เล่มที่ 1 บทที่ 5
มู่หรงฉิงมองสังเกตฮูหยินหลิง ในเวลาเดียวกันฮูหยินหลิงก็เหลือบสายตามองไปทางมู่หรงฉิง
สายตาของทั้งคู่ประสานกัน ก่อนคนทั้งสองจะมีอาการตกตะลึง
ช่างเป็สายตาที่เ็าเสียนี่กระไร
ช่างเป็สายตาที่เฉยเมยเสียนี่กระไร
เพียงชั่วพริบตา ทั้งคู่ก็กลับสู่สภาวะปกติอีกหน
“ไม่ได้ดีเลิศเท่างานศิลปะที่มีชื่อเสียง ทำให้ฮูหยินหลิงต้องหัวเราะแล้ว” ได้รับคำชมจากฮูหยินชั้นที่หนึ่ง ฮูหยินผู้เฒ่าย่อมรู้สึกดีใจแต่กระนั้นก็ยังคงพูดถ่อมตัวเล็กน้อย
“ฮูหยินผู้เฒ่าช่างถ่อมตนเสียจริง” สนทนากับฮูหยินผู้เฒ่าแต่ฮูหยินหลิงยังคงไม่ละสายตาจากมู่หรงฉิง “นั่นก็หมายความว่า กว่าหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ผู้ที่นั่งคุกเข่าอยู่ด้านหน้าประตูวัดของท่านเ้าอาวาสหวูวู่เป็เวลาสามวัน ผู้หญิงที่หมายจะให้ผู้เป็ย่าได้รับพระพุทธรูปที่ปลุกเสกเบิกเนตรผู้นั้น ดูเหมือนจะเป็เ้าใช่หรือไม่?”
หลังจากฮูหยินชั้นที่หนึ่งพูดจบ แต่ละคนต่างใ แม้กระทั่งฮูหยินผู้เฒ่าเองก็ใเช่นเดียวกัน
มากกว่าหนึ่งเดือนที่แล้ว? ตอนนั้นมู่หรงฉิงบอกว่าจะไปจุดธูปสักการะ ฮูหยินผู้เฒ่าเพียงสันนิษฐานว่า มู่หรงฉิงกำลังจะเข้าพิธีปักปิ่น จึงคิดถึงมารดาที่จากโลกนี้ไปแล้ว แต่ไม่นึกเลยว่าหลานสาวผู้นี้จะไปวัดเพื่อขอให้ท่านเ้าอาวาสหวูวู่ปลุกเสกเบิกเนตร
ในราชวงศ์นี้สิ่งของที่ได้รับการปลุกเสกเบิกเนตรจากท่านเ้าอาวาสหวูวู่นั้นมีน้อยชิ้นมาก แต่นึกไม่ถึงว่าด้วยความสัมพันธ์ของมู่หรงฉิง นางจึงมีสิ่งหายากเช่นนี้
ตอนที่ได้รับของขณะอยู่ในห้อง ได้ยินแม่นมฟางพูดเหมือนกันว่างานปักสองด้านนี้ถูกปลุกเสกเบิกเนตรจากเ้าอาวาสหวูวู่ ทว่าฮูหยินผู้เฒ่ายังเชื่อครึ่งหนึ่งและสงสัยครึ่งหนึ่ง นางตั้งใจจะส่งคนไปตรวจสอบความจริง แต่แล้วไม่คาดคิดเลยว่าก่อนที่นางจะส่งคนไปตรวจสอบ นางก็ได้รับการยืนยันจากฮูหยินหลิง ชั่วขณะหนึ่งนางจึงรู้สึกซาบซึ้งใจ ทั้งรู้สึกตื่นเต้นและรู้สึกภาคภูมิใจจากก้นบึ้งของหัวใจ...
“ฮูหยินหลิงก็พูดเกินไป เฉินฟู่[1] แค่้าจะใช้ความพยายามเพียงเล็กน้อยนี้เพื่อแสดงความกตัญญูกตเวทีเท่านั้น” มู่หรงฉิงลุกขึ้นยืนพลางค้อมคำนับให้ฮูหยินหลิงอย่างสุดซึ้ง นางเอ่ยด้วยท่าทีถ่อมตัวและไม่เย่อหยิ่ง
สายตาของฮูหยินหลิงเป็ประกาย และหลังจากมองดูมู่หรงฉิงเป็เวลานาน นางก็เปล่งเสียงสบายๆ “ข้าดูงานปักสองด้านนี้ก็รู้สึกว่าเป็งานปักสองด้านที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวจริงๆ ไม่รู้จะสามารถหน้าหนาขอสิ่งนี้จากฮูหยินผู้เฒ่าได้หรือไม่?”
