รอจนกระทั่งตะกร้าหวายทรงกลมเรียบง่ายที่สุดสานเสร็จเรียบร้อย แต่ก็เป็เื่หลังจากนั้นหนึ่งชั่วโมงกว่า
เซวียเสี่ยวหรั่นแหงนหน้ามองท้องฟ้าสดใสเหนือศีรษะ ก่อนมองตะกร้าหวายในมือของตนเอง พลางใช้มือลูบคลำอยู่ครู่ใหญ่เพื่อขับไล่ความชา กว่าจะสานเสร็จเปลืองแรงไปมาก ท้ายที่สุดกลับได้ตะกร้าบูดๆ เบี้ยวๆ ใบหนึ่ง แต่ยังพอใช้งานได้
"เฮ่อ... เหนื่อยทั้งกายเหนื่อยทั้งใจ ได้แค่ตะกร้าอัปลักษณ์ใบเดียว"
เซวียเสี่ยวหรั่นโยนเถาวัลย์ที่เหลือไปด้านข้างอย่างหมดแรง จากนั้นก็หยิบตะกร้าเข้าไปในถ้ำ ด้านในกลิ่นหอมของไก่ตุ๋นลอยฟุ้งไปทั่ว
"ว้าว หอมจังเลย" เซวียเสี่ยวหรั่นกลืนน้ำลาย
เซวียเสี่ยวหรั่นเจียดเวลาหยิบเห็ดโคนใส่ลงไปในหม้อก่อนอย่างอื่น น้ำแกงไก่เห็ดใส่เห็ดที่ไม่ใส่เกลือหรือเครื่องปรุงตุ๋นเสร็จเรียบร้อยแล้ว
เซวียเสี่ยวหรั่นนำใบเผือกมาทบกันสองชั้นแล้วห่อรอบหม้อก่อนยกลงจากเตา
"อุ๊ย ร้อนๆๆ"
เธอวางหม้อลงด้านข้างอย่างระมัดระวัง แล้วรีบเอามือออกจากหม้อ
เหลียนเซวียนย่นคิ้วเหลือบมาที่นาง เขาเขี่ยฟืนออกมาข้างนอกหมดแล้ว นางจะรอสักหน่อยไม่ได้เลยหรือ
"โอ้โห น้ำแกงนี้ตุ๋นจนเหลืองอร่าม แค่ดูก็รู้แล้วว่าคือสุดยอดแห่งการบำรุงร่างกาย"
เซวียเสี่ยวหรั่นหยิบตะเกียบชั่วคราวที่เมื่อวานใช้คีบเนื้อย่างขึ้นมาพลางขมวดคิ้ว ตะเกียบถูกเผาจนดำปี๋ ยังจะใช้งานได้อีกหรือ
เธอวิ่งออกไปนอกถ้ำ หักกิ่งไม้ที่เรียวเล็กเหมาะจะเอามาทำตะเกียบ แล้วใช้มีดเหลาเอาเปลือกออก ตัดแบ่งเป็สี่ชิ้น ในที่สุดตะเกียบสองคู่ก็เสร็จเรียบร้อย
จากนั้นก็ล้างด้วยน้ำในขวด แล้วหยิบชามพลาสติกที่เริ่มเปลี่ยนรูปทรงไปแล้วขึ้นมา คีบเนื้อไก่ที่ตุ๋นจนเปื่อยใส่ลงไป ทั้งยังคีบเห็นโคนที่ตุ๋นจนนุ่มสองสามชิ้นเติมลงไปด้วย
"เหลียนเซวียน นี่ให้ท่าน ระวังลวกนะ"
เซวียเสี่ยวหรั่นยัดตะเกียบใส่มือเขา แล้วหยิบตะเกียบของตัวเองคีบเนื้อเข้าปาก
"อุ๊ยๆ ร้อนจัง อร่อยมาก...."
