เล่มที่ 1 บทที่ 4
ท้องฟ้าสว่างแล้ว หลังจากแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยก็เป็ยามซื่อ* เมื่อมู่หรงฉิงไปถึงเรือนของฮูหยินผู้เฒ่าอีกหน แเื่ที่มาร่วมงานเลี้ยงก็รวมตัวกันได้กลุ่มหนึ่ง
(*ยามซื่อ เวลา 09:00-11:00)
ครั้นมู่หรงฉิงปรากฏตัว ห้องโถงจัดเลี้ยงที่มีชีวิตชีวาก็เงียบลงทันควัน
มู่หรงฉิงอยู่ในชุดแขนกว้างลายเมฆสีม่วงอ่อน เกล้าผมเป็ก้อน มีพู่สีม่วงห้อยลงมาตรงหน้าผาก มันแกว่งไกวเล็กน้อยระหว่างสาวเท้าเดิน
เด็กสาวเยื้องย่างไปข้างหน้าทีละก้าว จังหวะเดียวกันนั้นในห้องโถงซึ่งเคยเงียบสงบลงชั่วขณะ ก็เริ่มมีเสียงพูดคุยวิพากษ์วิจารณ์มากมาย
“อีกหลายวันกว่าจะสิ้นสุดวันไว้ทุกข์ไม่ใช่หรือ? เหตุใดถึงแต่งตัวเช่นนี้...”
“ใช่น่ะสิ หลังจากผ่านพิธีปักปิ่น แต่ยังไม่มีคู่แต่งงาน เกรงว่านางจะวิตกกังวล ถึงได้คิดแผนการนี้ออกมา? โดยจะใช้โอกาสในวันนี้ในการเลือกสามีที่ดีหรือไม่?”
“นั่นน่ะสิ? เ้าดูคุณหนูรองสิ แต่งตัวด้วยชุดเรียบง่าย แต่คุณหนูใหญ่กลับแต่งตัวเช่นนี้...”
เสียงการสนทนาวิพากษ์วิจารณ์ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง แต่มู่หรงฉิงแกล้งทำเป็ไม่ได้ยิน และสาวเท้าเดินตรงไปหาฮูหยินผู้เฒ่า “ทำให้ท่านย่ารอนานแล้ว”
ทันทีที่มู่หรงฉิงเดินเข้าไปในห้องโถงจัดเลี้ยง สายตาของฮูหยินผู้เฒ่าก็ปรากฏความรู้สึกผิดเล็กน้อย ยามเมื่อมู่หรงฉิงเข้ามาใกล้ ในสายตาก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็ความเวทนา หญิงชราจับมือมู่หรงฉิงเพื่อให้หย่อนตัวนั่งลงถัดจากนาง “เดิมทีวิตกกังวลว่าหลายปีนี้จะไม่มีเสื้อผ้าสวยๆ ให้สวมใส่และสับเปลี่ยน”
ถ้อยคำของฮูหยินผู้เฒ่าไม่ได้สูงหรือต่ำ แต่กลับเป็สาเหตุให้เสียงวิพากษ์วิจารณ์ของคนหมู่มากหยุดชะงักอย่างกะทันหัน
ถ้อยคำของฮูหยินผู้เฒ่าหมายความว่าอย่างไรหรือ?