ด้วยคำพูดอันน่าใส่งผลให้เสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างไม่หยุดหย่อนภายในห้องโถงถึงกับเงียบลงทันทีทันใด
กล่าวได้ว่าความภาคภูมิใจของฮูหยินผู้เฒ่าเมื่อครู่ก่อน ได้แปรเปลี่ยนเป็ความหงุดหงิดทันควัน นางชอบงานปักสองด้านนี้เป็อย่างมาก นอกจากมันจะเป็สิ่งของหายากในใต้หล้าแล้ว มันยังถูกปลุกเสกเบิกเนตรจากเ้าอาวาสหวูวู่อีกด้วย สำหรับฮูหยินผู้เฒ่าที่บูชาพระพุทธเ้าเป็เวลาหลายปีย่อมมองว่าเป็สมบัติหายากและล้ำค่าเป็อย่างมาก
สมบัติอันล้ำค่า นางจะส่งมอบให้ผู้อื่นได้อย่างไร?
หลังจากคำพูดของฮูหยินหลิงสิ้นสุด ห้องโถงก็เงียบกริบไปในทันใด
การเผชิญหน้ากับฮูหยินหลิงส่งผลให้ฮูหยินผู้เฒ่ารู้สึกโกรธกระทั่งหายใจก็ยากลำบาก
แม้ฮูหยินหลิงจะมียศเป็ฮูหยินชั้นที่หนึ่ง ถึงกระนั้นนางก็ไม่มีอำนาจที่แท้จริง นางแค่ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้และฮองเฮาถึงได้มีท่าทีโอหัง
ฝั่งมู่หรงอั้นแห่งจวนกวงลู่ซื่อชิงมีตำแหน่งเป็ขุนนางระดับสาม ในแง่ของยศนั้นไม่สูงนัก เมื่อเทียบเท่ากับฮูหยินหลิง แต่ท้ายที่สุดแล้วมู่หรงอั้นก็เป็ขุนนางของฮ่องเต้ที่มีทั้งหน้าที่การงานและอำนาจ และในเวลานี้ยังได้รับความโปรดปรานจากองค์ฮ่องเต้ ถ้าไม่เช่นนั้นย่อมไม่มีขุนนางในราชสำนักระดับสูงมาร่วมเฉลิมฉลองวันคล้ายวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่าเป็แน่
แต่นึกไม่ถึงว่าฮูหยินหลิงจะขอของขวัญวันคล้ายวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่าต่อหน้าทุกคน โดยไม่คำนึงถึงสถานะของนาง ซึ่งทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ารู้สึกคล้ายกับถูกตบอย่างกะทันหัน นางรู้สึกเสียหน้าเป็ที่สุด
ในห้องโถงที่เงียบกริบ แต่ละคนลดเสียงหายใจเข้าออกให้เบาลงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ไปโดยปริยาย เป็สาเหตุให้บรรยากาศมีชีวิตชีวาในตอนแรกมีแต่ความกระอักกระอ่วน
“ฮูหยินหลิงพูดเป็เล่นไป งานเย็บปักถักร้อยของเฉินฟู่จะสู้กับงานเย็บปักถักร้อยของช่างตัดเย็บในวังหลวงได้อย่างไร”
ใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่ามืดมนทั้งไม่อาจให้คำตอบได้ มู่หรงฉิงจึงใช้สถานะผู้น้อยออกหน้าพร้อมด้วยรอยยิ้มอันสวยงามโดยนำบทสนทนากลับมาสู่ตนเสียอย่างนั้น
ด้วยถ้อยคำของฮูหยินหลิง ไม่ว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะเอ่ยตอบอย่างไร คำตอบทั้งหมดล้วนตกเป็เป้าสายตา ทั้งยังเป็ประเด็นให้ผู้คนหัวเราะเยาะ ถ้าตอบว่าจะให้ ก็เป็การบ่งชี้ให้เห็นว่านางถูกรังแกในงานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิด นางจะกลายเป็ตัวตลกในวันข้างหน้าอย่างแน่นอน แต่ถ้านางตอบว่าไม่ให้ ก็เป็การดูถูกฮูหยินหลิง กระทั่งเป็การดูถูกคนในครอบครัวของราชวงศ์ด้วย
