ยามไกสือสามเค่อในห้องโถงใหญ่ซินหรงซึ่งเป็ลานนอกจวนตระกูลหลัวตะวันออก
ต้วนเสี่ยวโหลวะโไปมาแต่ก็ไม่พบเหอตังกุยที่จะฆ่าตัวตายเพราะผิดหวังจากความรัก ด้วยความสิ้นหวังจึงคิดจะกลับห้องโถงซินหรงเพื่อขอเบาะแสเพิ่มเติมก่อนค้นหาต่อ แต่เมื่อเดินผ่านสวนดอกไม้ที่ประตูห้องโถงก็พบเหล่าไท่ไท่นอนหมดสติ จึงพานางกลับห้องโถงแล้วให้คนอื่นดูแล เขากระวนกระวายใจมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อกลับถึงห้องโถงซินหรง หยางมามาจึงเล่า “เหตุการณ์แท้จริง” ว่าเหอตังกุยและเหล่าไท่ไท่ถูกมือสังหารจับตัวไป ทว่าตอนนี้เขาพบเพียงเหล่าไท่ไท่คนเดียว เป็ไปได้หรือไม่ว่า…เหอตังกุยถูกฆ่าแล้ว?
ขณะต้วนเสี่ยวโหลวจะออกตามหาเหอตังกุยอีกครั้ง กวนอวินก็หยุดเขาไว้พลางบอก “พี่เสี่ยวโหลว มือของท่านาเ็ หากไม่พันแผลแล้วปล่อยให้เืออก มือของท่านจะเป็อัมพาตได้นะเ้าคะ”
ต้วนเสี่ยวโหลวไม่มีเวลาตอบพลันรีบวิ่งออกไปอย่างรวดเร็วประดุจวัวกระทิงวิ่งเข้าหาผ้าสีแดง กวนอวินจึงกอดรั้งเขาจากด้านหลังก่อนพูดอย่างจริงใจ “ข้ารู้ว่าท่านมีความรับผิดชอบและไม่้าให้สตรีคนใดทนทุกข์ทรมานหรือถูกฆ่า แต่คุณหนูเหอถูกจับไปนานแล้ว อีกทั้งตอนนี้ท่านก็พบเพียงเหล่าไท่ไท่เท่านั้น เช่นนี้ก็เห็นได้ชัดแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น หากท่าน้าช่วยจวนตระกูลหลัวค้นหาศพของนาง ได้โปรดพันแผลก่อนออกไปได้หรือไม่? ข้าเห็นว่าสี่องครักษ์ของจวนตระกูลหลัวส่งคนออกค้นหาแล้ว บางทีเมื่อข้าพันแผลเสร็จก็อาจจะได้ความคืบหน้าก็เป็ได้”
เมื่อต้วนเสี่ยวโหลวได้ยินคำว่า “ศพ” ก็รู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่า ทำให้เขาสูญเสียจิติญญาพลางพูดซ้ำด้วยเสียงต่ำ “นาง…ศพ…”
กวนอวินงงงวยยิ่งนักก่อนเอ่ยถาม “พี่เสี่ยวโหลว เหตุใดท่านจึงสนใจคุณหนูเหอถึงเพียงนี้? ท่านไม่รู้จักนางมิใช่หรือ?” นางฉีกผ้าเช็ดหน้าพันแผลให้เขาพลางเอ่ยเสียงต่ำ “พี่เสี่ยวโหลว ท่านไม่ต้องเสียใจเพียงเพราะท่านไม่สามารถช่วยจวนตระกูลหลัวและช่วยเหอตังกุยได้ (ตอนข้าอยู่ในห้องสุขา) ข้าได้ยินคุณหนูรองพูดว่าคุณหนูสามเหอตังกุยไม่ใช่สตรีตระกูลหลัว เป็เพียงคนอาศัยเท่านั้น แม้ท่านจะช่วยไม่ได้ พวกเขาก็ไม่ตำหนิท่านหรอก…”
ต้วนเสี่ยวโหลวยังคงเหมือนคนสิ้นไร้สติ เขาเอ่ยคำว่า “ศพ” ในใจซ้ำไปซ้ำมา เหตุใดจึงเป็เช่นนี้ เขาเพิ่งมาที่จวนตระกูลหลัว ยังไม่ได้พูดคุยกับนางตามลำพัง ยังไม่ได้บอกความรักของเขาให้นางฟังด้วยซ้ำ ครั้งสุดท้ายที่นางอำลาเขาในวัดสุ่ยซัง นางอยากให้เขามีความสุขและบอกให้เขาดูแลตัวเองให้ดีระหว่างเดินทาง คิดไม่ถึงว่าเขาและนางจะแยกจากกันตลอดไป เมื่อต้วนเสี่ยวโหลวได้ยินกวนอวินสงสัยว่าเขาใส่ใจเื่นี้มากเกินไปจึงยิ่งขมขื่น ใช่ เขา “เพิ่งรู้จัก” เหอตังกุย ดังนั้นเขาจึงไม่ควรสนใจนางมากเกินไป
อีกด้านหนึ่ง เหล่าไท่ไท่ฟื้นหลังหยางมามาให้ชาปาเป่าฉาแก่นาง เผิงเจี้ยนวิ่งไปหานางทันทีพลันเอ่ยถาม “เหล่าไท่ไท่ เหตุใดท่านเป็ลมอยู่นอกห้องโถงได้ แล้วคุณหนูสามอยู่ที่ใดขอรับ?”
