวแล้วมองหน้าย่ากับพี่สาวสลับกันไปมา จ้าวหลันยืนตัวแข็งทื่อ กัดริมฝีปากตัวเองจนห้อเื
ในที่สุด สวีเจี้ยนจวินที่นิ่งเงียบมาตลอดก็ขยับตัว เขาวางตะเกียบลงเสียงดัง เคร้ง! แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำแต่ทรงอำนาจ "พอได้แล้ว! น่ารำคาญ!"
เพียงสามคำสั้นๆ แต่กลับมีน้ำหนักราวกับูเาไท่ซาน
ย่าหวังสะดุ้งเฮือก นางอาจจะกล้าอาละวาดกับทุกคนในบ้าน แต่ก็ยังเกรงใจลูกชายคนนี้อยู่หลายส่วน นางหันไปถลึงตาใส่หนิงหนิงอย่างเจ็บแค้น ก่อนจะตวาดใส่จ้าวหลัน "มองอะไรอยู่เล่า! ตักให้มันไปสิ! ตักแต่น้ำข้าวให้มันกิน! ให้มันรู้สำนึกเสียบ้าง!"
จ้าวหลันรีบพยักหน้ารับ นางใช้ทัพพีกวาดเอาเฉพาะส่วนบนของหม้อที่เป็น้ำข้าวใสๆ แทบไม่มีเมล็ดข้าวปน ตักใส่ชามให้หนิงหนิงอย่างลวกๆ
หนิงหนิงรับชามนั้นมาโดยไม่แสดงสีหน้าใดๆ เธอเดินไปหยิบม้านั่งเตี้ยๆ ตัวหนึ่งมานั่งลงตรงมุมห้อง ห่างจากโต๊ะอาหารของครอบครัวราวกับเธอเป็คนนอก
เธอค่อยๆ ยกชามขึ้นซดน้ำข้าวต้มร้อนๆ ที่แทบจะไร้รสชาติ มันจืดชืดและไม่อาจทำให้หายหิวได้ แต่น้ำอุ่นๆ ที่ไหลผ่านลำคอกลับให้ความรู้สึกเหมือนผู้ชนะ
นี่คือชัยชนะครั้งแรกของเธอ
ข้าวหนึ่งชามนี้ มันไม่ได้เป็เพียงอาหาร แต่คือการประกาศอิสรภาพ คือการยืนยันสิทธิ์ในการมีชีวิตอยู่ของเธอ คือก้าวแรกของการต่อสู้ที่เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น
ขณะที่เธอกำลังกินอยู่นั้น หนิงหนิงก็ััได้ถึงพลังงานอุ่นๆ ที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกาย มันคือพลังจากน้ำในมิติหยกที่ช่วยฟื้นฟูร่างกายของเธอ ทำให้แม้จะกินเพียงน้ำข้าว เธอก็ไม่ได้รู้สึกหิวโซเหมือนก่อนหน้านี้อีกต่อไป
เธอซดน้ำข้าวในชามจนหมดเกลี้ยงไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่ดังพอให้ทุกคนได้ยิน "ขอบคุณสำหรับอาหารค่ะ"
จากนั้นเธอก็เดินกลับไปยังห้องนอนเล็กๆ ของตัวเองซึ่งอยู่ติดกับห้องครัว ทิ้งให้ครอบครัวที่เหลือจมอยู่กับบรรยากาศอันน่ากระอักกระอ่วนบนโต๊ะอาหาร
ย่าหวังโกรธจนกินข้าวไม่ลง สวีเจี้ยนจวินกินเงียบๆ จนหมดชามแล้วลุกออกไปทันที เหลือเพียงจ้าวหลันและสวี่กังที่นั่งกินข้าวต่อไปโดยไม่พูดอะไรอีก