ฮูหยินหลิงอยู่ในเมืองหลวง นางเป็ผู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังเพราะได้รับความโปรดปรานเป็อย่างมาก ตราบใดที่ฮูหยินหลิง้า ไม่มีสิ่งใดที่ฮ่องเต้และฮองเฮาจะปฏิเสธ เช่นงานเลี้ยงในวังหลวงเมื่อคราวก่อน ฮูหยินหลิงชอบฝีมือการชงชาของนางกำนัลที่คอยดูแลอยู่เคียงข้างฮองเฮา อีกฝ่ายก็ยอมมอบนางกำนัลซึ่งรับใช้ตนมาหลายปีแก่ฮูหยินหลิงโดยไม่ปฏิเสธแต่อย่างใด
นางกำนัลผู้นั้นมีฝีมือการชงชาอยู่ในระดับที่ดีเยี่ยม หลังจากได้ยินว่าฮองเฮาได้พระราชทานนางกำนัลให้ฮูหยินหลิง ไทเฮาก็ถึงกับกินไม่ได้ ดื่มไม่ได้เป็เวลาหลายวัน
แม้กระทั่งฮองเฮายังยอมมอบให้ได้ ถ้าเกิดฮูหยินผู้เฒ่าตอบปฏิเสธไปย่อมเป็การตบพระพักตร์ของฮ่องเต้ ตลอดจนตบพระพักตร์ของไทเฮา สิ่งที่มากไปกว่านั้นคือเป็การตบหน้าสมาชิกในราชวงศ์ด้วย
ด้วยสาเหตุดังกล่าวทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าตัดสินใจเลือกไม่ได้ว่าควรจะตอบปฏิเสธหรือตอบตกลง
ฮูหยินผู้เฒ่าไม่รู้ว่าจะตอบว่าอย่างไรดี แต่มู่หรงฉิงนั้นแตกต่างออกไป เพราะท้ายที่สุดแล้วนางคือผู้ให้ของขวัญชิ้นนั้น
“อ้อ? แต่เมื่อเปิ่นฮูหยินเห็นงานปักชิ้นนี้ ก็ทำให้หวนนึกถึงคนที่เคยรู้จัก จึงชอบมันมากจริงๆ” มู่หรงฉิงรับคำสนทนา ใบหน้าของฮูหยินหลิงเ็าเล็กน้อยพร้อมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เ้าคงไม่ดูถูกเปิ่นฮูหยินใช่หรือไม่?”
เสียงเ็าของฮูหยินหลิงส่งผลให้บรรยากาศกระอักกระอ่วนยิ่งทวีความอึดอัดเพิ่มมากขึ้นไปอีก แต่ละคนยิ่งหายใจให้เบามากขึ้น โดยกลัวว่าพวกเขาจะพลอยเดือดร้อนไปด้วย
ฮูหยินผู้เฒ่ารู้สึกหงุดหงิด แต่อย่างไรเสียนางก็ไม่สามารถทำอะไรได้ นางเพียงรู้สึกว่ามีไฟลุกโชนที่หน้าอก และใบหน้าของนางก็ถูกย้อมจนเป็สีแดงก่ำอย่างไม่สู้ดีนัก
ครั้นเห็นว่าของขวัญวันคล้ายวันเกิดที่มู่หรงฉิงมอบให้กำลังจะเกิดเื่ขึ้น ความเกลียดชังบนใบหน้าของมู่หรงยวี่จึงถูกแทนที่ด้วยความปีติยินดีในทันทีทันใด
ฮึ่ม! มู่หรงฉิง ข้ารู้อยู่ว่าเ้าเป็ตัวหายนะ ทำงานปักสองด้านแล้วอย่างไรเล่า? ผลลัพธ์ที่ได้กลับไม่ใช่อายุยืน แต่แปรเปลี่ยนเป็ความโชคร้ายแทนน่ะสิ
ในระหว่างมู่หรงยวี่ดีใจต่อความโชคร้ายของมู่หรงฉิง นางก็ไม่ได้ใส่ใจสีหน้าของตนเองโดยสิ้นเชิง ฮูหยินผู้เฒ่าอัดอั้นตันใจจนหายใจไม่ออก จังหวะนั้นหางตาเหลือบไปทางมู่หรงยวี่เล็กน้อยอย่างประจวบเหมาะ หญิงสูงวัยเห็นสีหน้าดีใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นของมู่หรงยวี่ ความขุ่นเคืองจึงเพิ่มขึ้นสองสามส่วน
หญิงสูงวัยจ้องไปทางมู่หรงยวี่อย่างดุเดือดพร้อมก่นด่ามู่หรงยวี่ในใจ รอให้เื่นี้จบลงก่อน ดูซิว่าข้าจะจัดการกับเ้าอย่างไร
มู่หรงยวี่ซึ่งกำลังมีความสุขยังคงไม่รับรู้ถึงความขุ่นเคืองของฮูหยินผู้เฒ่า ทว่าอนุหนิงที่อยู่ถัดจากมู่หรงยวี่กลับรีบเตะมู่หรงยวี่ ไม่ให้ลืมตัว...