เหล่าไท่ไท่ตกอยู่ในความงุนงงชั่วขณะ ก่อนลืมตาเอ่ย ”เสี่ยวอี้ไม่กลับมาด้วยหรือ? นางต้องถูกนักฆ่าผู้นั้นนำตัวไปแน่” เหล่าไท่ไท่จำได้เพียงนักฆ่าอุ้มนางและหลานสาวด้วยมือคนละข้าง ก่อนรีบวิ่งออกจากประตู หลังออกไปก็ะโเสียงดังก่อนเหินสู่ท้องฟ้า ตอนนั้นนางอ่อนแอจนหมดสติ ไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น ตอนนี้นางตื่นขึ้นมาในห้องโถงแต่หลานสาวไม่กลับมาด้วย ดังนั้นหลานสาวของนางต้องถูกนักฆ่าจับเป็ตัวประกันแทนนางแน่นอน
เผิงเจี้ยนตระหนักได้ว่าเขาไม่สามารถหาเบาะแสจากเหล่าไท่ไท่ได้จึงกระทืบเท้าเร่า ๆ ก่อนวิ่งออกไปตามหาคุณหนูสาม เมื่อเผิงสือเห็นเช่นนั้นก็รีบหยุดเขาทันทีพลางพูดอย่างใจเย็น “เ้าไม่เห็นหรือว่าชายผู้นั้นมีพลังมากเพียงใด หากเ้าไปจะทำอันใดได้? ใจเย็น นั่งรอที่นี่จะดีกว่า”
เผิงเจี้ยนมองพี่ชายด้วยแววตาขุ่นเคืองก่อนเอ่ย “เ้าขอให้ข้าใจเย็นและอดทน บอกให้ข้ารอท่านแม่ทัพเป่าติ้ง จากนั้นก็เตรียมตัวจู่โจมนักฆ่าเพื่อช่วยเหลือตัวประกัน หากเ้าไม่พูดเช่นนั้น ข้าก็คงช่วยน้องสามได้แล้ว เป็ความผิดของเ้าที่ทำให้น้องสามกลายเป็ตัวประกัน”
เผิงสือเอ่ยเ็า “หยุดทำตัวเหมือนเด็กเอาแต่ใจได้แล้ว ครั้งนี้ท่านแม่ให้ข้าดูแลเ้า ข้าจะไม่ยอมให้เ้าทำอะไรโง่ ๆ เด็ดขาด ไม่ว่าเ้าจะตำหนิข้าอย่างไร ข้าก็ไม่ยอมให้เ้าไป”
เมื่อพวกเขาหยุดชะงัก เผิงเจี้ยนก็หันมองเมิ่งเซวียนที่นั่งข้างโต๊ะน้ำชาพลางเล่นชุดน้ำชาเ่าั้ เผิงเจี้ยนเดือดดาลมากก่อนชี้จมูกของเมิ่งเซวียนพลันก่นด่า “เมิ่งเซวียน ข้าไม่คิดว่าเ้าจะเืเย็นเพียงนี้ คนสองคนถูกพรากไปต่อหน้าต่อตาเ้าแต่เ้ากลับไม่ทำอะไรเลย ตอนนี้ยังมีกะจิตกะใจนั่งดื่มน้ำชา เหตุใดไม่สำลักตายไปเสีย”
ทว่าเมิ่งเซวียนไม่แม้แต่จะมองเผิงเจี้ยน เขายังคงมองและดมกลิ่นน้ำชาจากถ้วยชาลายครามขาวราวชื่นชมงานฝีมือชุดนี้
เผิงสือกลัวน้องชายจะพูดรุนแรงกว่านี้จึงลากเผิงเจี้ยนไปที่มุมอีกด้านของห้องโถง แม้เผิงเจี้ยนจะไม่มีความสัมพันธ์อันดีกับลูกชายของขุนนางเป่าติ้งแต่ก็ไม่สามารถทำให้คุณชายเมิ่งขุ่นเคืองได้