“ของขวัญของฮูหยินผู้เฒ่าล้วนเป็สมบัติอันล้ำค่า ของขวัญจากคุณหนูทั้งสองยังไม่ได้นำออกมาให้ทุกคนได้เชยชมเลย” ท่ามกลางบรรยากาศอันเงียบงัน คำพูดของหลิ่วชิงจึงดังชัดเจนอย่างมาก
“ใช่แล้ว ความตั้งใจของเด็กสองคนนี้ทำให้ข้าอุ่นใจ ทำไมไม่ลองนำของขวัญวันคล้ายวันเกิดที่ได้จากทั้งคู่ออกมาล่ะ นำออกมาให้เหล่าฮูหยิน เหล่าคุณหนูได้เชยชมด้วย เ้าเด็กสองคนนี้มีความสามารถน้อยและด้อยฝีมือ ถึงแม้งานศิลปะที่ทำไว้ไม่อาจเทียบเทียมกับงานศิลปะขั้นสูง แต่ก็นับว่าเป็ความกตัญญูของทั้งคู่ วันนี้ข้ามีความสุขมาก ทำให้ทุกท่านต้องหัวเราะเยาะแล้ว”
“ฮูหยินผู้เฒ่าก็พูดเป็เล่น คุณหนูใหญ่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง ชื่อเสียงนั้นไม่น้อยไปกว่าฮูหยิน ‘สตรีผู้มีความสามารถอันดับหนึ่งในเมืองหลวง’ ใน่เวลานั้น คุณหนูรองก็น่ารักมากด้วย”
“นั่นสิ นั่นสิ”
“ฮูหยินผู้เฒ่ามีคุณหนูสองคนที่มีความกตัญญู ช่างมีวาสนาจริงๆ”
คำพูดสุภาพอาจฟังดูไม่จริงใจ แต่ในวันมงคลปีติยินดี มีใครบ้างที่ไม่ชอบฟังกัน?
สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าที่เดิมทีเรียบเฉยพลอยปรากฏรอยยิ้มแจ่มใส แต่ในใจกลับเย้ยหยัน ฮึ! แต่ละคนมาที่นี่ก็เพื่อดูเื่ตลก วันนี้ข้าจะทำให้พวกเ้าได้เห็นว่าสิ่งที่เป็หนึ่งเดียว ไม่ซ้ำใครในใต้หล้านั้นเป็เช่นไร
เมื่อเห็นเงาร่างของคนเดินเข้าใกล้จากหางตา มู่หรงฉิงจึงเลื่อนสายตามองหลิ่วชิงซึ่งถือกล่องสองกล่องอยู่ในมือ พร้อมกรีดกรายย่างก้าวมาถึงตรงหน้าฮูหยินผู้เฒ่าด้วยท่าทางสบายๆ และสง่างาม
กล่องที่ซ้อนทับกัน ้ากล่องผ้าแพรปักคำว่า ‘มีความสุข อายุยืน ร่างกายแข็งแรง’ มองดูอักขระที่ปักบนกล่องผ้าแพรดังกล่าว จะเห็นได้ว่าเป็งานปักที่ดีและหายาก หลังจากวางกล่องลงบนโต๊ะ หลิ่วชิงก็ดูเหมือนจะให้ทุกคนเห็นกล่องนั้นก่อน และวางกล่องที่ทับซ้อนกันสองกล่องแยกไว้บนโต๊ะ จากนั้นเป็กล่องผ้าสีแดงขนาดใหญ่ ซึ่งเดิมวางอยู่ด้านล่างของกล่องทั้งหมด โดย้ากล่องเขียนคำว่า ‘อายุยืน‘ ด้วยอักษรตัวใหญ่อันทรงพลัง บ่งชี้ให้เห็นว่าผู้ที่เขียนนั้นเก่งกาจเื่การเขียนอักษรเป็อย่างมาก
มู่หรงฉิงเหลือบมองมู่หรงยวี่ผู้มีสีหน้าไม่พอใจ คิดว่าคำดังกล่าวน่าจะถูกเขียนโดยมู่หรงฮ่าว
หลังจากวางกล่องสองกล่องลงบนโต๊ะ หลิ่วชิงก็เดินมาถึงด้านหลังฮูหยินผู้เฒ่าโดยยืนอยู่ด้านข้างกล่องผ้าที่เขียนคำว่าอายุยืนด้วยทีท่าสบายๆ
“เปิดเถอะ”
หลังจากฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยปาก หลิ่วชิงก็หยิบกล่องผ้าสีแดงขนาดใหญ่ที่อยู่ใกล้ๆ ก่อนที่จะหยิบภาพวาดด้านในออกมา
“นี่เป็ภาพวาดลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมืองที่คุณหนูรองเป็คนวาด”
เสียงแนะนำแ่เบา จากการเคลื่อนไหวเพื่อเปิดภาพของหลิ่วชิงและหลิ่วหง สายตาของทุกคนก็จับจ้องไปที่ภาพเหมือนชิ้นนั้น
หลังจากดูภาพ ทุกคนก็รู้สึกผิดหวังชั่วขณะหนึ่ง
มันเป็แค่ภาพธรรมดาทั่วไปเท่านั้น นอกจากไม่ได้วาดโดยศิลปินที่มีชื่อเสียง ยังไม่ได้เป็สิ่งของหนึ่งเดียวในใต้หล้าอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม แม้จะผิดหวังแต่ปากก็ต้องพูดชื่นชมยินดีคล้ายอดไม่ได้
“ฮูหยินผู้เฒ่าช่างมีวาสนาจริงๆ ภาพวาดนี้คุณหนูรองได้แสดงถึงความกตัญญูกตเวทีอย่างสุดหัวใจ”
“ใช่แล้ว แต่ไม่รู้ว่าคุณหนูใหญ่จะมอบของขวัญเป็สิ่งใดกัน?”
