ไม่นานหมี่หลันเยว่ก็เปิดเทอม เธอเข้าสู่โรงเรียนใหม่ โดยแทบไม่ต้องปรับตัวอะไรเลย เพราะที่นี่เธอคุ้นเคยเป็อย่างดี แม้จะเคยเรียนที่นี่เพียงครึ่งปี แต่ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงแจ่มชัดราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน เพราะตอนนั้นเธออายุสิบสองปีแล้ว แม้แต่หน้าตาลุงยามที่ห้องเก็บของ เธอก็ยังจำได้แม่น
สิ่งที่ทำให้เธอจำไม่ลืมคือห้องน้ำด้านนอกอาคาร ไม่ต้องพูดถึงอากาศหนาวเหน็บที่ทำให้ก้นชา แม้ภายนอกจะดูแข็งแรง แต่ภายในกลับเป็แผ่นไม้กระดานที่ปูต่อกันแบบหยาบๆ มองลอดช่องว่างก็เห็นน้ำสกปรกด้านล่าง เวลาพักเรียน นักเรียนต่างแห่กันเข้ามาอย่างกับผึ้งแตกรัง แผ่นไม้สั่นคลอนอย่างน่าหวาดเสียว
ชาติที่แล้ว หมี่หลันเยว่กลัวการเข้าห้องน้ำนี้มาก ทุกครั้งที่มาก็จะรู้สึกหวาดหวั่น แม้ว่าหมี่หลันเยว่ในตอนนี้จะโตมากขึ้น และมีประสบการณ์ชีวิตที่มากกว่าเดิม แต่ก็ยังคงรู้สึกขยาดห้องน้ำที่สร้างจากแผ่นไม้กระดาน เธอจึงพยายามเลือกที่จะเข้าห้องน้ำใน่ใกล้เวลาเรียน เพราะตอนนั้นคนจะน้อย ไม่ต้องกังวลว่าแผ่นไม้จะหัก
แต่โรงเรียนนี้ก็มีข้อดีที่สุดอย่างหนึ่งคือ เริ่มมีระบบทำความร้อนส่วนกลางแล้ว ไม่ต้องใช้เตาถ่านในห้องเรียน จนทำให้มีขี้เถ้าถ่านคละคลุ้งไปทั่ว เพื่อนร่วมชั้นที่นั่งใกล้เตาก็แทบจะสุกอยู่แล้ว ส่วนคนที่นั่งไกลออกไปก็หนาวสั่น การมีระบบทำความร้อนส่วนกลาง ถือเป็สิ่งอำนวยความสะดวกที่ล้ำสมัยมากใน่ต้นยุค 80
สิ่งที่มาคู่กันกับระบบทำความร้อน คือห้องน้ำที่มีไม่เพียงแค่น้ำร้อน แต่ยังมีตู้เหล็กขนาดใหญ่ที่อบไอน้ำสำหรับอุ่นข้าวกล่อง ทำให้เด็กๆ ที่นำข้าวมาจากบ้านได้กินอาหารร้อนๆ ในตอนเที่ยง นับเป็สวัสดิการที่ยอดเยี่ยมสำหรับนักเรียน เพราะการกินข้าวเย็นๆ ในฤดูหนาวนั้นทรมานอย่างยิ่ง
บ้านของหมี่หลันเยว่อยู่ค่อนข้างไกลจากโรงเรียน การเดินไปกลับ ทำให้ใน่พักกลางวัน นอกจากกินข้าวแล้ว เธอก็แทบไม่มีเวลาพักผ่อนเลย ดังนั้นเธอจึงไม่อยากเสียเวลาไปกับการเดินเท้า ทุกวันเธอจึงนำข้าวมาโรงเรียนพร้อมกับพี่ชาย และใช้เวลาพักกลางวันทำการบ้านที่ค้างจาก่เช้าให้เสร็จ