ก่อนพวกเขาจะไปเมืองหยางโจว พ่อของพวกเขากำชับเป็พิเศษว่าอาจารย์ใหญ่ไป๋ของสำนักศึกษาเฉิงซวี่เป็เพื่อนเก่าของเขา หากพวกเขามีปัญหาสามารถขอความช่วยเหลือจากอาจารย์ใหญ่ได้ พ่อของพวกเขายังบอกอีกว่าให้พวกเขาย้ายไปเรียนที่สำนักศึกษาเฉิงซวี่ ในแง่หนึ่งองค์ชายจางซุนพอใจพวกเขามากและอยากเชิญพวกเขาเข้าศึกษาในวังหลวงปีหน้า โดยหวังว่าทั้งสองจะฝึกฝนทักษะก่อนเข้าในวังหลวง พวกเขาจะก้าวหน้าอย่างมากในด้านบุ๋นและบู๊ กลับกันปู่ของพวกเขา้าให้พวกเขาอาศัยในเมืองหยางโจวประมาณหนึ่งปี หากได้พบท่านผู้าุโตระกูลหลัวก็สามารถใช้โอกาสนี้เรียนรู้ทักษะการฝังเข็มซานชิงและวิธีการทำงานต่าง ๆ ของขุนนาง
เผิงสือชื่นชมผู้าุโตระกูลหลัวยิ่งนักจึงตกลงจะไปเมืองหยางโจวเพื่อศึกษาต่อที่สำนักศึกษาเฉิงซวี่ แต่เผิงเจี้ยนค่อนข้างสนใจนักพรตไป๋หยางไป่ เมื่อครึ่งเดือนก่อนเขาได้ยินว่าท่านนักพรตจะเป็อาจารย์ที่สำนักศึกษาเฉิงซวี่ เผิงเจี้ยนแทบอดใจรอไปตั้งใจฟังการสอนของเขาไม่ได้ เมื่อได้ยินข่าวดีว่าต้องย้ายไปที่สำนักศึกษาเฉิงซวี่จึงตกลงทันที พวกเขาจึงมาที่เมืองหยางโจวและอาศัยในจวนตระกูลหลัว
วันนั้นก่อนแม่ของพวกเขาจะกลับเมืองหลวง นางย้ำเป็พิเศษว่ามีคุณหนูหลายคนอาศัยในจวนตระกูลหลัวตะวันออกและตะวันตก คุณหนูสี่ห้าคนมีอายุเท่าพวกเขา นางจึงขอร้องไม่ให้พวกเขายุ่งกับพวกนาง หากใกล้ชิดเกินไปไม่เพียงจะมีคนซุบซิบนินทา แต่อาจวุ่นวายถึงการแต่งงานกับคนในจวนตระกูลหลัวตะวันตกและตะวันออก
เผิงเจี้ยนรู้สึกแปลกจึงเอ่ยถาม “เหตุใดพวกเราแต่งงานกับคนในจวนตระกูลหลัวตงและหลัวซีไม่ได้?” แม่ของพวกเขาส่ายหัวโดยไม่ตอบอันใด เผิงเจี้ยนจึงงงงวยกับพฤติกรรมของแม่ไม่น้อย
เผิงสือยังนึกสงสัยในใจ “พวกผู้ใหญ่ชอบเลือกเ้าสาวหรือเ้าบ่าวจากญาติพี่น้อง นามสกุลแม่คือสกุลหลัว เหตุใดจึงคัดค้านการหาลูกสะใภ้ตระกูลหลัว นอกจากนี้จวนตระกูลหลัวยังเป็ขุนนางเก่า ฐานะก็สูงส่ง พวกเขามีกฎระเบียบของครอบครัวที่เข้มงวด คุณหนูในจวนจะต้องยอดเยี่ยมมากเป็แน่” แน่นอนว่าเผิงสือไม่ได้ถามคำถามนั้น เพราะการที่แม่บอกพวกเขาเช่นนั้นก็ต้องมีเหตุผล เผิงสือจึงสัญญากับแม่อย่างจริงจังว่าเขาจะอยู่ห่างจากคุณหนูแห่งจวนตระกูลหลัว แม่ของพวกเขาจึงกลับเมืองหลวงด้วยความสบายใจ