“ยวี่เอ๋อร์ เ้าเด็กคนนี้เรียนหนักเป็เวลาหลายเดือนเพื่อวาดภาพนี้ ของขวัญที่ฉิงเอ๋อร์มอบให้นั้นถึงกับต้องใช้เวลาหลายเดือนกว่าจะเสร็จ” ฮูหยินผู้เฒ่ามองผู้คนซึ่งปากไม่ตรงกับใจอย่างรู้เห็นกระจ่าง แต่คำพูดของนางยังเต็มไปด้วยความสุข
เมื่อทุกคนได้ยินว่ามู่หรงฉิงทำของขวัญวันคล้ายวันเกิดด้วยตัวเองเช่นกัน แต่ละคนก็รู้สึกเบื่อชั่วขณะ แม้กล่าวกันว่าความสามารถของคุณหนูใหญ่เป็ที่เลื่องลือด้านนอก แต่นางก็ไม่ได้ทำผลงานชิ้นเอกที่มีชื่อเสียงใด ดังนั้นจึงไม่อาจเพิ่มความสนใจของทุกคนได้
แต่อย่างไรก็ตาม หลังจากหลิ่วชิงและหลิ่วหงเปิดชิ้นงานปัก แต่ละคนที่ตอนแรกไม่สนใจก็เบิกตากว้างเพื่อจ้องมอง
“งานปักสองด้านชิ้นนี้ ไม่นึกเลยว่าฉิงเอ๋อร์ เ้าเด็กคนนี้จะสืบทอดฝีมืองานปักจากชิงหย่าได้เกือบสมบูรณ์ซึ่งทำให้ข้ารู้สึกประหลาดใจเป็อย่างมาก” บนใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าประดับด้วยความเมตตา ระหว่างมองไปทางมู่หรงฉิง ทั้งยังเจือความเวทนาอยู่หลายส่วน
ชิงหย่าเป็มารดาของมู่หรงฉิง มีนามว่า ซูชิงหย่า
“ก็ใช่น่ะสิ คุณหนูใหญ่ใช้เวลาปักผ้าผืนนี้ทั้งกลางวันและกลางคืนนับไม่ถ้วน แถมยังไปที่วัดผู่เทียนเพื่อขอให้เ้าอาวาสหวูวู่ปลุกเสกเบิกเนตรให้อีกด้วย” หลิ่วชิงต่อคำพูดของผู้เป็นายหญิง ก่อนที่จะพลิกเปลี่ยนด้านที่เป็ลายปักพระพุทธรูปกลับมา
เวลาเพียงชั่วพริบตาเดียว ในห้องจัดเลี้ยงก็ปรากฏเสียงประหลาดใจ เสียงหอบหายใจ และเสียงถอนหายใจดังขึ้นโดยไม่มีผู้ใดเอื้อนเอ่ยวาจาใดอีก
มู่หรงยวี่ขยำผ้าเช็ดหน้าในฝ่ามืออย่างเกลียดชังกึ่งขมขื่น พลางชายตามองไปทางมู่หรงฉิงด้วยความเกลียดชัง
น่าเกลียด น่าเกลียดสิ้นดี คิดไม่ถึงว่าจะหยิบภาพวาดของนางขึ้นมาก่อนเพื่อให้คนหัวเราะเยาะ จากนั้นใช้งานปักสองด้านของมู่หรงฉิงกดนางลงอีกหน นี่เห็นๆ อยู่ว่าเป็การหัวเราะเยาะถึงการนิ่งเฉยของนาง
มือข้างหนึ่งกดฝ่ามือของมู่หรงยวี่ที่กำลังขยำผ้าเช็ดหน้า แม้ออกแรงเพียงเล็กน้อยแต่ก็เรียกความสนใจให้มู่หรงยวี่ชายตามอง เด็กสาวเห็นอนุหนิงส่ายศีรษะเป็เชิงบอกกับนางเป็นัยว่าใจเย็นๆ และอย่าวู่วามเป็อันขาด
หลังจากหันไปมองชุดหลิวหยุนแขนกว้างลายเมฆสะดุดตาของมู่หรงฉิง ั์ตาของอนุหนิงก็ฉายแววโหดร้ายขึ้นเล็กน้อย อย่าคิดว่ามีฮูหยินผู้เฒ่าคอยสนับสนุนแล้วจะสามารถรอดพ้นจากการพูดถึงในทางไม่ดีเชียว หากลักษณะการแต่งตัวของมู่หรงฉิงในวันนี้ถูกเผยแพร่ออกไป มันต้องทำลายความงามอันน่าทึ่งของมู่หรงฉิงไปอย่างแน่นอน
