จวินจิ่วเฉินไม่เคยมีความอดทนในการรอคอยคนอื่น ทว่าในยามนี้เขากลับรอให้กูเฟยเยี่ยนตื่นขึ้นมา น่าเสียดายที่เขาไม่ทราบสถานการณ์ภายในห้องนั้น
เซี่ยเสี่ยวหม่านคอยรับใช้อยู่ด้านข้าง เดิมทีเขา้าหยั่งเชิงเ้านายตนเองว่าจะออกใบประกาศหรือไม่ แต่เมื่อเห็นว่าวันนี้อารมณ์ของเ้านายไม่ดี เขาจึงเกิดความลังเลขึ้นมา
หากว่าเฉิงอี้เฟยไม่ได้ออกประกาศเื่ราวก็คงไม่มีอะไร แต่เมื่อเฉิงอี้เฟยออกประกาศแล้วจิ้งหวางเตี้ยนเซี่ยกลับปิดปากเงียบ มันจะทำให้คนภายนอกคิดเห็นอย่างไรกัน? เป็ไปได้หรือไม่ว่าจิ้งหวางเตี้ยนเซี่ยทรงขาดความมั่นใจ? เป็ไปได้หรือไม่ว่าจิ้งหวางเตี้ยนเซี่ยยอมรับในข่าวลือเ่าั้?
เมื่อถึงเวลารับประทานอาหาร จวินจิ่วเฉินจึงให้เซี่ยเสี่ยวหม่านไปเคาะประตูอีกครั้ง แต่เซี่ยเสี่ยวหม่านเคาะอยู่นาน ภายในห้องก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ต่อให้เป็การนอนหลับก็ไม่ถึงขนาดที่จะปลุกไม่ตื่นถูกไหม?
จวินจิ่วเฉินััได้ถึงความผิดปกติ เขาก้าวเท้าพรวดพราด พลางหันไปถามเซี่ยเสี่ยวหม่านด้วยความเ็า “นางพูดจริงหรือว่า้าพักผ่อน? ” เซี่ยเสี่ยวหม่านก็เกิดความร้อนรนแล้ว “แพทย์หญิงกูบอกว่า้างีบหลับ แล้วยังปิดประตูปิดหน้าต่างด้วยตนเอง นู๋ไฉ นู๋ไฉ…”
เซี่ยเสี่ยวหม่านยังพูดไม่จบจวินจิ่วเฉินก็พังประตูเข้าไปแล้ว
เขาพบว่ากูเฟยเยี่ยนนอนสลบไสลอยู่บนพื้นห้อง
จวินจิ่วเฉินรีบพุ่งเข้าไปอุ้มนางมาไว้บนเตียงโดยไม่ทันได้คิด “เรียกไท่อี! เร็ว! ”
“พ่ะย่ะค่ะ! พ่ะย่ะค่ะ! ” เซี่ยเสี่ยวหม่านรีบวิ่งออกไปด้วยความใ
ไม่ช้าโจวไท่อีประจำจวนก็มาถึง โจวไท่อีวินิจฉัยอาการของกูเฟยเยี่ยน นอกจากปัญหาเล็กน้อยแล้วเขาก็ไม่ได้พบโรคร้ายแรงอะไร
“ทูลเตี้ยนเซี่ย แพทย์หญิงกูไม่เป็อะไรพ่ะย่ะค่ะ การที่จู่ๆ ก็สลบไสลเกรงว่าจะเป็เพราะร่างกายอ่อนแอ บวกกับมีเื่ไม่สบายใจมากระทบ โดยปกติแล้วให้เพิ่มปริมาณอาหารและเพิ่มการบำรุง ร่างกายก็จะฟื้นตัวขึ้น แต่อย่าใจร้อน ต้องก้าวไปตามลำดับขั้น”
เมื่อได้ยินโจวไท่อีเอ่ยเช่นนี้ ใบหน้าเคร่งเครียดของจวินจิ่วเฉินจึงผ่อนคลายลงเล็กน้อย “นางจะฟื้นขึ้นมาเมื่อใด? ”
“อย่างช้าน่าจะหลังเที่ยงพ่ะย่ะค่ะ”
โจวไท่อีลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนจะพูดออกมา “ข้าน้อยจัดทำใบสั่งยาออกมาหนึ่งชุด รอให้แพทย์หญิงกูฟื้นขึ้นมาแล้วพินิจดู ร่างกายของแพทย์หญิงกู นางน่าจะรู้ดีพ่ะย่ะค่ะ”