ขณะนี้เมื่อเห็นน้องชายกระวนกระวายใจ ทุบกำแพงซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อน้องสามแห่งจวนหลัวตะวันออก เผิงสือก็ทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้ เมื่อเผิงสือเห็นน้องชายใจร้อนถึงเพียงนี้ก็พลันคิดว่า “เขาชอบสตรีคนนั้นหรือไม่? หากเป็เช่นนั้นคงไม่ใช่เื่ดีแน่ หลังกลับห้องตนต้องตำหนิน้องชายและทำให้เขาเลิกความคิดนี้ทันที ไม่ว่าสตรีคนนั้นจะมีชีวิตอยู่หรือไม่ ตนก็ปล่อยให้น้องชายชอบนางไม่ได้”
เนื่องจากเผิงสืออาศัยในจวนตระกูลหลัว วันนี้จึงได้ยินคนในจวนพูดว่าน้องสามเป็ลูกสาวป้าเล็ก อีกทั้งเป็ลูกนอกสมรสที่ถูกบิดาขับไล่ออกจากตระกูล ตอนนี้นางได้รับการเลี้ยงดูในจวนหลัวตง เมื่อวัยเด็กเคยได้รับการเลี้ยงดูในหมู่บ้านหนงจวงเป็เวลาสองสามปี ฐานะที่ไม่น่าฟังเช่นนี้ไม่อาจก้าวเข้าประตูจวนตระกูลเผิงได้ ครั้งล่าสุดที่เขาเห็นนางในเมืองตู้เอ๋อร์ คำพูดอันเฉียบคมของนางทำให้น้องชายของเขาหงุดหงิดและหน้าแดง ทว่าวันนี้เมื่อเห็นนางในงานเลี้ยงมื้อค่ำก็ดูเหมือนบุคลิกจะตรงกันข้าม นางไม่ค่อยพูดราวเป็เด็กนิสัยน่ารักและว่านอนสอนง่าย หากเขาไม่เคยประทับใจนางมาก่อนก็คงมองว่านางเสแสร้งแกล้งทำ
เมื่อสองพี่น้องตระกูลกวนและคุณชายต้วนเข้ามาในงานเลี้ยง เหล่าไท่ไท่ก็บอกให้นางสละที่นั่งให้คุณหนูสามแห่งตระกูลกวน คนรับใช้ตระกูลหลัวก็หยิบอาหารทั้งหมดตรงหน้าของนางทันทีหลังได้ยินคำพูดของเหล่าไท่ไท่ มีหญิงรับใช้ชราคนหนึ่งทำเกินไปนัก ทันทีที่นางเห็นเหอตังกุยยืนขึ้นก็รีบเช็ดที่นั่งอย่างรวดเร็ว ภายใต้การจับตามองของผู้คน เหตุการณ์เช่นนี้ช่างน่าอับอายยิ่งนัก สำหรับสตรีเด็กธรรมดา ไม่ว่าพวกนางจะหน้าด้านหรือใจแข็งเพียงใดก็ต้องโกรธจนร้องไห้หรือไม่ก็ออกจากงานเลี้ยงไปหาที่ที่ไม่มีคนแล้วแอบร้องไห้
ทว่าคุณหนูสามกลับไม่ช้อนตามองด้วยซ้ำ ใบหน้าของนางมีเพียงรอยยิ้มบางที่ริมฝีปาก เมื่อเหล่าไท่ไท่ให้นางทักทายแขก นางก็ทำตามอย่างว่าง่าย เมื่อเหล่าไท่ไท่ไม่ว่างเพราะต้องสนทนากับแขก นางก็เชื่อฟังพร้อมกลับไปยังที่นั่งด้านในสุดใกล้ประตูพลางดื่มชาที่เหลือเงียบ ๆ ช่างใจแข็งและอดทนไม่น้อย หากสตรีผู้นี้ไม่มั่นใจพอว่าจะมีวิธีชดเชยความน่าอับอายของตน นางจะดูนิ่งสงบเช่นที่เห็นหรือ?