มู่หรงฉิงย่อมรู้สึกถึงการจ้องมองด้วยสายตาอันโเี้และรุนแรง นางหันขวับกลับไป และเมื่อมองไปที่อนุหนิง อีกฝ่ายก็ได้แต่ยกถ้วยน้ำชาพลางลดสายตาดื่มชาอย่างเงียบๆ ราวกับว่าสายตาอันโเี้รุนแรงในครู่ก่อน ไม่ได้มาจากเ้าตัวอย่างไรอย่างนั้น
หลังจากถอนสายตากลับมา นางกวาดมองไปทางเสื้อผ้าสีอ่อนบนร่างของมู่หรงยวี่ ในสายตานั้นประกอบด้วยความเยาะเย้ย
มู่หรงฉิงเข้าใจแล้วว่าอนุหนิงกำลังจะทำอะไรกันแน่
ก่อนอื่นให้มู่หรงฉิงไปพบนางระหว่างทางด้วย ‘ความบังเอิญ’ หลังจากที่นางไปหาฮูหยินผู้เฒ่าเพื่อมอบของขวัญ พวกอนุหนิงทั้งสามคนก็ไปมอบของขวัญด้วยกัน
แม้ของขวัญของพวกนางจะไม่พิเศษเท่าของขวัญของมู่หรงฉิง แต่หยกขาวแกะสลักรูปพระโพธิสัตว์เ้าแม่กวนอิมหนึ่งชิ้น เทพแห่งอายุขัยหนึ่งชิ้น กอปรกับภาพวาดลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมืองที่มู่หรงยวี่วาดด้วยตัวเองกลับทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ามีความสุข
ครั้นฮูหยินผู้เฒ่ามีความสุข มู่หรงยวี่จึงกล่าวเพิ่มเติมว่าเสื้อผ้าของมู่หรงฉิงนั้นธรรมดาเกินไป ไม่เหมาะต่อการสวมใส่ในวันมงคล ทำให้คิดว่าฮูหยินผู้เฒ่าน่าจะไม่ชอบ
วันนี้เป็วันคล้ายวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่า ฮูหยินผู้เฒ่าสวมชุดสำหรับงานรื่นเริง แต่มู่หรงฉิงกลับสวมชุดเรียบง่ายและสง่างาม มองอย่างไรก็ไม่เหมาะสมกับงานปีติยินดี
อนุหนิงรู้จักมู่หรงฉิงเป็อย่างดี นางย่อมรู้ว่ามู่หรงฉิงจะกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เรือน เพียงแต่ไม่ว่าจะเป็เสื้อผ้าชุดใดก็ไม่เหมาะที่จะสวมใส่ นั่นคือนางจะสวมใส่เสื้อผ้าอย่างไรก็ผิดทั้งนั้น
ในระหว่างมู่หรงฉิงกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้า มู่หรงยวี่เองก็กลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยเช่นกัน โดยเปลี่ยนไปสวมชุดเรียบๆ ธรรมดาสีอ่อน
ด้วยสาเหตุนั้นจึงกลายเป็มู่หรงฉิงไม่มีความกตัญญูกตเวที ใน่เวลาแห่งการไว้ทุกข์ให้ผู้เป็มารดากลับแต่งตัวเช่นนี้ นอกจากนั้นยังเป็วันที่มีบุคคลภายนอกอยู่ด้วย นางก็ไม่รู้จักควบคุมตัวเองด้วยซ้ำ เกรงว่ายามปกติ นางคงไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจตัวเองให้อยู่ในขอบเขต แต่ในทางกลับกันทางด้านมู่หรงยวี่ ลูกอนุกลับปฏิบัติตามธรรมเนียมมารยาท ด้วยการแต่งกายด้วยเสื้อผ้าเรียบๆ ธรรมดา