่บ่ายมักจะมีชั่วโมงเรียนว่างหนึ่งถึงสองชั่วโมง ซึ่งเพียงพอให้หมี่หลันเยว่ทำการบ้านที่เหลือ หรืออ่านหนังสือเรียนบทใหม่ที่เธออยากเรียนล่วงหน้าได้ ด้วยวิธีนี้ เวลาว่างของเธอจึงมีมากพอ เมื่อเลิกเรียนแล้ว หมี่หลันเยว่สามารถแวะไปดูร้านห้องเสื้อ ตรวจสอบยอดขาย และสะสางบัญชีได้
ในเวลานี้ เฉียนหย่งจิ้นและหลินเผิงเฟยจะต้องตามมาด้วยเสมอ แถมหมี่หลันหยางก็อยากตามมาด้วยอีกคน ดังนั้น การที่สามหนุ่มมารอรับเธอที่หน้าห้องเรียนจึงกลายเป็ภาพที่สะดุดตาเป็อย่างยิ่ง ที่น่าสนใจคือ ทั้งสี่คนถูกแบ่งไปอยู่คนละห้อง แต่ละคนอยู่ห้อง 1 2 3 และ 4
"พวกเราตกลงกันแล้วนะ งานก็คืองาน การเรียนก็คือการเรียน ห้ามทิ้งการเรียนเด็ดขาด นับั้แ่นี้ไป พวกเราจะมาแข่งกัน ใครตั้งใจเรียนมากที่สุด ในเมื่อพวกเราไม่ได้อยู่ห้องเดียวกัน ก็มาดูกันว่าแต่ละคนจะทำผลงานได้ดีแค่ไหนในห้องของตัวเอง ฉันหวังว่าทุกคนจะต้องติดอันดับต้นๆ ของห้อง"
"ถ้าติดอันดับต้นๆ ไม่ได้ ก็ขายหน้ากลุ่มเราแย่เลย ด้วยความฉลาดของพวกเรา น่าจะจัดการเื่แค่นี้ได้สบายๆ ใช่ไหม ฉันบอกไว้ก่อนนะว่าใครได้คะแนนน้อยที่สุด จะถูกหักเงินเดือน และจะต้องหาทางลงโทษด้วย ดูซิว่าใครยังกล้าไม่ตั้งใจเรียน"
นี่คือคำสั่งที่หมี่หลันเยว่ประกาศในวันที่ไปรายงานตัวและแบ่งห้อง นี่ไม่ใช่การปรึกษา แต่เป็การตัดสินใจเด็ดขาด ดังนั้นทั้งสามคนจึงตั้งหน้าตั้งตาเรียนอย่างบ้าคลั่ง พอเฉียนหย่งจิ้นและหลินเผิงเฟยรู้ว่าหมี่หลันหยางอ่านหนังสือเรียนล่วงหน้าไปถึงชั้นม.3 แล้ว ทั้งคู่ก็แทบคลั่ง รีบกระโจนเข้าไปรุมสั่งสอนทันที
"พวกเรายังเป็เพื่อนกันอยู่ไหมเนี่ย ทำไมถึงแอบอ่านหนังสือล่วงหน้าคนเดียว ไม่บอกกันบ้างเลย ถ้าพวกเราสอบได้คะแนนไม่ดี แล้วโดนหลันเยว่ลงโทษ นายก็ต้องโดนลงโทษด้วยกัน ไม่ว่าจะโดนหักเงินเดือน หรือโดนลงโทษอะไรก็ตาม นายต้องรับผิดชอบด้วยกัน เพราะนายทำตัวไม่สมกับเป็เพื่อนเลย"
เฉียนหย่งจิ้นและหลินเผิงเฟยรังแกคนอื่นเสร็จ ก็ยังข่มขู่ด้วยน้ำเสียงดุดัน หมี่หลันหยางสู้ไม่ได้ จึงต้องยอมจำนน หลังจากนั้นบรรยากาศการเรียนก็กลับมาเป็ไปด้วยความสามัคคีและเป็มิตร หมี่หลันเยว่ไม่ต้องกังวลเื่การเรียนของพวกเขาทั้งสามคนแล้ว ถ้ามีอะไรที่ไม่เข้าใจ หมี่หลันเยว่ก็สามารถเป็ครูฝึกสอน ช่วยไขข้อข้องใจให้พวกเขาได้
เวลาที่พวกเขากลับไปที่ร้านด้วยกันทุกวันก็ตรงเวลามากเช่นกัน หลังจากเลิกเรียนในตอนบ่าย พวกเขาก็จะมุ่งหน้าไปที่ร้านทันที หลินเผิงเฟยจะตรงไปยังโรงงานของหลิวเสี่ยวหว่าน เพื่อจดบันทึกจำนวนเสื้อผ้าที่ผลิตออกมา ปริมาณผ้าที่ใช้ไปในแต่ละแบบ ปริมาณผ้าที่เหลือ และผ้าชนิดใดที่ขาดแคลน