โจวไท่อีได้ยินกิตติศัพท์ทักษะยาสมุนไพรของกูเฟยเยี่ยนมาตั้งนานแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าแทรกแซงใดๆ
จวินจิ่วเฉินพยักหน้าขึ้นลงและไม่ได้ถามอะไรอีก
เขานึกถึงการวินิจฉัยของโจวไท่อีพร้อมกับพินิจพิเคราะห์ใบหน้าซูบผอมของกูเฟยเยี่ยน เขาคิดว่านางผอมแห้งและอ่อนแอมากเกินไป ครั้งแรกที่พบกัน นางชนมาที่หน้าอกเขา ร่างกายผอมแห้งที่มีแต่กระดูกนั้นชนจนเขาเจ็บไปหมด
จวบจนกระทั่งตอนนี้เขาก็ยังไม่เชื่ออย่างสนิทใจว่านางคือบุตรสาวของภรรยาเอกของตระกูลกู ทว่าเมื่อดูจากร่างกายอ่อนแอของนางแล้ว มันก็เหมือนกับคุณหนูที่ไร้ความโปรดปรานและถูกทอดทิ้งมานาน
ใบหน้าเล็กนี้ไม่ทาเครื่องประทินโฉมใดๆ หากไม่ได้ซูบผอมเช่นนี้ เกรงว่าจะสวยมากกว่านี้
สำหรับเื่ไม่สบายใจมันหมายความอย่างไรกัน?
หญิงสาวผู้นี้ดูไม่เหมือนกับผู้ที่มีเื่ลำบากใจและเ้าคิดเ้าแค้น มีเื่อะไรกันที่ทำให้นางอัดอั้นไม่มีทางระบายได้?
จวินจิ่วเฉินรู้สึกไม่สบายใจ เขาจึงเทน้ำอุ่นมาด้วยตนเอง
เขา้าป้อนกูเฟยเยี่ยนแต่กลับป้อนเข้าไปได้ไม่มากนัก เขาจึงป้อนไปพร้อมกับทาไว้บนริมฝีปาก สถานการณ์คล้ายคลึงกับการทายาในครั้งที่แล้ว เขาก้มหน้าลงด้วยความระมัดระวัง ดวงตาปรากฏถึงความอบอุ่นที่ตนเองก็ไม่ได้สังเกตถึง
ในเวลานี้เซี่ยเสี่ยวหม่านมาส่งโจวไท่อีถึงหน้าประตูแล้ว
โจวไท่อีอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงกระซิบ “หม่านกงกง ท่านดูท่าทางรีบร้อนของเตี้ยนเซี่ยเมื่อสักครู่นี้สิ เกรงว่าข่าวลือด้านนอกจะเป็ความจริงใช่หรือไม่? ”
ใบหน้าของเซี่ยเสี่ยวหม่านเกิดความเคร่งขรึมขึ้นมาทันที “โจวไท่อี สิ่งที่ควรถาม สิ่งที่ไม่ควรถาม ก่อนที่เ้าจะเข้ามาในจิ้งหวางฝู่ ข้าพเ้าได้กำชับไปหมดแล้ว ต้องให้ข้าพเ้ากำชับอีกครั้งหรือไม่? ”
โจวไท่อีรีบโค้งคำนับ “ไม่จำเป็ๆ ข้าน้อยเลอะเลือนไปแล้ว เลอะเลือนแล้ว! ”
ทันทีที่เซี่ยเสี่ยวหม่านเข้ามาในห้องเขาก็จงใจปิดประตู แต่อย่างไรก็ตามเมื่อเขาหันกลับมาก็เกิดความตื่นตระหนกใกับเื่ตรงหน้า