“ฮูหยินหลิงพูดแรงไปแล้ว” มู่หรงฉิงรีบคุกเข่าลงหลังจากได้ยินเสียงฮึของฮูหยินหลิง “งานปักชิ้นนี้เป็งานปักที่เฉินฟู่ขอพรสำหรับท่านย่า ขอพรให้ท่านย่ามีสุขภาพดีและปลอดภัย ความปรารถนานี้เป็ความปรารถนาที่เฉินฟู่คุกเข่าเบื้องหน้ารูปปั้นพระพุทธเ้าเป็เวลาสามวันก่อนถึงจะได้มา ถ้าเกิดมอบงานปักชิ้นนี้ให้ฮูหยินหลิงก็เทียบเท่ากับการหลอกลวงพระพุทธเ้านะ”
ความหมายก็คือนี่คือชิ้นงานที่มาจากความกตัญญูกตเวที ถ้าเ้า้าจะเอาไป เ้าไม่กลัวพระพุทธเ้าจะตำหนิหรือ?
เ้าได้รับการคุ้มครองจากฮ่องเต้และฮองเฮา พระพุทธเ้า เ้าก็อาจหาญขัดขืนกระนั้นหรือ?
หลังจากมู่หรงฉิงพูดจบ นางก็คุกเข่าอยู่ที่เดิมอย่างเงียบๆ กระดูกสันหลังเหยียดตรงสะท้อนถึงท่าทีไม่ถ่อมตัว ขณะเดียวกันก็ไม่ได้ดูหยิ่งทะนงจนเกินงาม การจ้องมองอย่างตรงไปตรงมาทั้งกระจ่างแจ้งและชาญฉลาด ยิ่งเสริมส่งนางที่ได้ชื่อว่าเป็สตรีผู้เลอโฉมอันดับสามในบรรดาสตรีทั้งหมด ให้ดูสงบเสงี่ยมเพิ่มมากขึ้นอีก
ขณะมองมู่หรงฉิงที่เบื้องหน้า ฮูหยินหลิงถึงกับเผลอเสียสติอยู่เล็กน้อย ทำให้ดวงตาแหลมคมแฝงความน่าเกรงขามของนางเริ่มพร่ามัวอยู่หลายส่วน
มีความละม้ายคล้ายคลึง มีความละม้ายคล้ายคลึงกันเป็อย่างมาก มีความละม้ายคล้ายคลึงกันเป็อย่างมากจริงๆ
“เฮอะ ช่างเป็ผู้หญิงพูดจาฉะฉานเสียจริง” หลังจากมองดูเด็กสาวตรงหน้าเป็เวลานาน ขณะที่ทุกคนต่างรู้สึกว่าพวกเขากำลังจะพังทลายในบรรยากาศแห่งความเงียบงัน ฮูหยินหลิงก็เอ่ยปาก น้ำเสียงนั้นไม่มีความเ็าเฉกเช่นก่อนหน้า ระหว่างมองไปทางมู่หรงฉิง สายตาของนางมีความซับซ้อนมากขึ้นเล็กน้อย โดยที่มู่หรงฉิงไม่อาจเข้าใจได้ “แต่ข้าชอบฝีมือการปักของเ้าจริงๆ และยิ่งไปกว่านั้น ข้าชอบงานปักสองด้านของเ้าชิ้นนี้มาก อย่างนั้นจะทำอย่างไรดี?”