เื่นี้ซับซ้อนมาก แม้ฟังดูเหมือนง่าย แต่กลับยุ่งยากเป็พิเศษ หลิวเสี่ยวหว่านมีสมุดบัญชีเล่มหนึ่ง หลินเผิงเฟยก็มีอีกเล่มหนึ่ง พวกเขาจะต้องตรวจสอบบัญชีให้ตรงกันทุกวัน จากนั้นหลินเผิงเฟยจะไปซื้อผ้าในวันอาทิตย์ โดยยังคงว่าจ้างรถของลูกพี่ลูกน้องคนนั้น ตอนนี้เขาใช้บริการลูกพี่ลูกน้องจนคล่องแคล่วแล้ว
ส่วนเฉียนหย่งจิ้นก็จะตรวจสอบสมุดบัญชีการขาย ดูว่าเสื้อผ้าแบบไหนขายดี แบบไหนขายไม่ดี จากนั้นก็จะปรับเปลี่ยนการโฆษณา ในทุกวันอาทิตย์ เขาก็จะยังคงไปแจกใบปลิวโฆษณา เพื่อให้ผลประกอบการของร้านมีการพัฒนาไปอีกขั้น
หมี่หลันหยางจะต้องตรวจตราทั้งหน้าร้านและหลังร้าน ก่อนอื่นเขาจะตรวจสอบยอดขายในร้าน จากนั้นก็จะจัดเรียงสินค้าใหม่ ปรับเปลี่ยนตำแหน่ง เพื่อให้ลูกค้าที่มาซ้ำรู้สึกแปลกใหม่ หุ่นเสื้อผ้าในตู้กระจกก็จะต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าบ่อยๆ เพื่อให้ผู้คนที่เดินผ่านตู้กระจกได้เห็นการจัดแสดงเสื้อผ้าที่แตกต่างกันทุกวัน
สำหรับในส่วนของโรงงาน หมี่หลันหยางจะช่วยปรับเปลี่ยนปริมาณการผลิตเสื้อผ้าตามความ้าของร้านค้า หากแบบไหนขายดี ก็จะต้องผลิตเพิ่มขึ้น ส่วนแบบไหนขายไม่ดี ก็จะต้องดูว่าไม่ดีถึงขนาดไหน ถ้าไม่ดีจริงๆ ก็จะต้องเลิกผลิต แต่ถ้าผลตอบรับยังพอใช้ได้ ก็จะปรับปรุงแก้ไขเล็กน้อย เพื่อให้มันกลายเป็สินค้าขายดีได้เช่นกัน
ด้วยความพยายามอย่างไม่ย่อท้อของทั้งสามคน ทำให้่เวลาที่ร้านซบเซาไม่นานนัก ยิ่งไปกว่านั้น แม้ใน่ที่ซบเซา ยอดขายของร้านก็ยังคงเพิ่มขึ้นทุกวัน แม้ว่าจะเพิ่มไม่มากนัก แต่ความคงที่ของมันก็ทำให้หมี่หลันเยว่วางใจได้ เพราะเมื่อเข้าสู่เดือนตุลาคม ก็จะเริ่มเปลี่ยนเป็เสื้อผ้าสำหรับฤดูใบไม้ร่วงแล้ว
การเปลี่ยนฤดูกาลจะเป็รายได้ก้อนใหญ่ มันต้องทำล่วงหน้า ไม่ใช่รอให้ฤดูใบไม้ร่วงมาถึงจริงๆ แล้วค่อยขายเสื้อผ้าฤดูใบไม้ร่วง แบบนั้นก็จะสายเกินไป จะต้องผลิตเสื้อผ้าแบบใหม่ล่วงหน้า ใน่ต้นเดือนตุลาคม เสื้อผ้าในร้านก็จะเป็เสื้อผ้าฤดูร้อนครึ่งหนึ่ง และเสื้อผ้าฤดูใบไม้ร่วงอีกครึ่งหนึ่ง โรงงานได้หยุดผลิตเสื้อผ้าฤดูร้อนแล้ว
"เหลือเสื้อผ้าฤดูร้อนอีกเท่าไหร่?"