เขาเห็นว่าจิ้งหวางเตี้ยนเซี่ยประทับอยู่ข้างเตียง พระองค์ใช้มือข้างหนึ่งเช็ดคราบน้ำบนริมฝีปากของกูเฟยเยี่ยนออก มืออีกข้างหนึ่งป้อนน้ำลงไปบนริมฝีปากด้วยความระมัดระวัง เซี่ยเสี่ยวหม่านปรนนิบัติรับใช้เตี้ยนเซี่ยอย่างใกล้ชิดมาสามปีแล้ว เขาเคยเห็นเตี้ยนเซี่ยป้อนอาหารฝ่าาที่ประชวรหนัก และเคยเห็นเตี้ยนเซี่ยป้อนอาหารองค์รัชทายาทน้อย เขาเคยเห็นมุมอบอุ่นของเตี้ยนเซี่ยก็จริง แต่เขาไม่เคยเห็นเตี้ยนเซี่ยใจจดใจจ่อกับผู้ใดมาก่อน! ในขณะนี้เตี้ยนเซี่ยมีความจดจ่อราวกับว่าละทิ้งโลกทั้งใบ จิตใจทั้งหมดล้วนตกไปอยู่ที่กูเฟยเยี่ยน
ความจดจ่อเช่นนี้ประหนึ่งว่าสามารถทำให้ระยะเวลาหยุดเดินลงจนสามารถทำให้ภาพนี้เงียบสงบคงอยู่ชั่วนิรันดร์ได้
ใบหน้าของเซี่ยเสี่ยวหม่านเต็มไปด้วยความซับซ้อน เขาไม่ได้ขึ้นไปรบกวน แต่ลอบถอยออกไป เขาไม่เคยเชื่อคำพูดของหมางจ้งเลย แต่บัดนี้ตนเองได้เห็นกับตาแล้ว เขาไม่สามารถหลอกตนเองและผู้อื่นได้อีก
เื่ของประกาศ เขาไม่กล้าโน้มน้าวแล้ว
ทำอย่างไรดี?
ฝ่าาจะไม่ทรงยินยอมให้เตี้ยนเซี่ยเคียงคู่กูเฟยเยี่ยนแน่ อย่าว่าแต่แต่งตั้งให้เป็พระชายาเอกเลย แม้แต่พระชายารองก็อย่าได้คิด อีกทั้งเมื่อจับจิ้งจอกเฒ่าได้แล้ว พระองค์คงจะรับสั่งให้จิ้งหวางไล่กูเฟยเยี่ยนออกจากจิ้งหวางฝู่อย่างแน่นอน
์ทราบดีว่าเมื่อถึงเวลานั้นเตี้ยนเซี่ยจะมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างไร และกูเฟยเยี่ยนจะต้องได้พานพบกับปัญหามากน้อยแค่ไหน!
เซี่ยเสี่ยวหม่านนั่งอยู่ที่ขั้นบันไดหน้าประตู มือทั้งสองข้างเกยไว้ที่ปลายคาง ใบหน้าเต็มไปด้วยความสับสน
ภายในห้อง จวินจิ่วเฉินป้อนน้ำหมดหนึ่งแก้วแล้ว เขากำลังจะลุกขึ้นทว่าจู่ๆ ก็สังเกตเห็นน้ำตาของกูเฟยเยี่ยน เขาเอนตัวลงไปเพื่อมองอย่างจริงจัง แต่ใครจะไปทราบว่ากูเฟยเยี่ยนจะฟื้นตัวลืมตาขึ้นมา
จวินจิ่วเฉินตกตะลึงไปชั่วขณะ
เมื่อกูเฟยเยี่ยนเห็นว่าเขาอยู่บนร่างกายตนเอง ดวงตาจึงเบิกกว้างด้วยความใทันที
จวินจิ่วเฉินรีบลุกขึ้น ทว่าร่างกายของกูเฟยเยี่ยนกลับแข็งทื่อไม่ขยับเคลื่อนไหวสักนิด ศีรษะของนางยังคงหลงเหลือความเ็ปอยู่บ้าง สมองสับสนมึนงง หญิงสาวแยกแยะไม่ออกว่านี่คือความฝันหรือความเป็จริงกันแน่
หากเป็ความฝัน นางก็จะมีความผิดอีกแล้ว
หากเป็ความจริง…
กูเฟยเยี่ยนไม่กล้าคิดและไม่กล้าเคลื่อนไหว ั์ตาของนางค่อยๆ หันมามองอย่างช้าๆ แต่อย่างไรก็ตามนางยังมองเห็นไม่ชัด จวินจิ่วเฉินกลับเอนตัวลงมาอีกครั้ง กูเฟยเยี่ยนใจนไม่กล้าที่จะเคลื่อนไหวั์ตาแล้ว ใจของนางเต้นตึกตักๆ แรงมากขึ้นเรื่อยๆ
จิ้งหวางเตี้ยนเซี่ย้าทำอะไร?