ได้ยินเสียงนางพ่นลมออกจากปากเพราะถูกลวก แต่กลับยังกินไม่หยุด เหลียนเซวียนรู้สึกอับจนวาจา ไม่มีใครแย่งนางสักหน่อย จะรีบร้อนไปทำไม ไม่กลัวลวกปากบ้างเลย
แม้ตาของเขาจะมองไม่เห็น แต่มิเป็อุปสรรคต่อการคีบเนื้อในชาม
เนื้อไก่ร้อนๆ ที่ตุ๋นจนเปื่อยพอเข้าปาก กลิ่นหอมก็อบอวลอยู่ในกระพุ้งแก้ม ความหอมของเนื้อไก่ผสานกับความสดใหม่ของเห็ดให้รสชาติอร่อยเป็พิเศษ
"อืม.... อร่อยก็ว่าอร่อยอยู่ เสียแต่จืดไปนิด"
เซวียเสี่ยวหรั่นเป่าฟู่ๆ ไปที่เห็ดบนปลายตะเกียบ ก่อนใส่เข้าปาก
แม้จะไม่มีชามดื่มน้ำแกง แต่ในเนื้อไก่กับเห็ดก็ชุ่มน้ำ เซวียเสี่ยวหรั่นกินจนอุ่นสบายกระเพาะ
หันไปมองอีกที น้ำแกงไก่ในหม้อพร่องไปครึ่งหนึ่งแล้ว
"อย่ากินต่อเลย สิ้นเปลืองเกินไป ถ้ากินไก่หมดตัวในมื้อเดียว มื้อหน้าคงต้องกินรำข้าวแล้วล่ะ [1]" เซวียเสี่ยวหรั่นยกหม้อไปวางในช่องที่กำแพง แล้วใช้ใบเผือกป่าปิด้า
เหลียนเซวียนกลอกตาน้อยๆ ยังเงียบอยู่เหมือนเดิม
กินดื่มอิ่มเอมแล้ว ความกระปรี้กระเปร่าก็ฟื้นคืนกลับมา เซวียเสี่ยวหรั่นคว้าตะกร้าเบี้ยวโย้ของตนเอง วิ่งไปทางที่มีดินเหนียว
เธอไม่ได้เอามีดพับไปด้วย หลังจากเติมฟืนใส่กองไฟไปสองสามดุ้น เหลียนเซวียนก็ลุกขึ้นช้าๆ
เมื่อครู่แม่นางผู้นั้นวางมีดไว้ข้างหม้อดินที่ใส่น้ำ
แม้ดวงตาของเขาจะมองไม่เห็น แต่ไม่เป็อุปสรรคต่อการระบุตำแหน่งสิ่งของโดยฟังจากเสียง
เขาคลำหาแล้วหยิบมีดพับขึ้นมา แล้วฉวยไม้เท้าเดินไปข้างนอกอย่างยากเย็น
ยามเซวียเสี่ยวหรั่นหิ้วตะกร้าดินเหนียวกลับมาถึงถ้ำ ไม่เห็นเหลียนเซวียนอยู่ด้านใน ก็ไม่ว้าวุ่นใจ
เอาดินเทไว้ด้านข้าง แล้วออกแรงตบๆ เศษดินในตะกร้า จนเหลือแต่ตะกร้าเปล่าก็วิ่งออกไปอีก
พวกเขาคั่วเกาลัดมากินจนหมดเกลี้ยงแล้ว ตะกร้าหวายเป็เครื่องมือใช้ประโยชน์ได้พอดี คิดจะขึ้นเขาไปเก็บเกาลัดมาตุนไว้สักหลายๆ ตะกร้า
ผลก็คือนางไปได้สองรอบก็เหนื่อยจนหมดแรงแล้ว
"อูย... แขนจะหักอยู่แล้ว"
หลังจากเทลูกหนามหนึ่งตะกร้าลงพื้นเรียบร้อย ก็ยกมือนวดแขนที่เมื่อยล้าพลางร้องโอดโอย
"ควรทำกระบุงสะพายหลังถึงจะถูก ต้องหิ้วอย่างนี้เปลืองแรงแขนเกินไป"
แต่กระบุงสะพายหลังใช่ว่าทำได้ง่ายๆ ต้องใช้ทักษะการสานขั้นสูง คิ้วของเซวียเสี่ยวหรั่นขมวดแล้วขมวดอีก
ช่างเถอะ รอว่างเมื่อไหร่ค่อยว่ากัน
เธอหันไปมองรอบทิศ ยังคงไม่มีเงาของเหลียนเซวียนอยู่เหมือนเดิม
กองไฟใกล้จะมอดแล้ว เซวียเสี่ยวหลับรีบเข้าไปทำให้แรงไฟกลับมาคงที่
"เหลียนเซวียนไปไหน ถึงออกไปนานขนาดนี้ หรือว่า..."
เซวียเสี่ยวหรั่นลุกขึ้นหามีด แต่กลับไม่เห็นแม้แต่เงา
เธอวิ่งจู๊ดออกไปทันที
พริบตาเดียวก็แล่นไปถึงข้างเนินดินที่มาเมื่อวาน กวาดมองไปรอบด้าน ไม่เห็นเงาของเหลียนเซวียน
"เหลียนเซวียน?"
เธอเริ่มะโชื่อเขา
เธอได้ยินเสียง "ฉึบ" ดังสะท้อนมาแต่ไกล
ที่แท้ก็มาไกลขนาดนี้ เซวียนเสี่ยวหรั่นมองพงหญ้าสูงๆ ต่ำๆ เบื้องหน้า พลางจุ๊ปากสองสามคำ
หาท่อนไม้มาตีนำทาง
เหลียนเซวียนยืนพิงต้นไม้เตี้ยต้นหนึ่ง ครานี้ไม่นั่งบนพื้น แต่ก้มหน้าลง ปล่อยให้เรือนผมยาวปรกไปเสียครึ่งหน้า
"ท่านออกมาล่าสัตว์อีกแล้วหรือ?"