หมี่หลันเยว่มาที่โรงงาน ตรวจสอบสมุดบัญชี และตรวจสอบคลังสินค้า ปริมาณสินค้าที่ร้านรับจากโรงงานในแต่ละวัน จะมีบันทึกไว้อย่างชัดเจน หมี่หลันเยว่จะต้องตรวจสอบอย่างละเอียดทุกสัปดาห์
"เหลืออีกประมาณร้อยสี่สิบตัวได้มั้ง"
หลิวเสี่ยวหว่านไม่ได้เปิดสมุดบัญชี แต่เธอก็ยังคงรู้จำนวนอย่างชัดเจน คลาดเคลื่อนไปไม่กี่ตัวเท่านั้น หมี่หลันเยว่ก็รู้จำนวนโดยประมาณ แต่ครั้งนี้เธอ้ารายละเอียด
"ดูจากจำนวนรวมที่นี่ น่าจะเหลืออีกร้อยสามสิบแปดตัว เอาไปที่ร้านทั้งหมด ให้หลิวลี่ขายให้เต็มที่ รีบขายเสื้อผ้าฤดูร้อนพวกนี้ให้หมด โรงงานไม่ต้องสนใจเื่เสื้อผ้าฤดูร้อนแล้ว ผลิตเสื้อผ้าฤดูใบไม้ร่วง เร่งความเร็ว เพิ่มปริมาณ เพื่อไม่ให้เสื้อผ้าไม่พอขายเมื่อตอนถึงฤดูหนาว"
ตอนนี้ยังคงเน้นที่เสื้อเชิ้ตและกางเกงขาม้าเป็หลัก แต่เปลี่ยนเนื้อผ้าเป็ผ้าฝ้ายเนื้อหนา หรือเส้นใยสังเคราะห์ ในน่ต้นฤดูใบไม้ร่วง การสวมใส่ชุดนี้ก็เพียงพอที่จะให้ความอบอุ่นได้แล้ว ถ้าอากาศหนาวเย็นกว่านี้ ก็สามารถใส่เสื้อผ้าเพิ่มเข้าไปข้างในเสื้อเชิ้ตและกางเกงขาม้าได้ เพราะตอนนี้เนื้อผ้าของมันหนาพอ แม้จะใส่เสื้อผ้าเพิ่มเข้าไปข้างในก็ไม่เห็น
"พี่เสี่ยวหว่าน ลองออกแบบชุดใหม่เพิ่มอีกสักสองสามชุดดีไหมคะ แบบที่มีอยู่ตอนนี้พอไหม?"
หลังจากที่หมี่หลันเยว่ตรวจสอบคลังสินค้าเสร็จ ก็เปิดใบเบิกสินค้าสามชุด เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย ใบเบิกสินค้าสามชุดนี้ เฉียนหย่งจิ้นแอบหยิบมาจากร้านค้าของรัฐ หาคนรู้จักสองสามคน ช่วยหยิบมาสองสามเล่ม ก็เพียงพอให้หมี่หลันเยว่ใช้แล้ว ไม่อย่างนั้นถ้าไปพิมพ์เอง จำนวนน้อยเกินไป ค่าใช้จ่ายก็จะสูงเกินไป
"พอแล้ว เธอเพิ่งออกสิบแบบใหม่เองนะ แถมสีของเนื้อผ้าก็สามารถนำมาปรับเปลี่ยนได้ไม่ต่ำกว่าหลายสิบแบบ พอใช้แล้ว แค่ว่าพวกเราควรออกแบบเสื้อผ้าสำหรับใส่คลุมไหม ฤดูใบไม้ร่วงกำลังจะมาถึงแล้ว ตอนนั้นก็ต้องมีเสื้อผ้าสำหรับใส่คลุมแล้ว"
เื่นี้หมี่หลันเยว่คิดไว้แล้ว ในแบบร่างการออกแบบของเธอ มีแบบเสื้อผ้าหลายสิบแบบเก็บไว้แล้ว แต่ต้องใจเย็นๆ
