พวกเขาเดินมั่วไปตามฝูงชน ในหูยังได้ยินเสียงร้องเพลงอันไพเราะของอิ่นซีเิอยู่
อ๋าวหรานถามว่า “ไม่ใช่บอกว่ามีการแสดงริมถนนหรอกหรือ?”
จิ่งเซียงตอบว่า “น่าจะใกล้เข้ามาแล้วล่ะ พวกเขาจะมาช้ากว่าเทพธิดาดอกจินมู่อยู่สักหน่อย เราจะเดินสวนกับฝูงชนไปก็ได้ เช่นนั้นจะได้เจอคณะแสดงเร็วขึ้น”
อ๋าวหรานรีบสั่นศีรษะทันใด “อย่าเลย อย่าเลย เช่นนี้ก็ดีแล้ว เดินสวนกับฝูงชนเหนื่อยเกินไป”
จิ่งจื่อหัวเราะพรืด “มีความคิดอื่นมากกว่ากระมัง เกรงว่าเ้าคงจะติดใจเทพธิดาอิ่นผู้นี้เข้าแล้วล่ะสิ”
อ๋าวหรานไม่รู้จะทำอย่างไรจริงๆ อีกเดี๋ยวก็จะมีสถานการณ์สุดน้ำเน่าเกิดขึ้น เขาผู้รู้เนื้อเื่อยู่แล้วทำได้แค่วนเวียนอยู่ใกล้ๆ คนงามแซ่อิ่นผู้นี้ มิเช่นนั้นหากเดินจากไปไกลแล้ว จิ่งฝานอาจะต้องเสียดอกท้อไป
“มีแต่คนพูดว่าที่ฝั่งตระกูลจิ่งมีสาวงามมากมาย ไม่ได้พูดเกินจริงเสียด้วย แค่มองเทพธิดาดอกจินมู่นี้ก็งดงามเกินคนไปแล้วจริงๆ ดูทรวดทรงองค์เอวและขาเรียวงามนี่ แล้วยังมีดวงหน้านี้อีก เฮ้อ... เย้ายวนจนใจคันยุบยิบ ไม่รู้ว่าถ้าได้โอบไว้ในอ้อมแขนจะให้ความรู้สึกเช่นไร”
ตอนที่อ๋าวหรานได้ยินคำพูดนี้ เขาก็รีบหันศีรษะกลับไป คนพูดอยู่ด้านหลังฝั่งซ้ายของเขา ไม่เก็บอารมณ์บนใบหน้าเลยสักนิด แววตาละโมบ เหมือนจะฉีกริมฝีปากยิ้มไปถึงหลังหู แล้วยังมีท่าขยับนิ้วไปมาบ่อยๆ นั่นอีก ทำให้แค่คนมองก็รู้ได้ว่าเขากำลังคิดเื่ที่ไม่ควรพูดออกมาอยู่
อ๋าวหรานคิดในใจ มองร่างในชุดผ้าไหมยาวสีฟ้าเข้ม ก็พอจะฝืนนับได้ว่าหน้าตากลางๆ ค่อนไปทางดูดี แล้วยังมีบทพูดเช่นนี้อีก คิดว่าคนคนนี้คงเป็ หวางฮวายเหล่ย ไม่ผิดแน่
จิ่งเซียงเห็นอ๋าวหรานหันศีรษะ “มองอะไรน่ะ?”
อ๋าวหรานส่ายศีรษะ ฟังคำพูดของคนด้านหลังต่อไป
“คุณชายสงบเสงี่ยมหน่อยเถิด อย่างไรนี่ก็เป็เขตอิทธิพลของตระกูลจิ่ง”
“ตระกูลจิ่งแล้วอย่างไร? ตระกูลจิ่งนี่ก็เป็ญาติข้าเอง จะอย่างไรก็คงไม่เปิดศึกกับตระกูลหวางของข้าแค่เพราะผู้หญิงคนเดียวหรอกน่า แล้วอีกอย่าง ก็แค่ตระกูลจิ่งเท่านั้น แค่หมอบ้านนอกกกลุ่มหนึ่งที่ไม่เคยเห็นโลกภายนอกก็เพียงเท่านั้นเ อาแต่หดหัวอยู่ในฝั่งตะวันออกโทรมๆ นี่ทั้งวัน จะมีความสามารถอันใด?”
“คุณชายอย่าได้คิดเช่นนั้น อำนาจของตระกูลจิ่งนี่จะดูเบาไม่ได้ ถึงแม้พวกเขาจะยึดอาชีพหมอเป็หลัก แต่พลังอำนาจนั้นไม่อาจดูถูกได้อย่างแน่นอน”
“ต่อให้จะอย่างไร พวกเขาจะยังแข็งแกร่งกว่าตระกูลหวางของข้าหรือ?”