มู่หรงฉิงลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก หลังจากได้ยินคำพูดของฮูหยินหลิงและพิจารณาจากถ้อยคำดังกล่าว ฮูหยินหลิงจะไม่บังคับให้ส่งมอบงานปัก ดูเหมือนว่าฮูหยินหลิงไม่ได้หยิ่งทะนงและเอาแต่ใจอย่างที่ผู้คนภายนอกได้ร่ำลือไว้
นางค้อมคำนับเพื่อแสดงความขอบคุณต่อฮูหยินหลิง แม้เสียงของมู่หรงฉิงจะอ่อนโยนถึงกระนั้นก็ดังกังวาน มีพลังและชัดถ้อยชัดคำ “เป็วาสนาสำหรับเฉินฟู่ที่งานปักชิ้นนี้เข้าตาของฮูหยินหลิง เฉินฟู่อาจหาญ ใคร่ขอฮูหยินหลิงให้โอกาสเฉินฟู่ได้มอบงานปักให้ชิ้นหนึ่ง”
“อ้อ! แต่งานปักสองด้านของเ้าชิ้นนี้เป็ผลงานชิ้นเอกที่ผ่านการปลุกเสกเบิกเนตรเชียวนะ” คำพูดของมู่หรงฉิงสอดคล้องกับความปรารถนาของฮูหยินหลิงเป็อย่างมาก มู่หรงฉิงพูดไว้ว่า ‘ให้โอกาสเฉินฟู่’ แต่ไม่ใช่ ‘เฉินฟู่ขอถวายของขวัญอย่างกล้าหาญ’
“หลังจากปักเสร็จเรียบร้อยแล้ว เฉินฟู่จะต้องไปสักการะพระพุทธรูปที่วัดและขอให้ท่านเ้าอาวาสปลุกเสกเบิกเนตร จากนั้นก็จะนำไปถวาย”
“โอ้? เ้าขอพรให้ฮูหยินผู้เฒ่าอายุยืนยาว สุขภาพดีและปลอดภัย ไม่รู้ว่าจะขอพรให้เปิ่นฮูหยินว่าอย่างไร?” ด้วยเสียงหัวเราะอันนุ่มนวลส่งผลให้คำถามฟังคล้ายการสัพยอก แต่แท้ที่จริงกลับแฝงเร้นกลิ่นอายแห่งการสังหาร
ฮูหยินหลิงมียศสูงศักดิ์ ไร้กังวลซึ่งเื่อาหารและเสื้อผ้า แต่งงานกับแม่ทัพใหญ่พิทักษ์แผ่นดินผู้ที่มีอายุมากกว่าถึงสิบกว่าปี และท้ายที่สุดนางก็กลายเป็หญิงม่าย โดยที่ก่อนหน้านั้นไม่มีการให้กำเนิดทายาท
ถ้าจะบอกว่า้าขอพรเื่เงินทอง ย่อมทำให้ผู้คนหัวเราะเยาะเอาได้ ด้วยการสนับสนุนจากวังหลวง ฮูหยินหลิงยัง้าเงินทองอีกหรือ? แต่ถ้าบอกว่า้าขอพรเื่ความปรองดองในครอบครัว นั่นนับว่าเป็การแหย่จุดที่เ็ปของฮูหยินหลิง ครอบครัวของนางสูญสิ้นมลายไปแล้ว จะให้นางปรองดองได้อย่างไร? และยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะขอให้ลูกๆ ของนางมีสุขภาพดีและปลอดภัย...