ด้วยสาเหตุข้างต้น ทำให้ทุกคนเห็นกระจ่างชัดแจ้งแล้วว่าเด็กที่ไม่มีแม่นั้น ไม่มีขอบเขตและไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ เนื่องจากอนุหนิงเป็แม่ของมู่หรงยวี่ นางย่อมตักเตือนและให้คำแนะนำแก่มู่หรงยวี่ แต่มู่หรงฉิงในฐานะลูกสาวของภรรยาเอก ด้วยสถานะที่ไม่สูงเท่ามู่หรงฉิง อนุหนิงจึงไม่สะดวกที่จะพูดมาก
ถ้าสิ่งที่วางแผนไว้สำเร็จลุล่วง จะมีข่าวมงคลสองคู่เสียที่ใดกัน? เกรงว่าจะมีข่าวมงคลสามคู่เสียมากกว่า
ในวันคล้ายวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่า จื่อเอ๋อร์หรือปี้เอ๋อร์จะได้เป็บ่าวร่วมห้องนอนกับท่านพ่อ และอนุหนิงก็จะได้เลื่อนขึ้นเป็ภรรยาเอก
ฮึ! ดูเหมือนวางหมากโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่เป็การวางหมากดักทางเสียจนผู้คนไม่มีทางออก
แม้อนุหนิงจะเก่งกาจในด้านการวางแผนเพียงใด ถึงกระนั้นก็ไม่ประสบความสำเร็จ ประเด็นสำคัญคือ อนุหนิงพลาดอยู่จุดหนึ่ง ใน่สามปีที่ผ่านมาแม้นางจะมีการเพิ่มเสื้อผ้าใหม่ แต่เสื้อผ้าใน่เวลาไว้ทุกข์ของนางล้วนเน้นสีเรียบง่ายให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม้กระทั่งในวันทำพิธีปักปิ่น นางยังคงสวมชุดสีอ่อนเรียบๆ ในวันคล้ายวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่า นางย่อมไม่มีเสื้อผ้าให้ผลัดเปลี่ยน
และชุดเพียงหนึ่งเดียวของนาง มีเพียงชุดแขนกว้างลายเมฆที่ท่านแม่มอบไว้ให้เท่านั้น ชุดนี้เป็ชุดที่ฮองไทเฮาพระราชทานแก่ท่านแม่ ถึงนางจะสวมชุดนี้ในวันนี้ คนอื่นย่อมไม่อาจพูดจาในทางที่ไม่ดี
อีกประเด็นหนึ่งคือ นางไม่มีเสื้อผ้าสีสันสดใส อนุหนิงไม่รู้แต่ฮูหยินผู้เฒ่ารู้ดีอย่างมาก ก่อนอื่นให้นางกลับเรือนเพื่อไปเปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นสั่งกำชับให้หลิ่วชิงไปเร่งนาง ซึ่งอธิบายได้ว่าการสวมชุดลายเมฆชุดนี้เป็ความประสงค์ของฮูหยินผู้เฒ่า
หลังจากคิดไตร่ตรองดูแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าน่าจะเข้าใจกลอุบายของอนุหนิง ถึงกระนั้นก็ไม่อยากเสริมเติมความโชคร้ายในวันแห่งความสุข จึงทำเป็ไม่สนใจในกลอุบายของอนุหนิง
เด็กสาวเลื่อนสายตาไปมองที่ศีรษะของหลิ่วชิง เห็นปิ่นปักผมทองบนศีรษะอันนั้นแพรวพราวดึงดูดสายตาเป็อย่างมาก มุมปากของมู่หรงฉิงจึงยกยิ้มด้วยความโล่งใจ
ก่อนหน้านี้ นางสงสัยว่าหลิ่วชิงมีส่วนเกี่ยวข้องกับอนุหนิงหรือไม่ แต่แล้วดูเหมือนว่านางจะคิดมากไป การกล่าวถึงครึ่งหนึ่งเป็ความหมายของฮูหยินผู้เฒ่า ส่วนอีกครึ่งหนึ่งนั้นมาจากปิ่นทองนั่น
ถ้าไม่ใช่เพราะเจตนาของฮูหยินผู้เฒ่า เหตุใดหลิ่วชิงถึงได้กล้าปักปิ่นบนศีรษะของตัวเองอย่างโจ่งแจ้ง?