กล่าวได้ว่าเผิงสือเชื่อมั่นอย่างแน่วแน่ว่าคุณหนูสามเป็หายนะที่จะทำให้เกิดปัญหา ดังนั้นเขาจะไม่ปล่อยให้น้องชายผูกมิตรและบอกรักนางเด็ดขาด อีกทั้งคุณหนูรองผู้น่ารังเกียจที่ไม่เพียงตกน้ำแล้วแสร้งหมดสติเพื่อหลอกให้เขาช่วยเท่านั้น นางยังใช้สายตาปัญญาอ่อนมองเขาหลายครั้ง ทำให้เขารำคาญไม่น้อย เขาจึงยิ่งเชื่อมั่นในคำพูดของแม่ที่ว่าพวกเขาไม่สามารถใกล้ชิดกับคุณหนูตระกูลหลัวได้
ขณะเผิงสือรู้สึกดีใจ เผิงเจี้ยนก็ทุบกำแพง เมิ่งเซวียนนั่งนิ่ง ต้วนเสี่ยวโหลวกำลังเสียสติ เหล่าไท่ไท่ก็ร้องไห้พลางบอก “เสี่ยวอี้ช่างอายุสั้นอะไรเช่นนี้” บ่าวรับใช้ในชุดสีฟ้าอายุประมาณสิบห้าสิบหกปีก็วิ่งพรวดเข้ามาจับประตูแล้วหอบหายใจพลางะโ…
“คุณหนูสามขอให้บ่าวมาแจ้งข่าวเหล่าไท่ไท่ว่าตอนนี้นางได้รับการช่วยเหลือแล้ว ไม่ได้รับาเ็แต่เป็เพราะนางหวาดกลัวมากจึงขอกลับเรือนเถาเหยาเพื่อพักผ่อน ไม่สามารถแจ้งเหล่าไท่ไท่ด้วยตัวเองได้ขอรับ”
…...
“เ้าคือเลี่ยวชิงเอ๋อร์น้องสาวของเลี่ยวจือหย่วนใช่หรือไม่?” คิ้วของเกาเจวี๋ยขมวดเข้าหากันพลันจับจ้องหญิงสาวชุดม่วง แม้นางจะแต่งตัวดีที่สุดในบรรดาห้าสาวใช้ที่มีสีหน้าอิ่มเอมใจและหยิ่งผยอง แต่…นางจะเป็น้องสาวของแมวป่าได้อย่างไร?
หญิงสาวในชุดสีม่วงเลิกคิ้วเชิดคางก่อนเอ่ยตอบ “ใช่ แล้วเ้าเป็ใคร?” หางม้ายาวหลังศีรษะแกว่งไปมาพร้อมการเคลื่อนไหวของนาง
เกาเจวี๋ยยังคงไม่เชื่อคำพูดของนางจึงหันไปหาสองสาวที่แต่งตัวเหมือนสาวใช้ พวกนางผิวขาวสดใสและงดงาม เกาเจวี๋ยนึกถึงที่เลี่ยวจือหย่วนเคยบอกว่าน้องสาวของเขาเ้าเล่ห์มาก เกาเจวี๋ยจึงสงสัยว่าหญิงสาวสวมเสื้อผ้าสาวใช้เพื่ออำพรางฐานะและหลีกเลี่ยงไม่ให้ตระกูลเลี่ยวส่งคนมาพานางกลับบ้านหรือไม่ เมื่อเกาเจวี๋ยคิดได้ดังนั้นก็มองสองสาวใช้หน้าตาน่ารักสดใสพลางะโ “หนึ่งในนั้นคือเลี่ยวชิงเอ๋อร์ใช่หรือไม่?”