นางต้องฝันอยู่แน่เลย! นี่มัน มัน ผิดเกินไปแล้ว
ใครจะไปทราบว่าจวินจิ่วเฉินจะหยิบหวางเป่าติงเหนือศีรษะของนางออกมาพลางถามน้ำเสียงเ็า “นี่คือสิ่งใด? ”
ชั่วพริบตาเดียวกูเฟยเยี่ยนก็ได้สติขึ้นมา
ที่แท้นี่ไม่ใช่ความฝัน และไม่ใช่…
นางไม่มีเวลาคิดอะไรมากมาย หญิงสาวรีบลุกขึ้นมาโน้มกายแสดงความเคารพ “นู๋ปี้คารวะเตี้ยนเซี่ย! ของชิ้นนี้คือ คือ…คือเครื่องประดับเพคะ” เห็นได้ชัดว่านางยืนอย่างไม่มั่นคง ทว่าก็ยังยืนหยัดเอาไว้
จวินจิ่วเฉินมองในสายตาแต่ไม่เผยปฏิกิริยาใดๆ ออกมา แม้แต่สีหน้าก็ยังเ็ากว่าปกติถึงสามส่วน เขาส่งมอบหวางเป่าติงคืนไปให้นางโดยไม่สอบถามเพิ่มเติม “ลุกขึ้น หากว่าร่างกายไม่สบาย ไม่จำเป็ต้องรีบไปตรวจสอบยา”
กูเฟยเยี่ยนทราบว่าตนเองจะต้องเป็ลมล้มไปเพราะความเ็ปเป็แน่ นางรีบเอ่ยขึ้นว่า “เตี้ยนเซี่ย นู๋ปี้ได้ข้อสรุปแล้วเพคะ”
ถ้าตรวจสอบลิ่วตันซางลู่แล้วไม่พบว่าเป็ของจากปิงไห่ทางใต้ บางทีกูเฟยเยี่ยนอาจจะไม่กังวลนัก แต่ทันทีที่ทราบว่าของสิ่งนี้มาจากปิงไห่ทางใต้ นางก็ไม่อยากรอคอยแม้แต่วินาทีเดียว นางอยากรู้ว่าใครกันแน่ที่เป็คนนำลิ่วตันซางลู่ข้ามปิงไห่มา! เป็จิ้งจอกเฒ่าหรือยังมีคนอื่นอีก?
กูเฟยเยี่ยนรีบเอ่ยออกมาว่า “เตี้ยนเซี่ย ลิ่วตันซางลู่สามต้นกับลิ่วตันซางลู่ในห่อผงยา นู๋ปี้หาแหล่งที่มาไม่เจอ แต่ว่าสมุนไพรอื่นๆ ในห่อผงยาล้วนมาจากหุบเขาเสินหนงเพคะ! ”
กูเฟยเยี่ยนหยุดลงชั่วครู่แล้วเพิ่มเติมอีกหนึ่งประโยค “สมุนไพรเหล่านี้ส่วนใหญ่พบได้ทั่วไป สามารถซื้อขายในร้านขายสมุนไพรได้เลย”
อันที่จริงไม่จำเป็ให้นางพูดเพิ่มเติมจวินจิ่วเฉินก็เข้าใจดี
แม้ว่าสนามประมูลสมุนไพรของหุบเขาเสินหนงจะมีการค้าขายสมุนไพรทั่วไปด้วย แต่หุบเขาเสินหนงมีระยะห่างจากเมืองจิ้นหยางค่อนข้างไกล อู๋กงกงไม่จำเป็ต้องไปซื้อสมุนไพรไกลถึงหุบเขาเสินหนง! นอกเสียจากว่ายาที่เขาใช้ได้ถูกส่งมาจากคนอื่น อีกทั้งยังมีสถานที่ซ่อนยาหลบซ่อนอยู่ในตัวเมืองจิ้นหยาง
ผู้ที่อยู่เื้ักับสถานที่ซ่อนยาคงมีความสัมพันธ์กับหุบเขาเสินหนงแน่นอน…