“ฮูหยินผู้เฒ่าช่างมีวาสนาจริงๆ”
น้ำเสียงของถ้อยคำนั้นค่อนข้างราบเรียบ แม้เสียงของการชื่นชมจะนุ่มนวล ทว่ากลับเป็การเอ่ยอย่างผิวเผิน
ไม่มีการเยินยอ เวลาเดียวกันก็ไม่มีการเยาะเย้ยด้วยเช่นเดียวกัน
เสียงนั้นไม่ได้ปรากฏในขณะผู้คนพูดยกยอเมื่อ่ก่อนหน้า แต่หลังจากได้ฟังแล้วกลับรู้สึกว่าแปลกหูเป็อย่างมาก
มู่หรงฉิงจึงหันมองไปทางสตรีท่านนั้นซึ่งเป็แหล่งที่มาอย่างสงสัย
ฮูหยินท่านนั้นสวมชุดคลุมสีเขียวลายนกยูง ระหว่างนางยกถ้วยน้ำชาขึ้น นกยูงบนแขนเสื้อของนางก็ปรากฏแสงเป็ประกายดึงดูดสายตา
ศีรษะของนางประดับด้วยปิ่นหงส์สีทองกรงเล็บสี่แฉก พู่สีม่วงทองห้อยลงมาจากหน้าผาก เน้นดวงหน้าสง่างามของนางให้ดูสูงส่งและน่าเกรงขามเพิ่มมากขึ้น
นางสวมชุดลายนกยูง บนศีรษะปักด้วยปิ่นหงส์ นั่นคือฮูหยินชั้นที่หนึ่งในปัจจุบัน ฮูหยินหลิงไม่ใช่หรือ?
ในใต้หล้านอกจากฮูหยินหลิง จะมีผู้ใดบ้างที่จะสามารถสวมเครื่องประดับศีรษะลายหงส์กรงเล็บสี่แฉกซึ่งมีแต่ฮองเฮาเท่านั้นที่สามารถสวมใส่ได้?
ฮูหยินหลิงเป็น้องสาวของฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ปัจจุบัน แต่ใน่อายุที่ยังเป็เด็กสาว นางกลับได้รับพระราชทานให้แต่งงานกับแม่ทัพใหญ่พิทักษ์แผ่นดินซึ่งมีอายุมากกว่าสิบปี
เวลาครึ่งปีถัดมา แม่ทัพใหญ่พิทักษ์แผ่นดินหมายจะก่อฏ จึงถูกตัดสินปะาชีวิต อย่างไรก็ตาม ในขณะนั้นฮูหยินหลิงกลับได้รับการอวยยศเป็ฮูหยินชั้นที่หนึ่ง จวนแม่ทัพใหญ่สูญสลายไปแต่กลับมอบยศศักดิ์ให้ฮูหยินหลิง โดยเปลี่ยนชื่อจวนเป็จวนฮูหยินชั้นที่หนึ่ง
เหตุการณ์ในปีนั้นทำให้ราชสำนักต้องใ ผู้คนยังคงไม่เข้าใจถึงความเกี่ยวโยงสัมพันธ์ของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ฮ่องเต้รีบจัดการเื่ราวให้จบสิ้นด้วยความรวดเร็ว หลังจากนั้นทุกคนก็กลัวว่าจะนำปัญหามาสู่ตน จึงไม่กล้าพูดถึงมากอีกต่อไป
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้