คำถามของฮูหยินหลิงยิ่งเป็สาเหตุให้ฮูหยินผู้เฒ่าทวีความวิตกกังวลมากขึ้น นี่ดูเหมือนฮูหยินหลิงเจตนาจะทำให้ลำบากใจ ฮูหยินผู้เฒ่าไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเหตุใดฮูหยินหลิงถึงได้พยายามทำให้ลำบากใจในวันนี้? ในขณะวิตกกังวลหญิงสูงวัยได้ชายตามองอนุหนิงโดยไม่ได้ตั้งใจ ก่อนหันมองมู่หรงฉิงด้วยสีหน้าวิตกกังวลราวกับว่านางเป็ห่วงมู่หรงฉิงอย่างแท้จริงอย่างไรอย่างนั้น
“เฉินฟู่โง่เขลาเบาปัญญา รู้แค่ว่าทุกคนในใต้หล้าหมายจะให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็ไปดั่งใจปรารถนา ด้วยเหตุนั้นเฉินฟู่จึงอยากจะขอพรต่อพระพุทธเ้าคุ้มครองฮูหยินหลิงให้มีสุขภาพพลานามัยที่แข็งแรง ปลอดภัย และขอให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็ไปดั่งใจปรารถนาทุกประการ”
ขณะที่บางคนวิตกกังวล บางคนประหม่า บางคนกำลังชมความเป็ไปของเหตุการณ์ มิหนำซ้ำยังมีบางคนที่มีความเกลียดชัง ทว่ามู่หรงฉิงก็เอ่ยตอบด้วยเสียงเบาแต่ชัดถ้อยชัดคำ
“ขอให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็ไปดั่งใจปรารถนาทุกประการ เฮอะ! การขอพรให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็ไปดั่งใจปรารถนาทุกประการนี่ดีเสียยิ่งกระไร”
มู่หรงฉิงย่อมรู้ว่าฮูหยินหลิงเจตนาทำให้ลำบากใจ แม้นางจะพูดอย่างไร นางก็พูดผิดอยู่ดี แต่ถึงอย่างไร การไม่เอ่ยตอบก็เป็สิ่งที่นางทำไม่ได้เช่นเดียวกัน คิดได้ดังนั้น นางจึงเดิมพัน... โดยเดิมพันความไม่ได้ดั่งใจในส่วนลึกๆ ของหัวใจของฮูหยินหลิง
มีใครบ้างที่อยากจะแต่งงานกับคนอายุมากกว่าสิบปี? มีใครบ้าง้าแสดงท่าทีเย่อหยิ่งแม้ต้องใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางความสงสัยและการเยาะเย้ยหลังจากผู้เป็สามีถูกปะา? ฮูหยินหลิงมีความสุขหรือไม่? ไม่! นางไม่มีความสุข สังเกตจากแววตาเ็าก็สามารถเห็นได้กระจ่างว่าการใช้ชีวิตเช่นนี้ ไม่ใช่ชีวิตที่นางปรารถนา
สาเหตุที่ฮ่องเต้และฮองเฮาตามใจฮูหยินหลิงย่อมมีสิ่งที่พูดไม่ได้เป็แน่แท้ หรือบางทีอาจจะเป็เพราะรู้สึกผิดต่อฮูหยินหลิง หรือไม่ก็เพื่อเป็การตอบแทนฮูหยินหลิง
ไม่ว่าจะมองจากแง่มุมใดก็ตาม ฮูหยินหลิงคงไม่ใช่คนประเภทที่ทำทุกอย่างได้ดั่งใจปรารถนา อย่าว่าแต่ฮูหยินหลิงเลย แม้กระทั่งคนในเรือนจะมีสักกี่คนที่สามารถทำทุกสิ่งได้ดั่งใจปรารถนา?
ด้วยเหตุนั้นมู่หรงฉิงจึงกล่าวในตอนต้นว่า “รู้เพียงว่าทุกคนในใต้หล้า้าให้ทุกอย่างเป็ไปดั่งใจปรารถนา” การเกริ่นเช่นนั้น ฮูหยินหลิงย่อมไม่พบจุดบกพร่องสำหรับการโจมตี แน่นอนว่าถ้าฮูหยินหลิงหยิ่งทะนงดั่งที่โลกภายนอกเขาร่ำลือกันจริงๆ มู่หรงฉิงคงไม่มีพลังในการแก้ไขมันได้เป็แน่แท้
หลังจากฮูหยินหลิงพูดว่า ‘ดี’ ซ้ำๆ หลายหน มู่หรงฉิงก็เห็นประกายวาววับในดวงตาของฮูหยินหลิง มู่หรงฉิงรู้ว่าภัยพิบัตินี้ได้คลี่คลายแล้ว
ปรากฏว่าฮูหยินหลิงได้เผยรอยยิ้มบนใบหน้าจริงๆ ด้วย นางเดินมาตรงหน้าของมู่หรงฉิง ก่อนประคองมู่หรงฉิงให้ยืนขึ้นด้วยตัวเอง ต่อมาก็ดึงกำไลข้อมือหยกสีเขียวใสออกจากข้อมือ “ดังนั้น เปิ่นฮูหยินขอมอบของขวัญเป็การขอบคุณก่อน คุณหนูใหญ่มู่หรงอย่าส่งงานปักล่าช้าเชียวล่ะ”
“เฮ้อ...”