มั่นปิงและเน่ยติงจับมือกันพลางพูดพร้อมเพรียง “พวกเราแซ่มั่นและแซ่เน่ย เป็สาวใช้ของคุณหนูชิงเอ๋อร์” จินเจียและอิ๋นอี้กล่าวเสริม “นางคือคุณหนูชิงอี้ของพวกเราจริง ๆ ”
เกาเจวี๋ยหันกลับไปหาหญิงสาวชุดสีม่วงแล้วยอมรับความจริงอย่างไม่เต็มใจว่านางคือน้องสาวของเลี่ยวจือหย่วน สตรีเด็กผู้นี้อายุประมาณสิบหกปี รูปร่างสูงที่สุดในบรรดาห้าคน โดยรวมนางดูหัวกลม หน้ากลม ตากลม จมูกกลม ลำตัวก็กลม อีกทั้งหมัดกลมกลิ้งของนางยังโบกไปมาอย่างระมัดระวัง “เหตุใดจึงมองหาข้า? เ้าเป็สายลับที่พี่ชายข้าส่งมาใช่หรือไม่?”
ไม่ว่าจะมองหญิงสาวในแนวนอน แนวตั้งหรือด้านข้าง อย่างไรนางก็มีร่างกลมอวบอ้วน แม้จะมีเครื่องหน้างดงาม แต่เกาเจวี๋ยก็ไม่สามารถเชื่อมโยงนางกับคำอธิบายของเลี่ยวจือหย่วนที่ว่าน้องสาวของเขาเป็สตรีงาม มีเงินจำนวนมากและไม่มีวรยุทธ์ เปรียบเสมือนลูกแกะอ่อนแอในสายตากลุ่มโจร แปลกยิ่งนัก เลี่ยวจือหย่วนก็หน้าตาดีและฝึกวรยุทธ์ตลอดปี เหตุใดจึงเลี้ยงน้องสาวให้อ้วนกลมถึงเพียงนี้ได้? เลี่ยวจือหย่วนยังบอกอีกว่าน้องสาวของเขาพาสาวใช้มาเพียงคนเดียว เหตุใดจึงมีสาวใช้สี่คน?
แต่นี่เป็คำถามรอง คำถามสำคัญที่สุดคือ… “ข้าได้ยินว่ามีเหล้าดี ๆ ในจวนตระกูลเลี่ยว พี่ชายเ้าบอกว่ามันเป็ของเ้า เป็ความจริงหรือไม่?” เกาเจวี๋ยก้มมองนางพลางเอ่ยถาม
เลี่ยวชิงเอ๋อร์กะพริบตาด้วยสีหน้าเป็ประกายพลางพูด “ที่แท้เ้าก็เป็สายลับที่พี่ชายข้าส่งมาจริง ๆ เ้าจะพาข้ากลับบ้านใช่หรือไม่? ไม่ ข้าไม่กลับ พี่ชายของข้าให้ประโยชน์อะไรแก่เ้า? ข้าจะจ้างเ้ามากกว่าเขาสองเท่า”
“เ้าหมักเหล้าได้หรือไม่? กลิ่นเหล้าที่เหมือนกลิ่นไม้จันทน์” เกาเจวี๋ยทวนคำถาม
เลี่ยวชิงเอ๋อร์จับคางด้วยนิ้วอวบอ้วนพลางเอ่ย “ที่แท้เ้าก็้าเหล้าเช่นนั้น ใช่ ข้าทำเหล้ากลั่นเองแต่มันยุ่งยากไม่น้อย อาจต้องรอสักหนึ่งหรือสองเดือน… นี่ เ้าคนตัวสูง เ้าจะทำอะไร” นางประหลาดใจเมื่อเห็นเขาหยิบเชือกม้วนใหญ่ออกจากแขนเสื้อก่อนเดินมามัดมือนาง หลังครุ่นคิดครู่หนึ่งก็ผูกสาวใช้ตัวน้อยทั้งสี่คนรวมกัน หญิงสาวทั้งห้าตะลึงงันอย่างพร้อมเพรียง เหตุเพราะเชือกเส้นนี้ยาวมาก ทั้งยังมีเชื้อราสีดำบนเชือกอีกด้วย
เกาเจวี๋ยลากปลายเชือกอีกข้างพร้อมกล่าว “ข้าจะพาพวกเ้ากลับจวนตระกูลเลี่ยวในเมืองหลวงเดี๋ยวนี้ พวกเ้าควรเชื่อฟังและไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น หากพวกเ้ากล้าขัดคำสั่ง จุดจบของพวกเ้าจะเหมือนงูพิษตัวนี้” กล่าวจบก็เหวี่ยงงูพิษไปที่เท้าของพวกนาง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้