"ฉันเตรียมไว้แล้วค่ะ พี่ทำเสื้อผ้าและกางเกงสำหรับต้นฤดูใบไม้ร่วงให้เสร็จก่อน อย่าใจร้อน เราต้องทำทีละขั้นตอน"
เมื่อได้ยินว่าหมี่หลันเยว่เตรียมไว้แล้ว หลิวเสี่ยวหว่านก็ไม่เร่งเธอแล้ว รู้ว่าหลันเยว่มีการวางแผนไว้แล้ว การให้คำแนะนำกับเธอก็เป็เพียงเพื่อป้องกันการหลงลืมเท่านั้น
"ตกลง งั้นฉันจะจัดการเื่การเบิกสินค้าและเสื้อผ้าสำเร็จรูปสำหรับฤดูใบไม้ร่วงที่ต้องทำต่อไป"
ที่เรียกว่าการเบิกสินค้า คลังสินค้านี้ก็อยู่ใต้แท่นตัดผ้าเท่านั้น หมี่หลันเยว่ออกแบบตู้ขนาดใหญ่ ตู้ด้านในใช้เป็คลังสินค้าชั่วคราว เพราะร้านของตัวเองยังไม่จำเป็ต้องเช่าคลังสินค้า ปริมาณการขายมีจำกัดมาก แต่การใช้สอยพื้นที่ของบ้านกลับถึงขีดสุดแล้ว
หมี่หลันเยว่เริ่มครุ่นคิดว่า จะสามารถซื้อบ้านในบริเวณใกล้เคียงได้หรือไม่ เอาขนาดเท่าบ้านของครอบครัวหลิน เมื่อถึงตอนนั้นจะไม่เหลือลานบ้าน จะสร้างบ้านขนาดใหญ่ทั้งหลังบนลานด้านหน้าเลย เมื่อถึงตอนนั้นไม่ว่าจะใช้เป็โรงงานหรือคลังสินค้า ก็จะใช้ประโยชน์ได้อย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้น บ้านที่ติดถนนแบบนี้ ในอนาคตราคาจะต้องเพิ่มขึ้นแน่นอน
เมื่อมีความคิดแล้ว หมี่หลันเยว่ก็เริ่มดำเนินการทันที เธอยังคงมอบหมายงานนี้ให้เฉียนหย่งจิ้น เธอพบว่าไม่มีใครเก่งเื่การเจรจาต่อรองดีไปกว่าเฉียนหย่งจิ้นอีกแล้ว ปากของเขาราวกับเกิดมาเพื่อทำการทูตและเจรจาธุรกิจโดยเฉพาะ การไม่ใช้มันถือเป็การสิ้นเปลืองอย่างยิ่ง
ไม่เกินสองวัน เฉียนหย่งจิ้นก็นำข่าวกลับมา
"หลันเยว่ มีบ้านหลังหนึ่งที่้าขาย แต่บ้านของเขาใหญ่กว่าบ้านของเผิงเฟยเสียอีก"
ใหญ่กว่ายิ่งดี ใหญ่เท่าไหร่ยิ่งดี นี่มันราวกับกำลังง่วงแล้วมีคนเอาหมอนมาให้
"ใหญ่กว่ายิ่งดีสิคะ ฉันกำลัง้าพอดีเลย อยู่ที่ไหน ห่างจากที่นี่ไกลไหมคะ?"
หมี่หลันเยว่้าที่ที่อยู่ใกล้ๆ จะได้ดูแลทั้งสองฝั่งได้สะดวก
"ไม่ไกล ห่างไปแค่ห้า่ตึกก็ถึงบ้านพวกเขาแล้ว"
มันดีเกินไป ราวกับเตรียมไว้ให้เธอโดยเฉพาะ
"พี่หย่งจิ้น พี่พึ่งพาได้จริงๆ ตัดสินใจเอาบ้านหลังนี้เลย พี่ไปคุยกับพวกเขาดูนะ"
"จะไม่ถามราคาก่อนหน่อยเหรอ?"
ยัยหนูนี่ใจใหญ่จริงๆ บ้านหลังนั้นเป็บ้านสองหลังรวมกัน ราคาแพงมากนะ