“คุณชาย...”
“เอาล่ะ ไม่ต้องพูดแล้ว ข้ารู้เ้าจะพูดอะไร ข้ารู้ขอบเขตน่า”
“ขอรับ”
“แต่ว่าผู้หญิงนี่ยังไงข้าก็ต้องได้”
“ขอรับ ข้าน้อยจะไปเตรียมการ”
“ใช้เ้าไปเตรียมการทำอะไร! ข้าทำเอง ชิงมาด้วยตัวเองถึงจะน่าสนุก ฮ่าฮ่าฮ่า!”
บทสนทนาที่ไร้ความระมัดระวังและบังอาจอย่างที่สุดนี้ ไม่ใช่แค่อ๋าวหราน แม่แต่จิ่งจื่อก็ยังหันศีรษะมามอง
ไม่คิดว่าการหันศีรษะมารอบนี้ สายตากลับไปปะทะเข้ากับสายตาของคนผู้นั้นเข้า
“มองอะไร! ระวังข้าจะควักลูกตาสุนัขของเ้าออกมา!”
จิ่งจื่อเดิมทีก็ไม่ใช่คนสงบเสงี่ยม จะไปกลัวได้อย่างไร? อีกทั้งคำขู่เช่นนี้สำหรับจิ่งจื่อแล้วก็เหมือนกับถูกมดจี้จุด คิดในใจ แล้วยังแสดงออกมาบนใบหน้าด้วยท่าทางยิ้มเยาะแบบดูถูกเช่นนี้ ทำให้หวางฮวายเหล่ยยิ่งโกรธหนักขึ้นไปอีก
“ไอเด็กบ้ายังมองอีก! งั้นก็เอาลูกตามา!”
คนคนนั้นพูดยังไม่ทันจบก็ยื่นมือกรงเล็บเหยี่ยว พุ่งมาทางจิ่งจื่อ อย่างรวดเร็ว การตอบสนองของจิ่งจื่อเองก็รวดเร็วมากเช่นกัน ยกแขนขึ้นกั้นในทันใด แต่ทว่ามือของคนคนนั้นยังมาไม่ถึงตรงหน้าเขา ก็ถูกจิ่งฝานที่เพิ่งจะหันตัวกลับมาจับเอาไว้ ขยับไม่ได้ ความเร็วและพละกำลังเช่นนี้ทำให้หวางฮวายเหล่ยใอย่างยิ่ง มือข้างหนึ่งถูกจับไว้ หวางฮวายเหล่ยถึงแม้จะใกลัว แต่ก็ไม่อ่อนแอ มืออีกข้างดึงกระบี่ข้างเอวแทงไปทางจิ่งฝานอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกัน ชายชุดดำด้านหลังหวางฮวายเหล่ยเองก็ถือกระบี่แทงไปทางจิ่งฝานด้วยเช่นกัน
อ๋าวหรานที่ยืนอยู่ข้างจิ่งฝาน รีบจับกระบี่ทันที กระบี่ยังไม่ทันได้ออกจากฝัก ก็ต้องรีบยกขึ้นไปกันปราณกระบี่ของชายชุดดำที่ที่จะพุ่งแทงจิ่งฝานคนนั้นไว้
ฝูงชนเห็นทางนี้ชักมีดชักกระบี่กันก็ค่อยๆ ถอยหลัง จะได้ไม่โดนลูกหลง
จิ่งฝานมือหนึ่งจับแขนหวางฮวายเหล่ย อีกมือยกกระบี่กันกระบี่ของหวางฮวายเหล่ย ดูทรงอำนาจอย่างมาก
จิ่งฝาน “ท่านทั้งสองเพลาๆ ลงหน่อยเถิด จะได้ไม่กระดูกหัก กลับตระกูลหวางตะวันตกไม่ได้”
เขตแดนของตระกูลหวางอยู่บนแผ่นดินใหญ่ฝั่งตะวันตก คนทั่วไปล้วนเรียกว่า ตระกูลหวางตะวันตก
หวางฮวายเหล่ยที่แค่เริ่มก็ถูกสกัดไว้จนสิ้น ราวกับไม่มีแรงตอกกลับเลย อีกทั้งฝั่งจิ่งฝานมีกันสี่คน จิ่งเซียงเป็เด็กผู้หญิงอาจจะมองข้ามไปได้ แต่คนที่เหลือแค่ดูก็รู้ว่าไม่ใช่คนที่จะต่อกรได้โดยง่าย หวางฮวายเหล่ยถึงแม้ว่าจะเป็คนยโสโอหังเพราะคิดว่าตนเก่ง แต่ก็ไม่ใช่คนไร้สมองไปทั้งหมด เขามาที่นี่นั้นก็เพราะมีงานสำคัญต้องทำ ถูกคนข้างทางสองสามคนทำให้เสียหน้าไม่ใช่สิ่งที่เขา้า