เซวียเสี่ยวหรั่นทั้งมีความหวัง ทั้งวิตกกังวล
เหลียนเซวียนค่อยๆ ยกมือชี้ไปข้างกำแพงหน้าผา
ได้อะไรมาอีกแล้วหรือ? ใบหน้าของเซวียเสี่ยวหรั่นฉายแววยินดี วิ่งเข้าไปพลางะโโลดเต้น
พอเปิดพุ่มไม้ที่บดบังวิสัยทัศน์อยู่ใบหน้ายิ้มแย้มของเซวียเสี่ยวหรั่นก็นิ่งค้าง
ถอยกรูดออกมาหลายก้าว
"ปัดโธ่เอ๊ย ทำไมเป็งูอีกแล้วล่ะ"
งูสีน้ำตาลเทาตัวเขื่องถูกมีดปักตรึงอยู่บนกำแพงหน้าผา
เซวียเสี่ยวหรั่นทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ เธอกับงูช่างมีวาสนาต่อกันเสียจริง งูในป่าแห่งนี้จะเยอะไปหน่อยไหม
แม้เมื่อวานจะขับไล่งูเหลือมไปได้อย่างอาจหาญ แต่ก็มิได้หมายความว่าเธอไม่กลัวงู
"เหลียนเซวียน ท่านช่วยล่าอย่างอื่นได้หรือไม่ อันที่จริง... เนื้องูก็ไม่ได้อร่อยขนาดนั้น"
เหลียนเซวียนเองก็จนปัญญาอย่างยิ่ง เมื่อวานเขาเดินมาถึงที่นี่ ได้ยินเสียงไก่ป่าจำนวนไม่น้อยเดินสวบๆ อยู่ในพงหญ้า แต่วันนี้กลับไม่มีวี่แววของไก่ป่า เขารออยู่นานก็ไร้ความเคลื่อนไหว
แต่ที่กำแพงหน้าผามีเสียงสัตว์ขนาดยาวเลื้อยคลานอยู่ เขาออกมานานแล้ว ไม่สามารถเปลืองแรงไปมากกว่านี้ นึกถึงแม่นางผู้นั้นเคยชำแหละงูมาแล้วหนหนึ่ง คิดว่าครั้งที่สองก็ย่อมสามารถทำได้
แต่ตอนนี้กลับได้ยินเสียงของนางเหมือนจะร้องไห้ ทำเอาเหลียนเซวียนทำอะไรไม่ถูก
ด้วยการแสดงออกที่ค่อนข้างโผงผางของนาง ทำให้เขาลืมสนิทว่านางเป็หญิงสาวที่กลัวงู
เมื่อเป็เช่นนี้ งูตัวนั้นไม่เอาก็ได้
เหลียนเซวียนมองไปที่เซวียเสี่ยวหรั่น คิดจะแสดงความคิดของตนเองให้เธอรู้
แต่กลับได้ยินนางบ่นงึมงำว่า "งูไฉ่ฮวาใหญ่ขนาดนี้ มีเนื้อเยอะเลย ตัดหัวออกเอาไปแขวนตากลมให้แห้ง ตุ๋นเป็น้ำซุปดื่มแก้หนาว บำรุงร่างกาย"
ร่างของเหลียนเซวียนซึ่งพิงโคนต้นไม้อยู่พลันลื่นพรืด โชคดีที่ยังไม่ถึงขั้นหกล้มลงที่พื้น
แม่นาง ไหนบอกว่ากลัวงูอย่างไรเล่า?
เมื่อครู่ใครกันพูดว่าเนื้องูไม่ได้อร่อยขนาดนั้น
เหลียนเซวียนกอดลำต้นอย่างทุลักทุเล ใช้ดวงตาไร้ประกายจดจ้องแม่นางที่ร้องว่ากลัวงูผู้นั้น การแสดงออกทางสีหน้าไม่รู้ว่าจะโมโหหรือหัวเราะดี
เซวียเสี่ยวหรั่นแหวกพงหญ้า วิ่งไปยังกำแพงหน้าผาแห่งนั้น
งูน่ะ กลัวก็กลัวอยู่ แต่เนื้องู กินก็ยังต้องกิน
อย่างไรเสียมันก็ตายแล้ว ความสุรุ่ยสุร่ายคือสิ่งที่น่าละอาย จริงหรือไม่
ขนาดงูจงอางมีพิษยังกินมาแล้ว จะกลัวอะไรกับงูไฉ่ฮวาที่ไม่มีพิษ
เซวียเสี่ยวหรั่นเดินตรงเข้าไปอย่างฮึกเหิม ออกแรงดึงมีดที่ปักอยู่บนกำแพงหน้าผาออกสุดตัว
...
[1] เป็ความเปรียบว่าไม่มีจะกิน