“เฉียดฉิวอันตราย…”
ทันทีที่ฮูหยินหลิงสวมกำไลใส่ข้อมือของมู่หรงฉิง เสียงถอนหายใจ เสียงแห่งความโล่งใจก็ดังขึ้นมา
“เ้าทำให้ข้าสบายใจมากกว่าแม่ของเ้าเสียอีก” ในระหว่างมู่หรงฉิงรีบกล่าวคำขอบคุณ ฮูหยินหลิงได้กระซิบข้างใบหูด้วยเสียงแ่เบาซึ่งได้ยินเฉพาะพวกนางสองคนเท่านั้น
ท่านแม่หรือ?
มู่หรงฉิงรู้สึกประหลาดใจ ฮูหยินหลิงรู้จักท่านแม่ของนางด้วยหรือ?
เห็นๆ อยู่ว่าฮูหยินหลิงไม่้าให้ผู้อื่นรู้เื่ หลังจากพูดจบ นางก็เดินกลับไปนั่งที่เดิม “ฮูหยินผู้เฒ่ามีหลานสาวที่รู้ใจจริงๆ”
“นั่นสิ” ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มอย่างเก้อเขิน แม้นางจะไม่ได้เสียหน้า แต่อย่างไรนางก็ต้องกดความขุ่นเคืองต่อความเย่อหยิ่งของฮูหยินหลิงซึ่งเป็เื่ยากที่จะขจัดให้หายไปจนหมดสิ้น
ฮูหยินผู้เฒ่าพอใจกับวิธีการของมู่หรงฉิงเป็อย่างมาก ดูเหมือนว่าจะทำให้อนุหนิงได้เห็นแล้ว ถ้าเดาไม่ผิด สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้จะต้องมีความเกี่ยวข้องกับอนุหนิง
มีใครไม่รู้ว่าผู้เป็น้าในเครือญาติห่างๆ ของอนุหนิงคือหนิงกุ้ยเหรินในวังหลวง และกุ้ยเหรินท่านนั้น สนิทสนมชิดเชื้อกับฮูหยินหลิงอยู่หลายส่วน
เพียงแต่อนุหนิงกับสนมหนิงกุ้ยเหรินแทบไม่ได้ติดต่อกันเลย ในเื่นี้ฮูหยินผู้เฒ่ารู้สึกว่าห่างไกลความเป็ไปได้เล็กน้อยหาก้าดึงอนุหนิงเข้ามาข้องเกี่ยวด้วย
ไม่เป็ไร สิ่งที่เกิดขึ้นก็ทำได้เพียงเท่านี้
ถึงกระนั้นนางยิ่งรู้สึกยอมรับมู่หรงฉิงมากกว่าเดิม ด้วยความที่ยอมรับมู่หรงฉิงเพิ่มมากขึ้น จึงพูดในสิ่งที่ไม่ได้วางแผนไว้ออกมา “วันนี้เป็วันคล้ายวันเกิดของล่าวเซิน[2] ฉิงเอ๋อร์อยู่ใน่เวลาไว้ทุกข์สามปี เ้าเด็กคนนี้ไม่มีแม้กระทั่งเสื้อผ้าสีสดใส เพื่อไม่ให้เป็การกวาดความมงคลของล่าวเซิน และด้วยการระลึกถึงแม่ของนางที่จากไปเร็ว จึงสวมชุดสุ่ยหยุนซึ่งเป็ชุดที่ฮองเฮาพระราชทานให้ชิงหย่า ล่าวเซินเองก็คิดถึงชิงหย่าเ้าลูกคนนั้น จึงอนุญาตให้นางสวมชุดนี้ในวันนี้ เ้าเด็กคนนี้มาคำนับั้แ่เช้าตรู่ ทำให้ข้ารู้สึกตะลึงจริงๆ เ้าเด็กคนนี้ละม้ายคล้ายคลึงกับแม่ของนางมากขึ้นอีกแล้ว”
-------------------------------
[1] เฉินฟู่ สตรีสมาชิกในครอบครัวขุนนางใช้เฉินฟู่ในการเรียกแทนตนเองเวลาสนทนากับบรรดาสมาชิกในราชวงศ์)
[2] ล่าวเซิน คือคำแทนตัวที่หญิงสูงวัยใช้เรียกตนเอง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้