ชายหนุ่มหันไปส่งสายตาให้กับคนในบัญชา คนคนนั้นเข้าใจในทันที “คุณชายคุณหนูทั้งหลาย ใจร้อนแล้วจริงๆ คุณชายข้าเป็คนชอบเล่นสนุก ทั้งยังถูกที่บ้านรักใคร่ตามใจเกินไป ท่านทั้งหลายอย่าได้ใส่ใจ เขาหาได้มีเจตนาร้ายไม่”
พูดจบ คนคนนั้นก็รีบเก็บกระบี่ในมือ “คุณชาย อย่าก่อเื่ หากท่านยังก่อเื่เช่นนี้อีก กลับไปข้าจะต้องรายงานท่านผู้นำตระกูลแล้ว”
หวางฮวายเหล่ยคนนั้นก็หน้าหนา ตอนแรกยังทำสีหน้าดุดันเป็ั์มาร ตอนนี้กลับมาทำสีหน้าน้อยใจและสำนึกผิด
“ลุงหวาง ท่านห้ามบอกพ่อข้าเชียวนะ ท่านทั้งหลาย เป็ข้าที่ใจร้อนเกินไป ข้าแค่ชอบพูดไปเรื่อยเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาร้าย”
คำโกหกนี่พูดอย่างผ่าเผย ยอมเขาเลยจริงๆ ทว่าจิ่งจื่อกลับไม่ยอมเหลือทางให้โอกาสพวกเขามีทางลง “ท่านทั้งสองประโยคนี้พูดเสียเหมือนคนละคนกับเมื่อกี้ที่จะควักลูกตาข้าอยู่เลย จิตสังหารเมื่อครู่คงไม่ได้ล้อเล่นหรอกกระมัง”
ลิ่วล้อของหวางฮวายเหล่ยรีบยิ้มตาหยีพูดว่า “ทำให้ท่านทั้งหลายใแล้ว เมื่อกี้ข้าหยาบคายเกินไปจริงๆ เป็เพราะเห็นคุณชายข้าถูกจับไว้จึงเกิดใจร้อนขึ้นมา ขอให้ท่านทั้งหลายอภัยให้ด้วย คุณชายข้าเองก็ไม่ได้ควบคุมตัวเองให้ดี ข้าน้อยขอขมาไว้ ณ ที่นี้แล้ว”
อ๋าวหราน “......” ขโมยขื่อเปลี่ยนเสา [1] จิ่งจื่อกำลังว่าหวางฮวายเหล่ยอยู่ชัดๆ เ้ากลับเอาตัวเข้ารับแทนเสียแล้ว
หวางฮวายเหล่ยเองก็รู้ว่าวิธีพูดเช่นนี้ยังไม่ดีพอ รีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที “ในเมื่อได้พบแล้วก็ถือเป็วาสนา พวกเราไม่สู้มารู้จัก มาผูกมิตรกันเถิด ข้าน้อยนายน้อยแห่งตระกูลหวางตะวันตก หวางฮวายเหล่ย ไม่ทราบว่าท่านทั้งหลายมีนามว่าอะไร?”
จิ่งเซียงใ “นายน้อย? เช่นนั้นไม่ใช่ว่า...”
จิ่งเซียงยังพูดไม่ทันจบก็ถูกจิ่งจื่อส่งสายตาหยุดไว้ไม่ให้พูดจนจบ
หวางฮวายเหล่ยเห็นว่ามีคนต่อบทสนทนา แล้วยังเป็สาวงามอีกด้วย เขาจึงฉีกยิ้มสดใสขึ้นทันใด ท่าทางมีมารยาท “แม่นางรู้จักข้าหรือ? เป็เกียรติกับข้าน้อยอย่างยิ่ง ยังไม่ทราบนามของแม่นางเลย เป็คุณหนูตระกูลใดกัน ถึงได้งามเหมือนเทพเซียนเช่นนี้”
อ๋าวหราน “......” ขึงไว้ด้วยหนังคนแต่ก็ยังไม่อาจแก้ไขนิสัยเดิมที่กินอุจจาระได้ [2]
“แหม ได้พบกับคุณชายทั้งหลายบนถนนที่เต็มไปด้วยฝูงชนเช่นนี้ เป็โชคของหลางฉาเสียจริง”
จิ่งเซียง “......”
อ๋าวหราน “......” ยังจะเพิ่มเข้ามาอีก ครึกครื้นเกินไปแล้ว
เชิงอรรถ
[1] ขโมยขื่อเปลี่ยนเสา หมายถึงสลับตัวเปลี่ยนตัว
[2] กินอุจจาระ หมายถึงสุนัข
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้